ตอนที่ 121 เข้าสู่สงครามประสาท

เดิมพันเสน่หา

เหลิ่งรั่วปิงยังคงยิ้ม เธอกระตุกมุมปากเล็กน้อย “คุณเองก็รู้ดีหนิคะ การจะไปจากเขาหรือไม่ไปนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน เขาเป็นคนกักขังฉันให้อยู่ข้างเขา แล้วฉันจะทำอะไรได้”

อวี้หลานซีหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “เธออยู่กับเยี่ย เป็นเพราะเงินไม่ใช่หรอ เดี๋ยวฉันจะให้เงินเธอเอง เธอไสหัวไปจากชีวิตของเยี่ยซะ!”

“หรอคะ? คุณอวี้คิดจะให้เงินฉันเท่าไหร่ในการไปจากชีวิตของคุณหนานกง”

“เธอบอกตัวเลขมาสิ”

“ฉันคบกับคุณหนานกง คุณหนานกงให้เช็คไม่ระบุจำนวนเงินกับฉันวันละหนึ่งใบทุกวัน คุณอวี้สามารถทำได้ไหมคะ”

อวี้หลานซี “…”

“เป็นไปไม่ได้ เยี่ยไม่มีวันทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้แน่นอน เธอเป็นแค่นางบำเรอของเขา เขาจะตามใจเธอขนาดนี้ได้ยังไง”

“คุณอวี้ ฉันคิดว่าควรจะทำความเข้าใจใหม่กับคุณก่อนนะคะ ตอนนี้ฉันกับคุณหนานกงเราไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง”

ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง? นี่มันเป็นความสัมพันธ์อะไรกัน อวี้หลานซีนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เธออึ้งอยู่นานไม่ยอมพูดอะไร

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ “คุณอวี้ คุณเอาแต่ทำตัวเหมือนแม่ชี บอกว่าตนเองใจกว้าง สามารถยอมรับผู้หญิงของคุณหนานกงได้ อีกทั้งยังต้องการให้ผู้หญิงทุกคนรักเขา แต่ทั้งหมดนี้ควรจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณเป็นภรรยาของเขา ทว่าถ้าเขายังไม่ได้แต่งงานกับคุณ คุณไม่มีวันทนยอมรับเรื่องที่เขารักผู้หญิงคนอื่น ความรักของคุณไม่ยิ่งใหญ่แม้แต่น้อย ดังนั้นไม่ต้องมาแสร้งเป็นคนดีต่อหน้าฉันหรอกค่ะ”

“ใช่ เมื่อก่อนฉันไม่เคยรู้ว่าตนเองจะมีความรู้สึกอิจฉาริษยา เพราะฉันคิดว่าไม่ว่ายังไงเยี่ยก็ต้องแต่งงานกับฉัน ส่วนพวกเธอ เป็นแค่นางบำเรอที่เขาเลี้ยงไว้เท่านั้น ฉันรักเยี่ยมาก ฉันจึงยอมทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้ ความใจกว้างของฉันถูกเธอทำลายไปจนหมดแล้ว ถ้ามีเธออยู่ เยี่ยไม่มีวันแต่งงานกับฉัน ดังนั้นฉันจะต้องทำให้เธอไปจากชีวิตเยี่ยให้ได้”

“น่าเสียดายนะคะ การไปจากคุณหนานกงหรือไม่ไปนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ” พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงเดินผ่านอวี้หลานซีไป เธอเดินไปที่ประตู การเสวนากับผู้หญิงที่ความคิดบิดเบี้ยวเพราะผู้ชายที่ตนรักไม่ได้รักตน ทำให้เหลิ่งรั่วปิงหมดคำจะพูด เธอไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะอวี้หลานซีเด็ดขาดและไม่มีวันซึ้งใจกับมุมมองความรักที่บิดเบี้ยวและด้อยค่า สำหรับหนานกงเยี่ย รักหรือไม่รัก ไปจากเขาหรือไม่ไปจากเขา ตอนนี้เธอเริ่มลังเลแล้ว อันที่จริงความรู้สึกลึกๆ ของเธอมีส่วนหนึ่งที่อยากอยู่กับเขาต่อ

“เหลิ่งรั่วปิง!” ขณะที่มือของเหลิ่งรั่วปิงสัมผัสไปที่ประตู จู่ๆ อวี้หลานซีก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ฉันต้องทำให้เยี่ยไปจากเธอ!”

จากนั้น เหลิ่งรั่วปิงได้ยินเสียงมีดแทงเข้าไปในผิวหนัง เธอหันหลัง เห็นอวี้หลานซีล้มลงบนกองเลือด ตรงหัวไหล่ของเธอมีมีดปอกผลไม้ปักเอาไว้

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที!” ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังตกใจอยู่นั้น อวี้หลานซีร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดัง

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตู เสี้ยววินาทีต่อจากนั้น หนานกงเยี่ยพุ่งตัวเข้ามาในห้องน้ำ ตามด้วยคนอื่นๆ

“หลานซี!” หนานกงเยี่ยกอดอวี้หลานซีด้วยความเป็นห่วง เขามองดูแผลของเธอ “คุณเป็นอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

อวี้หลานซีเจ็บแผลจนหน้าซีดขาว เธอเม้มปากกัดฟันแล้วชี้ไปที่เหลิ่งรั่วปิง “เธอจะฆ่าฉัน!”

“เป็นไปไม่ได้!” หนานกงเยี่ยปฎิเสธทันที

อวี้หลานซียิ้มเศร้า “เยี่ย คุณไม่เชื่อฉันหรอคะ ตั้งแต่เล็กจนโตฉํนไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ แล้วฉันจะเอาความกล้าที่ไหนมาแทงตัวเองคะ เหลิ่งรั่วปิงจะฆ่าฉันค่ะ เธอบอกว่าเธอไม่รักคุณ ฉันก็เลยขอร้องให้เธอไปจากคุณ แต่เธอบอกว่าคุณให้เช็คไม่ระบุจำนวนเงินกับเธอวันละใบทุกวัน ผู้ชายที่เปย์หนักขนาดนี้เธอจะยอมจากไปได้ยังไง พอฉันโมโหอยากจะทำร้ายเธอ เหลิ่งรั่วปิงกลับคว้ามีดออกมาแล้วจะฆ่าฉัน”

ทุกคนยืนอยู่ข้างๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เป็นเพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น เรื่องส่วนตัวของหนานกงเยี่ยพวกเขาไม่กล้ายุ่ง

หลังจากฟังคำพูดของอวี้หลานซีจบ หนานกงเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “พอได้แล้ว ผมพาคุณไปทำแผลก่อน” พูดจบ หนานกงเยี่ยช้อนตัวอวี้หลานซีขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่แม้แต่จะหันมามองเหลิ่งรั่วปิง

ทุกคนพากันเดินออกไป เวินอี๋อยากอยู่ต่อแต่กลับถูกมู่เฉิงซีลากออกไป สุดท้ายจึงเหลือแค่เหลิ่งรั่วปิงเพียงคนเดียว เธอหัวเราะเยาะตนเองแล้วเดินออกไป เหลิ่งรั่วปิงเดินกลับไปที่ห้องนอน ถึงแม้เธอจะนอนกับเขาทุกวัน แต่เธอจะสู้อวี้หลานซีที่โตมากับหนานกงเยี่ยได้ยังไง เธอลืมไปว่าตนเองเป็นใคร

หนานกงเยี่ยอุ้มอวี้หลานซีไปที่ห้องนอน พร้อมกับตามหมอมาทำแผลให้กับอวี้หลานซี จากการตรวจเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ถึงแม้อวี้หลานซีจะแทงลงไปอย่างแรง แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอ มีดจึงแทงลงไปไม่ลึก ถ้าเหลิ่งรั่วปิงเป็นคนแทงจริงๆ ตอนนี้แขนของอวี้หลานซีคงขาดไปแล้ว

หมอล้างแผลและทายาให้กับอวี้หลานซี ทำแผลให้เธอและเอายาทานไม่กี่อย่างให้กับหนานกงเยี่ย แล้วเดินออกไป

ขณะที่หนานกงเยี่ยกำลังจะหมุนตัวเดินออกไป อวี้หลานซีกลับรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ “เยี่ย คุณไม่ไปได้ไหมคะ ฉันกลัวที่จะอยู่คนเดียว”

หนานกงเยี่ยยิ้ม “ผมไม่ได้ไปไหนครับ แค่จะไปรินน้ำ คุณจะได้กินยา”

เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงเยี่ย อวี้หลานซีรู้สึกโล่งใจ เธอมองดูเขารินน้ำ หยิบยาที่หมอให้ออกมาสองเม็ด เดินมาตรงหน้าเธอ

“เยี่ย ยานี้ดูจะขมมากเลย ฉันไม่อยากกินค่ะ”

“ไม่ได้ ถ้าไม่กินยาแล้วแผลจะหายได้ยังไง เป็นเด็กดีแล้วกินยานะครับ” เวลานี้หนานกงเยี่ยดูอ่อนโยนมาก เขาพยุงตัวอวี้หลานซีขึ้นมา ป้อนยาให้เธอแล้วเอาน้ำให้เธอดื่ม

อยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย อวี้หลานซีเชื่อฟังขึ้นมา เธอกินยาอย่างว่าง่าย ยิ้มแล้วพูดกับเขา “ตอนเด็กๆ เวลาที่ฉันไม่สบาย ทุกครั้งที่ฉันกินยาคุณจะให้ลูกอมกับฉันสองเม็ด”

หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วดีดหน้าผากเธอเบาๆ “ตอนนี้คุณโตแล้ว ยังอยากให้ผมให้ลูกอมคุณอีกหรอ”

อวี้หลานซีขยับตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย น้ำตาของเธอไหลลงมา “เยี่ย ตั้งแต่ฉันอายุสิบขวบ ความฝันของฉันคือการเป็นภรรยาของคุณ คุณอย่าทิ้งฉันไปเลยนะคะ ถ้าคุณทิ้งฉันไปฉันต้องตายแน่ๆ ถ้าคุณชอบเหลิ่งรั่วปิง คุณก็เลี้ยงเธออยู่ข้างนอก ฉันไม่ถือสาหรอกค่ะ คุณเชื่อฟังพ่อของคุณนะคะ เราหมั้นกันเถอะ”

“…” หนานกงเยี่ยเงียบอยู่นาน สุดท้ายถอนหายใจ “ครับ คุณพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องอื่นไว้รอคุณหายดีแล้วค่อยว่ากัน”

“ค่ะ” อวี้หลานซีนอนลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง จากนั้นหลับตาลง ใช้เวลาไม่นานเธอก็เคลิ้มหลับไป

หนานกงเยี่ยห่มผ้าให้เธอ แล้วถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง เขาเดินออกไป สั่งให้คนรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูคอยดูแลอวี้หลานซีให้ดี

วินาทีที่ประตูปิดลง อวี้หลานซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น มุมปากของเธอแสยะยิ้ม ในเมื่อเขาไม่ให้ความรักกับเธอ เธอก็จะใช้ความผูกพันในการปลุกเขาให้ตื่น ขอแค่เขาทำใจทำร้ายเธอไม่ได้ เธอก็ยังมีโอกาส

หนานกงเยี่ยเดินออกมาจากห้องอวี้หลานซี แต่เขาไม่ได้ไปที่ห้องของเหลิ่งรั่วปิง ทว่ากลับไปดื่มคนเดียวที่ห้องรับแขก หัวใจของเขาเจ็บปวดมาก เขาปวดใจแทนอวี้หลานซีและเหลิ่งรั่วปิง คนที่ฉลาดเหมือนเขา แค่พริบตาเดียวก็ดูออกว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เป็นคนแทง อวี้หลานซีเป็นคนทำตัวเอง ถ้าหากเหลิ่งรั่วปิงเป็นคนแทง หัวไหล่ของอวี้หลานซีไม่มีทางโดนแค่ถากๆ ป่านนี้คงขาดไปแล้ว

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ เขารู้สึกสงสารอวี้หลานซี

อวี้หลานซีกับเขาโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก รักใคร่และผูกพันกันมาก เธอรักเขามากจนยอมทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ อวี้หลานซีเป็นคนที่เขาสัญญากับตนเองว่าจะดูแลไปตลอดชีวิต ความรักที่เธอมีต่อเขามันมากจนทำร้ายตัวเอง แล้วจะให้เขาทนเห็นเธอเสียใจอีกได้ยังไง

ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะไม่ได้เป็นคนทำร้ายอวี้หลานซี แต่เขาก็ผิดหวังในตัวเธอ ที่เขาผิดหวังในตัวเธอนั้นเป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิงบอกกับอวี้หลานซีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้รักตน อีกทั้งยังพูดในสิ่งที่เขาทำให้เธอด้วยความรักเหมือนเป็นเรื่องตลก เขารักและตามใจเธอมานานขนาดนี้ แต่เธอยังเห็นเขาเป็นแค่ผู้ชายที่คอยให้เงิน ชีวิตนี้เขาคงไม่สามารถทำให้เธอหวั่นไหวได้ สำหรับผู้หญิงที่ไม่มีหัวใจแบบนี้ เขาควรที่จะรักและตามใจเธอต่อไปอีกไหม

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เรือยอร์ชของหนานกงเยี่ยมาถึงเรือยอร์ชขนาดใหญ่ของบริษัทประมูลฮั่นไห่ พวกเขาเดินขึ้นไปบนเรือ เดินไปยังห้องรับรองของบริษัทประมูลฮั่นไห่ที่อยู่ภายในเรือยอร์ช เรือยอร์ชของบริษัทประมูลฮั่นไห่หรูหราและอลังการมาก มีทั้งหมดหกชั้น ไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาว

ตลอดทาง หนานกงเยี่ยคอยประคองอวี้หลานซีเอาไว้ เขายังคงไม่พูดกับเหลิ่งรั่วปิง หลังจากเข้าไปในห้องพัก เขาก็อยู่กับอวี้หลานซีตลอด ไม่ยอมเข้าไปในห้องของเหลิ่งรั่วปิง

เวินอี๋ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอไปพูดบ่นกับเหลิ่งรั่วปิง “พี่รั่วปิง คุณหนานกงทำแบบนี้มันเกินไปแล้วนะคะ เขาไม่ให้โอกาสพี่ได้อธิบาย เอาแต่เย็นชาไม่สนใจพี่แบบนี้อยู่นั่นแหละ”

เหลิ่งรั่วปิงมองออก เธอยิ้มบางๆ “จากไอคิวของคุณหนานกง เขารู้ว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของพี่ สำหรับเขาแล้ว ใครเป็นคนทำก็ไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาสงสารคุณอวี้หลานซี แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลาพี่จะได้จากไปง่ายขึ้น”

“พี่รั่วปิง พี่ไม่เสียใจจริงๆ หรอคะ”

“ไม่” อันที่จริงเธอรู้สึกเสียใจ เพียงแต่ความเสียใจนั้นกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอไปจากที่นี่

มื้อเที่ยง หนานกงเยี่ยสั่งให้คนส่งอาหารไปที่ห้องของอวี้หลานซี เขาป้อนเธอกินข้าวจนอิ่ม ส่วนตนก็กินอะไรรองท้องเล็กน้อย เขาไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลยจริงๆ ความจริงในใจของเขายังคงเป็นห่วงเหลิ่งรั่วปิง กลัวว่าเธอจะไม่ยอมกินข้าว แต่ความผิดหวังและโกรธที่อยู่ในใจกลับบอกให้เขาไม่ต้องคิดถึงเธอ ไม่ต้องพูดกับเธอ ไม่ต้องเป็นห่วงเธอ เขารู้สึกว่าบางทีการทำแบบนี้ไปสักพัก เขาก็อาจจะค่อยๆ ไม่ให้ความสำคัญกับเธอแล้ว ถึงเวลานั้นเขาก็ไม่ต้องเจ็บปวดอีก

เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนเย็นชาและหยิ่งทระนง เธอไม่เคยร้องขอความรักจากผู้ชาย เขารักหรือไม่รักเธอ เธอยังคงความเป็นตัวเองเอาไว้ ดังนั้น หนานกงเยี่ยไม่มาหาเธอ เธอเองก็ไม่ไปหาเขา พยายามไล่ความเสียใจภายในใจไป กินข้าวคนเดียว อ่านหนังสือคนเดียว รอเวลาอย่างเงียบๆ

ฝนน่าจะตกติดต่อกันประมาณครึ่งเดือน หากไม่มีอะไรผิดพลาด แลนด์มาร์คเมืองหลงก็จะถล่มลงมาภายในครึ่งเดือน อีกไม่นานเธอก็จะได้เห็นลั่วเฮิ่งตกนรกแล้ว

หนานกงเยี่ยเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนแรกเธอยังลังเล แต่ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแทนเธอแล้ว เธอจะไปจากที่นี่ อีกทั้งจะไปอย่างสง่างาม

หนานกงเยี่ยอยู่กับอวี้หลานซีตลอดทั้งบ่าย มื้อค่ำเขาก็เป็นคนป้อนเธอด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นคนกล่อมเธอนอนหลับ จนกระทั่งอวี้หลานซีหลับไปเขาถึงจะออกมาจากห้องของเธอ หลังจากออกมาจากห้องของอวี้หลานซี หนานกงเยี่ยพยายามห้ามใจตนเองไม่ให้ไปหาเหลิ่งรั่วปิง เขาเปิดห้องอีกห้องหนึ่ง อาบน้ำแล้วเข้านอน แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ เอาแต่นั่งใจลอยคนเดียว

หลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงคิดได้เธอก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว เธอกินมื้อค่ำเสร็จก็อาบน้ำแล้วเข้านอน ขณะที่เธอกำลังจะนอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เหลิ่งรั่วปิงตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ทว่าตอนที่เปิดประตูออกไปนั้น เธอแทบจะร้องกรี๊ด ตรงหน้าประตูมีบริกรชุดขาว มือของเขาถือถาดเอาไว้ บนถาดมีของหวานเล็กๆ น้อยๆ บริกรคนนี้คืออาเธอร์