บทที่ 112 คนตาย

คู่ชะตาบันดาลรัก

เกิดความวุ่นวายขึ้นในวัดเป่าหลิง ของตกแต่งล้มกระจาย ดอกไม้ร่วงหัก เศษขยะถูกโยนทิ้งไปทั่วทุกแห่ง

วิหารที่อยู่ห่างไกลออกไป เปลหามศพถูกโยนลงบนพื้นอย่างลวกๆ แม้ว่าจะยกกองทัพมา แต่กำลังพลก็ยังไม่เพียงพอ

ในการอพยพฝูงชนจำเป็นต้องมีคนจัดหน่วยคุ้มกัน บุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกพาตัวออกไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ พระสงฆ์ในวัดเป่าหลิงถูกควบคุมตัวไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว

ยุ้งฉางใต้ดินจำเป็นต้องมีคนตรวจสอบซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่ดีเลยทีเดียวนอกจากนี้ยังมีห้องเก็บพระสูตรซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยกลไกลับที่ไม่สามารถให้คนนำออกไปได้

พอลองมาชั่งน้ำหนักดูแล้วเรื่องคนตายคงต้องพักไว้ก่อนแล้วส่งคนไปเฝ้าที่ประตูทางเข้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด

ทหารที่หน้าประตูยืนตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็หันศีรษะไปอย่างตื่นตัวและถามกลับไป “นั่นใคร”

ทหารคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบเดียวกันเดินออกมาจากความมืด เขางอตัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งจับที่ท้องแล้วพูดอย่างกังวลว่า “พี่ชาย ท้องข้าไม่ค่อยดี พอมีที่ให้ทำธุระหรือไม่”

ทหารคนนั้นตอบกลับว่า “ข้าเองก็เพิ่งมาที่นี่จะไปรู้ได้อย่างไร เจ้าไปหาที่จัดการธุระของเจ้าตามสบายเถอะ”

คนผู้นั้นมองไปรอบๆ “มันมืดมากจนมองไม่ชัด ท่านช่วยชี้ทางให้ข้าได้หรือไม่ ว่าทางไหนห่างไกลออกไปกว่ากัน”

นายทหารไม่ได้สงสัยอะไรเขาแล้วหันไปด้านขวา พอเขายกมือขึ้นก็เห็นว่าชายตรงหน้ากระโดดขึ้นมาเอามือข้างหนึ่งปิดปากของเขา และใช้กริชที่ถืออยู่ในมืออีกข้างแทงเข้าไปในช่องท้องของเขา

ทหารเบิกตากว้างจ้องมองชายตรงหน้า

ใบหน้าที่หาไม่เจอหากถูกโยนลงไปอยู่ในฝูงชน รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า กริชที่แทงเข้าที่ท้องส่วนล่างของเขาถูกบิดจนอวัยวะในร่างกายของเขากลายเป็นก้อนเนื้อบด

ดวงตาของทหารสูญเสียการมองเห็นในทันที ร่างกายของเขาอ่อนลง

คนผู้นั้นพยุงเขาไว้ได้ทันจากนั้นก็ลากศพเข้าไปในห้องโถงแล้วซ่อนไว้หลังประตู

เขาเดินไปหาศพที่นอนบนเปล และจ้องมองอย่างเงียบๆ สักพักจึงย่อตัวลงแล้วยื่นมือออกไป…

ทันทีที่มือของเขาแตะจมูกของอีกฝ่ายดวงตาคู่นั้นก็เปิดขึ้น

จากนั้นมือของเขาก็ถูกปัดออก!

“หึ!” คนผู้นั้นนั่งลงกับพื้นแล้วถอดหมวกเกราะออก “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านยังไม่ตาย”

ศพนายท่านสามค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วปิดหน้าอกที่เพิ่งฟื้นฟูแต่หัวใจยังเต้นผิดจังหวะอยู่พลางพูดด้วยความรังเกียจ “คนโง่กลุ่มหนึ่งฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้”

“ดูเหมือนว่าคนฉลาดอย่างท่านจะถูกหลอกสินะ” คนผู้นั้นพูดด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของนายท่านสามบูดบึ้ง เขายังคิดไม่ออกเลยว่าเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่นี้ถูกเปิดเผยได้อย่างไร

ตอนที่เขาปรากฏตัวในเส้นทางลับสีหน้าของทั้งสองคนดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย

“ขอถามท่านสักเรื่อง” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนายท่านสามก็ตัดสินใจถาม “วิญญาณที่กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายเมื่อสิบปีก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเปิดปากพูดออกมา”

อีกฝ่ายเอียงศีรษะอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “เรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ ท่านก็ทราบดีว่ามนุษย์เมื่อตายไปแล้วส่วนใหญ่จะเข้าสู่วัฏจักรตามกฎอยู่แล้ว มีเพียงผู้ที่ไม่สามารถปล่อยวางได้อย่างแรงกล้าเท่านั้นถึงจะอยู่ต่อ ถึงแม้จะได้อยู่ต่อ แต่สติก็จะค่อยๆ เลือนหายไปกลายเป็นวิญญาณที่ไม่รู้สึกตัวอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย เรื่องนี้เดิมทีไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องอธิบาย”

นายท่านสามหงุดหงิดเล็กน้อย “แต่เรื่องที่ข้ายังไม่ตายอีกทั้งหลักฐานที่ซ่อนอยู่ในวัดเป่าหลิง นอกจากคนผู้นั้นที่ตายไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้”

อีกฝ่ายแตะคางอย่างครุ่นคิดผ่านไปเวลานานถึงพูดออกไปว่า “ต้องบอกว่ามีคนสามารถทำได้ และวิชาของคนผู้นั้นต้องบรรลุถึงขั้นสูงสุดด้วย”

นายท่านสามเหลือบมองเขา “แม้แต่ท่านก็เทียบไม่ได้งั้นหรือ”

เขาพยักหน้า “ข้าเทียบไม่ได้เลย”

นายท่านสามไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร…”

คนผู้นี้ไม่ได้เอาคำพูดของนายท่านสามมาใส่ใจในความคิดของเขา ถึงนายท่านสามจะระมัดระวังแค่ไหนก็ต้องมีช่องโหว่ เขามองไปยังทิศทางที่มีเสียงผู้คนที่ลอยมาจากด้านนอกแล้วพูดว่า

“ท่านอย่าล่าช้าเลย รีบไปเสียเถอะหากมีคนนึกถึงคนที่ตายแล้วอย่างท่านขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะถอนตัวออกไป”

นายท่านสามลูบหน้าอกของเขา เมื่อรู้สึกได้ว่าการเต้นของหัวใจเกือบจะฟื้นตัวแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ยาแกล้งตาย สิ่งนี้มีผลทำลายหัวใจและสมองอย่างมาก หากไม่ใช่สถานการณ์ที่คับขันละก็ นายท่านสามไม่ยอมที่จะทำเรื่องเช่นนี้แน่

ถ้าเขาตกอยู่ในมือของเจี่ยงเหวินเฟิงจริงๆ ก็ยากที่จะขอความช่วยเหลือ และหากการช่วยเหลือนั้นล้มเหลว เขามีแนวโน้มที่จะถูกกำจัดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาได้ล่วงรู้ความลับมากมาย

นายท่านสามไม่อยากตาย เขาสามารถแสร้งว่าเป็นคนตาย อาศัยอยู่ในห้องมืดเล็กๆ เป็นเวลาสิบปี ความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอดของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ

“ไปกันเถอะ!”

คนผู้นั้นสำรวจเส้นทางเสร็จก็กวักมือเรียกเขา “โชคดีที่ตอนนี้มีช่องโหว่ เจี่ยงเหวินเฟิงนำทหารลงจากเขาไปส่วนอีกคนอยู่ที่หินเทพธิดา”

นายท่านสามเดินตามเขาออกไปจากวัด เดินผ่านความมืดพร้อมกับถามว่า

“ในเมื่อท่านมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยให้เร็วกว่านี้เล่า เรื่องหินเทพธิดา หากท่านเต็มใจที่จะช่วยด้วยวิชาของท่าน ข้ามั่นใจมากว่าจะต้องสำเร็จ”

ชายคนนั้นหัวเราะเยาะ “นั่นเป็นความรับผิดชอบของท่าน เหตุใดข้าต้องยื่นมือเข้าไปด้วย อย่าลืมว่าข้าไม่เคยเห็นด้วยกับแผนการของท่าน”

“การเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน” นายท่านสามหัวเราะเสียงเย็น “หากท่านยื่นมือเขามาช่วย ข้าคงไม่เสียเวลาสิบปีโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้”

คนผู้นั้นหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเป็นเสวียนชื่อนะ!”

“แล้วอย่างไร”

“เสวียนชื่อต้องทำความสะอาดใต้หล้า ปกป้องผู้คน”

นายท่านสามหัวเราะเยาะ “ความชั่วร้ายของมนุษย์ที่ท่านจัดการไปมันน้อยหรือ อย่ามาเสแสร้งเลย!”

“ท่านไม่เข้าใจ” เขาพูด “ตอนที่ข้าไหว้ท่านอาจารย์ ข้าสาบานไว้ว่าข้าสามารถฆ่าคนด้วยกริชของข้า แต่จะไม่ใช้วิชาทำร้ายผู้คนมีเพียงคนอย่างท่านที่เรียนแค่ผิวเผินก็ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น”

น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นไม่รู้ว่าภาคภูมิใจหรือสงสารตนเองกันแน่

นายท่านสามคิดว่ามันไร้สาระ แต่เขาไม่พร้อมที่จะเรียนทฤษฎีอีกต่อไป

เขาในตอนนี้ต้องการความช่วยเหลือหากเขาถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในวัดเป่าหลิงคงหนีจากการไล่ล่าไม่พ้น

ไม่เป็นไร…เขาบอกกับตนเอง

ความล้มเหลวในชีวิตอาจมีเก้าสิบเก้าครั้ง แต่ตราบใดที่สำเร็จหนึ่งครั้ง สิ่งตอบแทนที่ได้รับมาอาจมีมากมายอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

หลายปีมานี้เขาสูญเสียภรรยาและบุตรสาว สูญเสียครอบครัวแล้วยังสูญเสียตนเอง ความอดทนที่ทนมานานแสนนานวันหนึ่งเขาย่อมได้รับสิ่งตอบแทน

จู่ๆ คนตรงหน้าก็ชะงัก

“มีอะไรหรือ” นายท่านสามถามเสียงเบา

อีกฝ่ายตอบว่า “มีบางอย่างกำลังมา”

พูดจบเขาก็รีบหยิบยันต์ออกจากแขนเสื้อใส่พลังแล้วสะบัดมันออกไป

ได้ยินเสียง ‘ชู่’ เบาๆ แล้วเงาจางๆ ก็รีบบินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

“หึ! เป็นวิญญาณจริงๆ!”

นายท่านสามเรียนรู้วิชามาหลายปี เขาเหลือบตามองดูอย่างไม่เต็มใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นงูสีขาวตัวเล็ก จู่ๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

แล้วก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งเพื่อนร่วมทางที่กำลังไล่ตามวิญญาณก็หยุดชะงัก

“จะไปไหนกันหรือ!” เสียงดังขึ้นอย่างเกียจคร้าน “นายท่านสาม”

นายท่านสามเงยหน้าขึ้น เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ภายใต้แสงจันทร์จางๆ

ฝั่งบุรุษอยู่ในชุดหรูหรา แต่เนื่องจากล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักในระหว่างวัน เสื้อผ้าของเขาจึงขาดวิ่นไปหลายจุด

ส่วนสตรีที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างเขานั้นยื่นมือออกไปและนำงูสีขาวตัวน้อยมาไว้ในฝ่ามือของนาง

……………………………………………