บทที่ 113 ต่อสู้ (1)
ลมแรงพัดผ่าน
ลู่เซิ่งย่างเท้าลงจากที่สูง แต่ละก้าวมั่นคงสงบนิ่ง
รองเท้าแดงค่อยๆ ก้าวเข้ามา เผยให้เห็นกระโปรงยาวสีแดง จากนั้นเป็นปมเชือกผีเสื้อแขวนหยกสีเลือด และผ้าคาดเอวเล็กๆ ที่งดงาม
ร่างครึ่งท่อนล่างของสตรีคนหนึ่งก้าวเข้ามาโดยสมบูรณ์
ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบไม่ร้อน แต่เข้าใกล้กันด้วยความเร็วสูง
เพล้ง!
เสียงใสดังอีกครั้ง
ส่วนเอวท่อนบนของสตรีบิดเอี้ยวอย่างประหลาด เบียดเข้ามาในร่องแยกประตู
“คนของวาฬแดง…อย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว…” เสียงสตรีที่แหลมสูงและแปลกประหลาดดังเสียดหู
ร่างท่อนบนของสตรีนางนั้นเข้ามาในตำหนักใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว ในมือถือร่มกระดาษน้ำมันสีแดงเลือดคันหนึ่ง
เพียงแต่นางเพิ่งเข้ามา ที่เห็นกลับเป็นดวงตาที่สว่างไสวทิ่มแทงนัยน์ตาเหมือนสัตว์ร้ายอยู่ใกล้ยิ่ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ มองสตรีกระโปรงแดงที่เพิ่งเข้ามา ใบหน้าราบเรียบในตอนแรกเริ่มแสยะยิ้ม
“มีแค่เจ้ามาคนเดียวหรือ” เขาพลันส่งเสียงถาม
สตรีผู้นั้นงงงัน กลับคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะถามนางเช่นนี้ ถึงขั้นไม่เข้าใจว่า ความนัยในวาจานี้คืออะไร
“ท่าน…” สตรีนั้นเพิ่งส่งเสียง กลับเห็นอีกฝ่ายฉีกยิ้ม
“ตูม!”
พริบตานั้น เงาดำสายหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วสูง พละกำลังอันมหาศาลที่ไม่อาจต้านทาน กระแทกใส่ทรวงอกของนางพร้อมกับเสียงแหวกอากาศอันรุนแรง
แกร่ก!
เหมือนกับฟาดเปลือกต้นไม้ที่แข็งแกร่ง และเหมือนกับทุบโคลนที่ชื้นแฉะ เนื้อเยื่อกึ่งโปร่งแสงสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งลอยขึ้นมาบนผิวนาง ป้องกันการโจมตีฝ่ามือนี้ไว้
ฟิ้วๆๆ!
สตรีอาภรณ์แดงควงร่ม ขอบที่แหลมคมเหมือนมีด ฟันใส่ศีรษะลู่เซิ่งอย่างฉับไว
“ตายซะ!”
ไม่รอให้นางฟันถึง พลังงานที่ร้อนลวก ระเบิดออกมาจากฝ่ามือลู่เซิ่ง
“ตูม!”
วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่ร้อนลวกปะทุอย่างรุนแรง กระแสความร้อนและปราณภายในเหมือนกับลูกระเบิด ระเบิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
สตรีผู้นั้นกรีดร้องเสียงแหลม ถูกพลังกระแทกใส่ กระเด็นออกไปปะทะกำแพงด้านข้าง
ลู่เซิ่งดีดตัวขึ้น ขยายร่างขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวขนาดก็กลายเป็นสองเท่าของคนทั่วไป ฟาดหนึ่งฝ่ามือพร้อมการระเบิดกับความเร็วที่น่าสะพรึง ใส่ร่างของนาง
ตูม!
นางพึ่งตะกายขึ้นมา ก็ถูกฝ่ามือฟาดกระเด็นออกไปอีก นางกับลู่เซิ่งชนใส่ประตูใหญ่พร้อมกัน ประตูตำหนักใหญ่บิดเบี้ยว กลายเป็นหลุมยุบไปด้านนอก ก้นหลุมเป็นสีแดง ประตูเหล็กก็ถูกเผาเป็นสีแดงไปด้วยฝ่ามือเดียว
นางจ้องมองร่างกายของอีกฝ่าย จากขนาดร่างกายเท่าคนธรรมดา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ถึงสองหมี่กว่าๆ เหมือนกับเติมลมเข้าไป
กล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวราวกับต้นไม้แห้ง กระแทกร่างนางอย่างรุนแรงด้วยพลังจู่โจมอันมหาศาล
เหมือนกับภูเขาเนื้อพุ่งชนใส่ไส้เดือนตัวเล็กๆ
นางตอบสนองไม่ทัน รู้สึกทรวงอกปลวดแปลบ
ลู่เซิ่งใช้มือข้างหนึ่งทะลวงใส่หน้าอกของหญิงสาว กระแทกใส่ประตูตำหนักใหญ่ด้านหลังอย่างรุนแรง แทบตรึงนางไว้ด้านบน
อุณหภูมิที่ร้อนแรงกระจายออกมาจากมือและตัวเขา ประตูกับจุดที่เขาสัมผัสร้อนขึ้นและกลายเป็นสีแดงด้วยความเร็วสูง
กรี๊ด!
สตรีอาภรณ์แดงค่อยตอบสนอง เริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง กรีดสองมือใส่ร่างลู่เซิ่ง
ฉัวะๆๆ!
กรงเล็บสีดำสนิทกรีดใส่ร่างลู่เซิ่ง แต่ไม่มีผลอะไร เพียงเกิดสะเก็ดไฟเหมือนกับขูดใส่เหล็ก
ตำหนักใหญ่วาฬแดงพริบตาเดียวตกอยู่ในความเงียบสงัด ดวงตาหลายคู่มองลู่เซิ่งที่ตรึงผีหญิงกับประตูใหญ่ไว้ด้วยความเหลือเชื่อ
หรือควรบอกว่าร่างขนาดมหึมาเหมือนภูเขาเนื้อก้อนนั้น
แทบไม่น่าเชื่อ ลู่เซิ่งในตอนนี้สูงเกือบสามหมี่ กล้ามเนื้อทั่วตัวเบียดอัดกัน มากกว่าครึ่งเหมือนกับก้อนเนื้อที่มีขนาดแตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วน
ผิวหน้าเขาถึงขั้นเริ่มบิดตาม ถูกกล้ามเนื้อฉีกออก เหมือนกับหน้ากากใบหนึ่งที่ตอกตรึงอยู่กลางร่างกาย
ลวดลายตาข่ายสีดำกระจายอยู่ทั่วร่าง รอยเลือดสีแดงฉานสายหนึ่งโผล่ขึ้นกลางหลัง เหมือนกับห่อหุ้มกระดูกสันหลังไว้โดยสมบูรณ์
“เฮ้อ…” ลู่เซิ่งมองสตรีที่ดิ้นรนในมือตนอย่างผิดหวัง “ที่แท้มีแต่เจ้าจริงๆ…”
“ท่าน… เป็นตัวอะไรกันแน่!?” สตรีนางนั้นกรีดร้อง บาดแผลที่ทรวงอกเริ่มเกิดควันสีดำขึ้น
“ตัวอะไร?” ลู่เซิ่งเอียงศีรษะ สายเลือดกระจายเต็มนัยน์ตา
“ข้าเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ธรรมดา…” เขายกแขนขึ้น “นี่เจ้าดูไม่ออกหรือ เป็นมนุษย์ไงเล่า!”
เขายื่นแขนไปหาปากของสตรีนางนั้น
“พวกเจ้าไม่ใช่ชอบกินคนหรือ ข้าให้เจ้ากิน”
เขาเริ่มใช้แขนกดปากสตรีนางนั้น
แต่เป็นเพราะพละกำลังมากมายเกินไป กล้ามเนื้อที่ปลายแขนเขาแข็งแกร่งมากไป ศีรษะนางส่งเสียงแตกหักเบาๆ ออกมา
“ท่าน…ไม่…” นางดิ้นรน หมายจะสลัดให้หลุด
“กินซะๆ พวกเจ้าไม่ใช่ชอบกินคนที่สุดหรือ” ลู่เซิ่งใช้แขนกดศีรษะนางไว้ สองตาเป็นสีแดงเลือดอันแปลกประหลาด
“เหตุใดไม่กินเล่า ไม่ใช่อร่อยมากหรอกหรือ” พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เปรี้ยง!
ในที่สุด สตรีนางนั้นก็หยุดการดิ้นรน นางพลันไม่กระดิกตัว ศีรษะถูกลู่เซิ่งใช้แขนทับจนเละ ของเหลวสีแดงสีขาวไหลย้อยจากประตูใหญ่
เสียงฟู่วดังขึ้น ศพสตรีนางนั้นลุกไหม้ ไม่กี่ลมหายใจก็กลายเป็นฝุ่นสีดำนับไม่ถ้วนโปรยปราย
ลู่เซิ่งชักมือกลับ ผิดหวังเล็กน้อย เขายังใช้พละกำลังไม่ถึงหนึ่งส่วนด้วยซ้ำ
สตรีนางนี้เป็นภูตผีตนหนึ่ง แม้จะเป็นภูตผีที่เข้าใกล้ระดับพันธนาการ แต่ขาดแค่ก้าวเดียว ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เผชิญหน้ากับเขาในตอนนี้ ภูตผีธรรมดาอ่อนแอเหมือนไส้เดือน ไม่อาจทดลองความสามารถที่แท้จริงซึ่งเขามีพร้อมในสภาพนี้ได้เลย
“ผู้อ่อนแอที่น่าสงสาร” ร่างกายลู่เซิ่งหดเล็กลง กลับเป็นปกติ คู่ต่อสู้แบบนี้ไม่อาจทำให้เขาเครื่องร้อนได้
อย่าว่าแต่ไม่อาจกดดันให้แสดงไพ่ตายที่เตรียมไว้ในวันนี้โดยเฉพาะ แม้แต่ทดลองขีดจำกัดความสามารถในสภาพหยางโชติช่วงที่สุดของตนในตอนนี้ ก็ยังทำไม่ได้
สภาพหยางโชติช่วง เป็นชื่อที่เขาตั้งขึ้นให้กับร่างกายที่ขยายใหญ่ของตัวเอง
เขาค้นพบว่า ในสภาพแบบนี้ ต่อมไร้ท่อสำหรับหลั่งเลือดลมในร่างตนจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วสูง นิสัยกับอารมณ์จะดุร้าย ก้าวร้าวถึงขีดสุด ถึงขั้นคลุ้มคลั่งเล็กน้อย
โดยเฉพาะยามโคจรวิชากำลังภายในภายและภายนอกพร้อมกัน ยิ่งแตะขีดจำกัดหนึ่ง
เพียงแต่สภาพนี้ไม่สะดวกนัก และอัปลักษณ์เกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้ร่างคนธรรมดาเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
เดิมทีนึกว่าสิ่งที่มาเป็นคู่ต่อสู้ระดับความประหลาดลี้ลับ น่าเสียดายที่เป็นแค่ภูตผีซึ่งใกล้เคียงเท่านั้น
‘แต่ก็ไม่เป็นไร จัตุรัสแดงไม่มีทางส่งแค่ภูตผีอย่างนี้มา นี่คงจะมาหยั่งเชิงดู’ ลู่เซิ่งเปลือยร่างหมุนตัว เพื่อปรับตัวเข้ากับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ที่เขาใส่เดิมเป็นเสื้อผ้าที่หลวมและยืดหยุ่นมาก น่าเสียดายตอนนี้เหลือแค่กางเกง เสื้อยังคงโดนดันจนขาดไปแล้ว
ในตำหนักใหญ่ ระดับสูงทุกคนในพรรควาฬแดง มีสายตาหวาดกลัว อ้าปากตาค้างขณะมองเขา เหมือนกับกำลังมองภูตผีปีศาจ
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่หรือ เจ้าเป็น… ลู่เซิ่งจริงๆ ใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสหวังคือหนึ่งในสองคนที่ค้นพบลู่เซิ่งเป็นคนแรก ตอนนี้ค่อยๆ ลุกขึ้น มีความหวาดกลัวและความเหลือเชื่อที่เหลือล้น
“แน่นอน ปลอมเป็นข้ามีประโยชน์อันใด” ลู่เซิ่งยิ้มให้ผู้อาวุโสหวัง อีกฝ่ายตกใจตัวสั่น ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เกือบเป็นลม
เหตุการณ์ที่ลู่เซิ่งเปลี่ยนร่างเมื่อครู่น่าสะพรึงขวัญเกินไป ทุกคนที่เห็นไม่มีใครไม่ตกตะลึงพรึงเพริด อ้าปากตาค้าง
มีแค่หงหมิงจือที่ความรู้กว้างขวาง มองลักษณะพิเศษหลังวิชาแข็งกร้าวบนตัวลู่เซิ่งสำเร็จออก จึงค่อยระงับสติอารมณ์ แต่คนที่เหลือไม่เหมือนกัน
“ศิษย์น้อง…เจ้า…เจ้าฝึกวิชาลมปราณแดงฉานถึงระดับเจ็ดขั้นสูงสุดแล้วหรือ!?” เขาถามด้วยเสียงสั่นเครืออยู่บ้าง
“ศิษย์พี่เฉียบแหลม” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
“หัตถ์หมีขยุ้ม…ยังมีวิชาด้ายทอง…วิชาโอสถกลองพลบค่ำ และนี่คือวิชาโซ่เก้าสินธุ!?…” หงหมิงจือมีประสบการณ์โชกโชน เห็นลักษณะพิเศษตามแบบฉบับของวิชาแข็งกร้าวจำนวนไม่น้อยจากตัวลู่เซิ่งได้ในทันที
วรยุทธ์มากมายขนาดนี้รวมอยู่บนตัวคนคนเดียว นี่มัน…เขาตกใจจนพูดไม่ออก ไม่ทราบสมควรวิจารณ์เช่นไร
พรสวรรค์มรรคายุทธ์เช่นนี้…เป็นอัจฉริยะมรรคายุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน และแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา!
คำพูดนี้โผล่ขึ้นในห้วงสมองหงหมิงจือทันที
เขามองเฉินอิง เป็นอย่างที่คาด เฉินอิงจดจำลักษณะพิเศษของวิชาบนตัวลู่เซิ่งได้ส่วนหนึ่ง มีสีหน้าสั่นสะท้านพูดไม่ออกเช่นกัน
ในตำหนักใหญ่ ผู้อาวุโสที่ความรู้ตื้นเขินส่วนหนึ่ง ถึงขั้นยึดถือลู่เซิ่งเป็นตัวประหลาดที่แข็งกล้าเช่นภูตผี ใบหน้าแตกตื่นหวาดหวั่น
กล้ามเนื้อกับขนาดร่างยังเป็นรูปร่างมนุษย์ แต่อลังการเกินไป
“จริงด้วย ตอนนี้ข้าเป็นประมุขพรรคแล้ว ทุกท่านยังคงเรียกข้าว่าประมุขพรรคลู่ดีกว่า” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
“ต่อจากนี้ จัตุรัสแดงจะต้องไม่เลิกรา พวกเรามาปรึกษากันว่าสมควรรับมือเช่นไร”
“ไม่ผิด! ต่อจากนี้จะรับมือการจู่โจมในภายหลังอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ เมืองเลียบคีรีหรือแม้แต่แดนเหนือ ในปัจจุบัน ข่าวที่ตระกูลเจินจากไปหากแพร่หลายออกไป พวกเราพรรควาฬแดงจะกลายเป็นเป้ารวม จัตุรัสแดงเป็นแค่ขุมกำลังหนึ่งที่มาหยั่งเชิงเท่านั้น พวกเราต้องวางแผนโดยเร็ว” เฉินอิงสูดหายใจลึกๆ สงบจิตใจ ลุกขึ้นกล่าวเสียงกระจ่าง
กลิ่นอายของภูตผีเมื่อครู่ แม้แต่เขาก็นึกว่าเป็นความประหลาดลี้ลับ ผีหญิงตนนั้นแตกต่างจากความประหลาดลี้ลับเล็กน้อย แต่ด้วยฝีมือของลู่เซิ่งประมุขพรรคผู้รับตำแหน่งใหม่ ภูตผีที่เหี้ยมหาญเช่นนี้กลับสู้ได้ไม่เกินหนึ่งเพลง
ความเร็วและพละกำลังของเขาแข็งแกร่งมากเกินไป แทบชั่วพริบตาเดียว เฉินอิงเห็นสตรีกระโปรงแดงถูกตรึงกับประตูใหญ่ ถึงขั้นที่โต้ตอบก็ไร้ประโยชน์
มีความแตกต่างมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก บางทีครั้งนี้พรรควาฬแดงอาจมีความหวังในการข้ามผ่านอุปสรรคจริงๆ…
“มีประมุขพรรคลู่อยู่นี่ พวกเราต้องผ่านอุปสรรคได้!”
“ประมุขพรรคองอาจน่าเกรงขาม!”
เหล่าผู้อาวุโสเริ่มฝากความหวังไว้บนตัวลู่เซิ่ง สีหน้าค่อยๆ มีความคาดหวังเล็กน้อย
สายตาลู่เซิ่งข้ามผ่านทุกคน คนอื่นๆ เป็นเพียงส่วนเกิน เขามองหงหมิงจือประมุขพรรคเฒ่า
หงหมิงจือยืนโงนเงนกับที่ คนที่ประคองเขาคือเฉินอิง ทั้งสองไม่ทราบควรปฏิบัติกับลู่เซิ่งในตอนนี้ด้วยท่าทีอย่างไร
“ตอนนี้สมควรทำอย่างไร” เฉินอิงอ้าปาก มองลู่เซิ่ง ฝืนสงบสติอารมณ์ ถามเสียงทุ้ม
“ด้านนอกไม่ได้มีภูตผีแค่หนึ่งตัว” ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวร่างกาย หมุนตัวเดินไปยังประตูใหญ่
“ไปเถอะ ออกไปดู”
เขากดสองมือบนประตู ออกแรงผลัก
ครืน…
ประตูเหล็กค่อยๆ ถูกผลักออก เผยให้เห็นดาดฟ้าเรือสีน้ำตาลหม่นที่กว้างขวางด้านนอก
……………………………………….