ตอนที่ 114 ฟื้นคืนสติ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยได้ทราบข่าวก็รีบกลับมาอย่างทันที เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร คนที่ซั่งกวนจิ่นส่งมากล่าวเพียงว่า สะใภ้ใหญ่ตกน้ำหมดสติไป ขอให้คุณชายกลับไปโดยด่วน!

“พี่เจวี๋ย…” เพิ่งจะถึงเรือนมีคู่ ผู้ที่ถลาเข้ามาทั้งใบหน้าคลอเคล้าน้ำตาและจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยนั้นคืออวี้เมิ่งเหยา หลังจากจื่อหลัวจากไป นางก็เดินค้นหารอบๆ ริมทะเลสาบไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พบเบาะแสร่องรอยใดใดทั้งไม่เจอใครเลยเช่นกัน จึงทำได้เพียงรีบตามมาที่เรือนมีคู่เท่านั้น ทว่าก็ถูกพวกสาวใช้ที่เรือนมีคู่ปฏิเสธไม่ให้เข้าโดยไม่ไว้หน้าสักนิด

“เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว ดึงอวี้เมิ่งเหยาไปให้พ้นทาง ก่อนความคิดจะแล่นวาบเข้ามาในหัว หรือเป็นนางที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นเช่นนี้?

“พี่เจวี๋ย ข้าถูกใส่ร้าย…” อวี้เมิ่งเหยาร้องห่มร้องไห้ทั้งเล่าเรื่องที่ริมทะเลสาบออกมาคร่าวๆ อีกครั้ง ส่วนเรื่องความคิดของนางและที่จู่ๆ ก็เสียการควบคุมจนทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกใจนั้นย่อมไม่ได้พูดออกมา ท้ายที่สุดก็ยังไม่ลืมจะแสดงความจริงใจของตนไปด้วย กล่าวทั้งร่ำไห้ “แม้ว่าคนข้างกายของพี่มี่เอ๋อร์ล้วนใส่ความข้า กล่าวว่าข้าผลักพี่มี่เอ๋อร์ตกน้ำ แต่ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ! ข้าอยู่ที่นี่ก็เพราะรอพี่มี่เอ๋อร์ให้ได้สติ จากนั้นก็จะกล่าวอธิบายกับนางดีๆ!”

“สะใภ้ใหญ่ของพวกเราไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาแสร้งเป็นห่วงอะไร!” ลู่หลัวออกมาทั้งดวงตาที่แดงก่ำ ก่อนจะค้อมกายคารวะซั่งกวนเจวี๋ย “คุณชาย ท่านกลับมาแล้ว สะใภ้ใหญ่ยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ ท่านไปดูหน่อยเถิด!”

“ไม่ได้เรียกหมอมาหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว นี่ก็ผ่านมาเกือบสองชั่วยามแล้ว ไฉนจึงยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีก

“ท่านหมอไปแล้วเจ้าค่ะ กล่าวว่าสำลักน้ำเข้าไปในปอด พวกพี่ม่านเหอก็ช่วยกันเอาน้ำออกจากปอดของสะใภ้ใหญ่แล้ว แต่สะใภ้ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติเลยเจ้าค่ะ!” ลู่หลัวถูกจื่อหลัวไล่ออกมา จื่อหลัวโมโหที่นางร้องห่มร้อมไห้อยู่ข้างๆ จนทำให้หงุดหงิดใจ

“อืม!” ซั่งกวนเจวี๋ยได้ยินเช่นกัน ก็ยกฝีเท้าเดินเข้าไปด้านใน แทบจะไม่สนใจอวี้เมิ่งเหยาที่ร้องไห้ฟูมฟายแม้แต่น้อย

“พี่เจวี๋ย…” อวี้เมิ่งเหยาดึงชายเสื้อของซั่งกวนเจวี๋ยเอาไว้ ร้องครวญคราง “ท่านพาข้าไปพบพี่มี่เอ๋อร์ด้วยเถิด หากไม่ได้เห็นกับตาว่าพี่มี่เอ๋อร์ปลอดภัย ข้าคงไม่อาจสงบจิตสงบใจได้!”

“สะใภ้ใหญ่ย่อมไม่อยากพบหน้าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนร้ายอย่างท่าน!” ลู่หลัวถลึงตามองอวี้เมิ่งเหยาอย่างชิงชัง ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเสียบดาบไปที่ร่างของนางสักสองสามครั้ง กล่าวอย่างเรียบเย็น “หากไม่ใช่เพราะนางมีแผนร้ายอยู่ในใจ สะใภ้ใหญ่จะพบเจอกับเรื่องร้ายเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ!”

แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่กล้ามั่นใจว่าเป็นฝีมือของอวี้เมิ่งเหยาหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใจจะมาคิดสืบหาความจริงในเวลานี้ กล่าวอย่างเยือกเย็น “อย่างไรคุณหนูอวี้ก็กลับไปพักผ่อนให้ดีเสียก่อนเถิด มี่เอ๋อร์ยังสลบไม่ได้สติอยู่ คงไม่อาจพบแขกได้ง่าย! ใครอยู่ด้านนอก ส่งตัวคุณหนูอวี้กลับเรือนใต้เสีย!”

เวลานี้ก็มีสาวใช้เข้ามาดึงอวี้เมิ่งเหยาเอาไว้ เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยเดินตัวปลิวเข้าไปในเรือนคู่อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใบหน้าของอวี้เมิ่งเหยาก็ปรากฏความเคียดแค้นวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ จำต้องกลับไปยังที่พักโดยการควบคุมของสาวใช้พวกนั้นอย่างไม่เต็มใจนัก

“พี่เจวี๋ย…” ซั่งกวนเจวี๋ยเข้ามาในเรือนมีคู่ ยังไม่ทันได้ขึ้นไปชั้นบนก็ถูกหวงเซียวเซียงและสือหย่าฉีขวางทางเสียก่อน ทั้งสองคนเผยท่าทีเป็นกังวล หวงเซียวเซียงกล่าวอย่างกระอึกกระอักอยู่บ้าง “พี่เจวี๋ย พี่มี่เอ๋อร์ถึงยามนี้แล้วก็ยังไม่ฟื้นเลย พวกเราต่างก็ร้อนใจ!”

สือหย่าฉีพยักหน้าคล้อยตาม ทว่าแววตาที่เป็นสุขทั้งยังดีใจที่เห็นคนอื่นประสบเคราะห์ร้ายกลับไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของซั่งกวนเจวี๋ยไปได้ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยิ่งโมโหขึ้นมา กล่าวอย่างเรียบเย็น “มี่เอ๋อร์มีพวกสาวใช้คอยดูแล ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยพวกเจ้าทั้งสอง พวกเจ้าทั้งสองก็ตามสบายเถิด!”

“พี่เจวี๋ย อย่างไรก็ให้พวกเรารั้งอยู่ที่นี่เถิด!” หวงเซียวเซียงเต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง “พี่มี่เอ๋อร์ยังไม่ฟื้น พวกเราจะจากไปอย่างวางใจได้อย่างไรกัน!”

“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!” สือหย่าฉีคล้ายกับนกแก้วตัวหนึ่ง

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ค่อยๆ รอไปเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยหมุนกายขึ้นบันไดไป แต่จู่ๆ ก็ชะงัก มองพวกหวงเซียวเซียงทั้งสองคนที่ตามมาทางด้านหลังอย่างหมดความอดทน “ยามนี้มี่เอ๋อร์กำลังสลบไม่ได้สติอยู่ ขอทั้งสองอย่าได้เข้ามารบกวนเวลาพักฟื้นของมี่เอ๋อร์!”

ใบหน้าของหวงเซียวเซียงปรากฏความกระอักกระอ่วน หยุดฝีเท้าที่กำลังเดินตามไปทันที ได้แต่มองซั่งกวนเจวี๋ยเดินขึ้นบันไดไป ก่อนพวกสาวใช้ของเรือนมีคู่จะส่งสายตาเป็นนัยให้กัน เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเสียดสี ทำให้ทั้งสองคนล้วนหน้าเสียอยู่บ้าง

“คุณชาย ในที่สุดท่านก็มา!” หลังจากม่านเหอเห็นซั่งกวนเจวี๋ยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จื่อหลัวหยัดกายขึ้นทันที ละออกมาจากตำแหน่งที่อยู่ข้างเตียง ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยสีหน้าซีดเผือดนอนอยู่บนเตียง ความรู้สึกก็ประดังประเดเข้ามาในใจนับร้อยพัน ยากที่จะจัดการเป็นอย่างมาก

“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!” ซั่งกวนเจวี๋ยกดเสียงต่ำ ในใจนั้นมีเพลิงโทสะตีตื้นขึ้นมา “จื่อหลัว เจ้าพูดมา! เจ้าอยู่ข้างกายมี่เอ๋อร์ไม่ห่างไปไหนเลยมิใช่หรือ? เหตุใดจึงปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้กับมี่เอ๋อร์ได้!”

“คุณชาย!” จื่อหลัวคุกเข่าลงไปอย่างแรง ใบหน้าเผยท่าทีเสียใจและตำหนิตนเอง “คุณหนูอวี้ต้องการพูดคุยกับสะใภ้ใหญ่ตามลำพัง ไม่อยากให้พวกบ่าวคอยอยู่รับใช้ข้างกายเจ้าค่ะ เดิมคิดว่านี่คือในจวน สะใภ้ใหญ่และคุณหนูอวี้ก็ไม่ได้อยู่ไกลหูไกลตาจากพวกบ่าว คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ คุณหนูอวี้จะเสียการควบคุมตะโกนใส่สะใภ้ใหญ่จนตกใจ ทั้งนึกไม่ถึงอีกว่าสะใภ้ใหญ่จะตกลงไปในน้ำ! แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ล้วนเป็นเพราะบ่าวบกพร่องต่อหน้าที่ ขอคุณชายลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”

“นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครคอยรับใช้อีก?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าจื่อหลัวเป็นสาวใช้ที่มีความสามารถที่สุดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็ไม่ได้กล่าวลงโทษอะไร แม้ว่าจะต้องจัดการที่นางละเลยต่อหน้าที่ ก็ย่อมต้องรอเยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก่อนจึงจะค่อยพูดเรื่องนี้

“ยังมีช่าจื่อและติงเอ๋อร์อีกเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวกล่าวทั้งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ช่าจื่อและติงเอ๋อร์กระโดดลงน้ำไปช่วยสะใภ้ใหญ่ขึ้นมา พวกนางต่างก็ถูกลมหนาว บ่าวจึงตัดสินใจโดยพลการให้พวกนางไปพักผ่อนในยามนี้ก่อนเจ้าค่ะ!”

ซั่งกวนเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้า จับมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เย็นเฉียบอยู่เล็กน้อย ก่อนกล่าว “เจ้าตื่นขึ้นมาเถิด ม่านเหอ จัดการผู้คนที่วุ่นวายทางด้านล่างแล้วสินะ”

“คุณชาย ฮูหยินและฮูหยินใหญ่ล้วนมากันหมดแล้วเจ้าค่ะ!” ม่านเหอชะงักไปเล็กน้อย “ฮูหยินเข้ามาหาสะใภ้ใหญ่ หลังจากได้ยินการวินิจฉัยจากหมอแล้ว ก็ไปเฝ้าทางครัวต้มยาด้วยตัวเอง ส่วนฮูหยินใหญ่กล่าวว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้สืบเสาะหาความจริงที่แน่ชัด ขอคุณชายใหญ่ระมัดระวังด้วย อย่าให้ใครถูกใส่ร้ายโดยไร้เหตุผล ทั้งอย่าได้พาลเอาความโกรธไปลงที่คนอื่นเจ้าค่ะ!”

“ความหมายของนางคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์กระโดดลงไปในน้ำเองอย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าทั่วป๋าซู๋เยวี่ยกำลังคิดปกป้องหญิงสาวทั้งสามคน ไม่อยากให้ตัวเองทำให้นางลำบากใจ ทั้งไม่อยากให้เขาใช้โอกาสนี้ขับไล่ทั้งสามคนไป ความโกรธที่สุมอยู่ในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมา

“ตอนที่สะใภ้ใหญ่กลับมาทั่วทั้งร่างล้วนแข็งทื่อ บ่าวพบเจอรอยฟกช้ำไม่กี่แห่งบนร่างของสะใภ้ใหญ่ด้วย คล้ายกับถูกคนลอบใช้อาวุธลับทำร้ายเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวอย่างเรียบง่าย “เป็นบ่าวและม่านเหลียนที่ลำบากยากเย็นกว่าจะคลายเส้นลมปราณที่ถูกสกัดไว้อยู่หลายแห่งนั้นได้ สะใภ้ใหญ่จึงไม่ได้แข็งทื่อเหมือนก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ!”

“ดียิ่ง คนหนึ่งนัดพบที่ริมทะเลสาบอย่างประสงค์ร้าย อีกคนฉวยโอกาสลอบวางแผนลับหลัง!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าว

อย่างเยียบเย็น “เรื่องนี้ไม่อาจเผยแพร่ออกไปได้ ม่านเหลียน เจ้าไปสืบให้ข้ามาอย่างแน่ชัด ในยามที่สะใภ้ใหญ่ตกน้ำ มีใครรั้งตัวอยู่แถวริมทะเลสาบอีก”

“เจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยในยามนี้ได้โกรธอย่างแท้จริง รับคำสั่ง แต่ก็ไม่ได้ออกไปอย่างทันที

“ไปเถิด ไปบอกทั้งสองคนด้านล่างนั้นด้วย ให้พวกนางกลับไปที่เรือนใต้ก่อน ข้าและมี่เอ๋อร์ล้วนไม่อยากพบพวกนาง” ซั่งกวนเจวี๋ยลูบไล้ใบหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไร้การแต่งแต้ม นางดูคล้ายสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

“เจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนรับคำสั่งก่อนจากไป

“แค่กๆ…” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไอออกมาอย่างไร้การควบคุม คล้อยหลังเสียงไอของนาง น้ำสกปรกก็ไหลออกมาจากมุมปาก จื่อหลัวถลาเข้าไปที่ด้านข้างเตียงอย่างรวดเร็ว เช็ดน้ำสกปรกนั้นให้กับนาง น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา

หลังจากไอออกมาอย่างรุนแรง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พยายามลืมตาขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าที่เป็นห่วงและสีหน้าตกใจของทั้งสามคน ก็ฝืนยิ้มออกมา อยากจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่กลับเป็นเสียงไอออกมาแทน

“จื่อหลัว ให้ข้าดีกว่า!” ซั่งกวนเจวี๋ยเหวี่ยงรองเท้าออกไป ก่อนจะพลิกกายขึ้นไปบนเตียง พยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมาให้ร่างครึ่งหนึ่งของนางพิงอยู่ในอ้อมอกเขา ก่อนจะรับผ้าขนหนูมาจากมือจื่อหลัวมาเช็ดสิ่งสกปรกออกจากมุมปากของเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“เอาออกมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ “นี่คงจะเป็นน้ำที่หลงเหลืออยู่ในปอด ท่านหมอกล่าวว่า ขอเพียงแค่ฟื้นขึ้น แล้วพ่นสิ่งเหล่านี้ออกมาก็จะดีแล้วเจ้าค่ะ!”

จื่อหลัวยกน้ำอุ่นและกะละมังเข้ามา น้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี “สะใภ้ใหญ่ ท่านบ้วนปากเสียหน่อย จะได้เอาของสกปรกที่อยู่ในปากออกมาเจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างอ่อนแรง ก่อนจะอมน้ำบ้วนปากจากมือของจื่อหลัว หลังจากรู้สึกว่าในปากสะอาดแล้ว ก็กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าอยู่บ้าง “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดข้าจึงเป็นเช่นนี้?”

“สะใภ้ใหญ่ ท่านจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้หรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวกล่าวอย่างกังวล น้ำตาที่อดกลั้นอยู่ค่อนวันในที่สุดก็ไหลลงมา อยากที่จะลากตัวคนร้ายออกมาสับเป็นชิ้นๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไป

“ข้า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปวดตา ก่อนน้ำตาจะเอ่อล้นขึ้นมา “ข้านึกออกแล้ว คุณหนูอวี้นัดข้าที่ศาลาริมน้ำกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญที่จะพูดกับข้า ทั้งยังบอกว่าต้องการคุยกับข้าเพียงลำพัง และข้าก็ตอบตกลง!”

“นางพูดอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยในยามนี้ไม่คิดที่จะเชื่อคำพูดของอวี้เมิ่งเหยาแม้แต่น้อย หากนางเพียงอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไฉนจึงเลือกที่ศาลาริมน้ำ? ทั้งยังจู่ๆ ก็ตะโกนกร้าวออกมา? และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ แม้แต่ช่าจื่อและติงเอ๋อร์ล้วนสามารถลงน้ำไปช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกมาได้ทัน แต่นางกลับไม่อาจช่วยดึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กำลังจะตกน้ำเสียอย่างนั้น? ควรรู้ว่านางนั้นเป็นวรยุทธ์ แม้จะไม่อาจพูดได้ว่าเก่งกาจมากมาย แต่หากจะช่วยคนที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว

“นางกล่าวว่าอยากจะรู้มากว่าเหตุใดข้าจึงไม่ยอมสนิทสนมกับนาง? เหตุใดจึงไม่ยอมรับนาง? ข้าเป็นเพียงหญิงสาวต่ำต้อยที่มีชาติกำเนิดพ่อค้าวาณิชเท่านั้น ถือสิทธิ์อันใดมาแต่งกับสามี…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะอึกออกมาอย่างทนไม่ไหว ร่างนั้นสั่นเทาอยู่บ้าง ซั่งกวนเจวี๋ยโอบกอดนางอย่างสงสาร ให้นางได้รู้สึกถึงความอบอุ่น และค่อยๆ สงบลงมา

“มี่เอ๋อร์ ไม่ต้องพูดแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยลูบหลังนางแผ่วเบา รู้ว่านางย่อมต้องเสียใจเป็นอย่างมาก “เรื่องที่ไม่มีความสุขก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน…”

“ข้าไม่เป็นไร…” น้ำตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไหลลงอาบแก้มอย่างช้าๆ “คุณหนูอวี้กล่าวว่านางจริงใจกับสามีขนาดท้องฟ้าและผืนดินก็ล้วนเป็นพยานให้ได้ พูดว่าสามีแต่งกับข้าก็เพราะถูกบีบบังคับ แต่สำหรับนาง เพื่อสามีแล้ว ไม่อยากให้สามีแบกรับคำกล่าวหาที่ผิดสัญญาหมั้น จึงเต็มใจถอยหนึ่งก้าว ให้สามีได้แต่งกับผู้หญิงธรรมดาเช่นข้าที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง นางยังบอกอีกว่า เพื่อสามีแล้วยอมที่จะไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่งเป็นอนุภรรยา ให้ข้าเรียนรู้ที่จะใจกว้างมีเมตตา อย่าได้เป็นตัวถ่วง!”

สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ จากนิสัยของอวี้เมิ่งเหยา บางทีคำพูดที่กล่าวออกมาคงจะระคายหูกว่านี้เป็นแน่ ตบหลังเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเบาๆ ให้ร่างที่สั่นสะท้านเพราะความเศร้าและโมโหนั้นค่อยๆ สงบลงไป

“ข้าเสียใจทั้งยังโมโหเป็นอย่างมาก ข้าจำได้อย่างแม่นยำ สามีเคยกล่าวกับข้า พวกนางก็เป็นเพียงคนที่ไม่สลักสำคัญอันใด ดังนั้น…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีท่าทีถดถอยอยู่บ้าง “ข้าสูญเสียสติไปบ้าง พูดคำพูดที่ไม่ดีออกไปมากๆ…”

จื่อหลัวเห็นท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็ถอนหายใจเล็กน้อย สบสายตากับม่านเหอที่รู้สึกอึดอัดเหมือนกันอยู่บ้าง ก่อนจะค่อยๆ ถอนกายออกไป

เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวคำพูดเจ็บแสบตอนนั้นที่นางพูดออกมาอย่างไม่ขาดแม้แต่คำเดียว กล่าวอย่างตำหนิตัวเองอยู่บ้าง “เวลานั้นอาจจะไม่ทันได้คิด แต่ยามนี้คิดขึ้นมาแล้ว คำพูดนั้นของข้าทำร้ายจิตใจคนจริงๆ ดังนั้น คุณหนูอวี้จึงโกรธเคือง ตะโกนเสียงดังขึ้นมา และก็ทำให้ข้าตกใจ!”

“จากนั้นก็ตกน้ำ?” ซั่งกวนเจวี๋ยคิดตามคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ได้เป็นเช่นนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ “เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างใจดีว่าว่าข้างหลังเป็นทะเลสาบ รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณหนูอวี้เป็นวรยุทธ์ ก็คิดอยากจะถอย เปลี่ยนสถานที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ทั้งร่างก็แข็งทื่อไม่ฟังคำสั่งใดใด อยากจะตะโกนร้องแต่ก็ไม่อาจอ้าปากได้ จากนั้นก็หงายหลังลงไป…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงหวาด กลัว แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้วก็ตาม ซั่งกวนเจวี๋ยกระชับกอดนางให้แน่นขึ้น ทั้งยังแน่ใจมากขึ้นไปอีกว่าต้องมีคนลอบวางแผนอยู่เบื้องหลัง

“เป็นฝีมือของอวี้เมิ่งเหยาหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่อาจปล่อยใครที่คิดจะทำร้ายเจ้าไปได้ทั้งนั้น!”

“ข้าว่า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามย้อนคิดกลับไป “ข้าจำได้ว่าก่อนที่ข้าจะตกน้ำ ในยามที่แทบจะสูญสิ้นสติ เห็นชัดว่านอกจากใบหน้าของคุณหนูอวี้ แม้ว่าใบหน้าของนางจะทำให้ข้ารู้สึกขัดหูขัดตา แต่ที่มากไปกว่านั้นยังมีความตกใจและยากที่จะเชื่ออยู่ ข้าว่าคงไม่ได้เป็นฝีมือของคุณหนูอวี้!”

ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ความมีเหตุผลของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้เขาพอใจ แต่ว่า…เขาประกายสายตาเย็นยะเยือกออกมา เป็นใครที่ลอบวางแผนทำร้ายเยี่ยนมี่เอ๋อร์กัน? นี่นับเป็นแผนอำมหิตที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว! แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาย่อมต้องทำให้มันจ่ายค่าตอบแทนนี้ออกมาเป็นแน่…

———————————–