บทที่ 138 โดนรังแก

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ได้แต่คาดหวังกับคนตระกูลโจว

ที่จริงตอนที่แม่โจวโดนรังแกที่บ้านตระกูลจางใช่ว่าตระกูลโจวไม่มีใครมาออกหน้าให้ แต่คนตระกูลโจวเองก็อยู่กันลำบากอยู่แล้ว โจวอู่ที่ทำงานหนักทุกวันยังต้องอดทนกับหยางชุ่ยฮวาอีก

หยางชุ่ยฮวาเมื่อก่อนนั้นไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับแม่โจวเลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วนโจวเหวินก็อายุยังน้อย

บวกกับแม่โจวไม่ค่อยพูดเรื่องของตัวเองที่ตระกูลจางให้คนตระกูลโจวฟัง สองบ้านนี้จึงไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน ถึงได้กลายเป็นสถานการณ์ที่ต่อให้แม่โจวมีครอบครัวแท้ ๆ แต่ก็เหมือนไม่มีคนที่บ้านคอยหนุนหลัง

แม่โจวไม่โทษตระกูลโจวหรอก

แต่นางกลัวว่าลูกสาวตัวเองจะใช้ชีวิตเหมือนตัวเอง

ถึงตอนนั้นนางไม่มีปัญญาจะช่วยอะไรหรอก ต่อให้อยากช่วยก็ไม่มีกำลัง ในสถานการณ์แบบนี้ แม่โจวต้องอยากให้ลูกสาวสนิทกับคนตระกูลโจวอยู่แล้ว โดยเฉพาะโจวเหวินที่อายุห่างกันไม่มาก

แบบนี้พอจางซิ่วเอ๋อแต่งงานใหม่ หรือตอนที่จางชุนเถาแต่งงานจะได้มีคนหนุนหลัง

โบราณกล่าวไว้ น้าที่เป็นญาติแม่ใหญ่สุด ทุกคนให้ความสำคัญกับน้ามาก

จางซิ่วเอ๋อไม่ได้บอกว่าตัวเองคิดอะไร ตอนนี้พูดไปนางคิดว่าแม่โจวและจางชุนเถาคงยังไม่เข้าใจ ได้แต่รอให้ตัวเองทำออกมาก่อน ถึงตอนนั้นเอาให้ทุกคนใช้ พอใช้จนคล่องมือพวกนางจะได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเสียเปล่า

หลังจากซักผ้าเสร็จ จางซิ่วเอ๋อก็ไม่ได้รีบร้อนให้แม่โจวกลับไป แต่ให้แม่โจวอยู่พักที่บ้านตัวเองก่อนสักประเดี๋ยว

กลับไปตอนนี้ต่อให้คนตระกูลจางคิดว่าแม่โจวซักผ้าเร็ว ทำงานจนเสร็จหมดก็ไม่ชมแม่โจวหรอก มีแต่จะคิดว่าสมควรที่แล้วแม่โจวทำแบบนี้

ทั้งยังไม่เห็นใจแม่โจวแล้วให้นางพักด้วย จางซิ่วเอ๋อใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่าคนตระกูลจางจะทำอย่างไร ต้องหาเสื้อผ้าสกปรกตัวอื่นออกมาให้แม่โจวซักแน่ ๆ หรือไม่ก็ให้แม่โจวทำงานอย่างอื่น

อย่างกับไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องใช้ให้แม่โจวทำ

แม่โจวก็อุตส่าห์ทนมาได้ตั้งหลายปี!

ให้แม่โจวทำงานยังไม่เท่าไหร่ ที่น่าโมโหที่สุดคือตอนที่ตระกูลจางให้แม่โจวทำงานแต่ตอนกินข้าวกลับไม่ให้แม่โจวได้กินอาหารดี ๆ

อย่างเช่นถ้าในกับข้าวมีเนื้ออยู่ครึ่งชั่ง เนื้อพวกนั้นก็ไม่ตกถึงท้องแม่โจวสักชิ้น

สรุปก็คือ แม่โจวเป็นคนที่สถานะต่ำที่สุดในตระกูลจาง

รอจนฟ้ามืดลง แม่โจวนั่งไม่อยู่แล้วจริง ๆ จางซิ่วเอ๋อจึงได้แต่ยกกะละมังไม้และหอบเสื้อผ้าพวกนั้นไปส่งแม่โจว

พอถึงหน้าบ้านตระกูลจางก็ได้ยินจางอวี่หมินร้องโวยวาย “กลับมาสักที ข้านึกว่าเจ้าตกคลองไปซะแล้ว!”

จางซิ่วเอ๋อสีหน้าย่ำแย่ นี่เป็นคำพูดที่น้องสามีควรพูดกับพี่สะใภ้เหรอ?

ไม่ทันที่จางซิ่วเอ๋อจะได้พูดอะไร จางอวี่หมินก็ทอดสายตาไปที่จางซิ่วเอ๋อที่ยกกะละมังอยู่ พริบตาเดียวก็โหวกเหวกขึ้นมา “พี่สะใภ้ เจ้าไม่ได้ให้นังตัวซวยนี่ซักผ้าให้ข้าใช่ไหม? ถ้าเป็นแบบนั้นเสื้อผ้านี่ข้าไม่เอาแล้ว!”

จางซิ่วเอ๋อโมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เจอคำพูดหาเรื่องของจางอวี่หมินยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

จางซิ่วเอ๋อคิดว่าตัวเองเป็นคนมีสมบัติผู้ดี แต่ทุกครั้งที่เจอคนตระกูลจาง นางก็รู้สึกว่าตัวเองหมดความอดทนได้ง่ายมาก

จางซิ่วเอ๋อไม่กลัวจางอวี่หมิน นางเอ่ยเสียงเย็น “เสื้อผ้านี่เจ้าไม่เอาแล้วเหรอ? ถ้าอย่างนั้นข้าต้องชดใช้ให้เจ้าชุดหนึ่งหรือเปล่า?”

จางอวี่หมินได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย มองจางซิ่วเอ๋อด้วยความคาดหวังขึ้นมาทันที ก่อนจะเชิดคางพลางกล่าว “ต้องชดใช้สิ! เสื้อผ้าข้าปนเปื้อนไปด้วยความอัปมงคลของเจ้า! ใส่ไม่ได้แล้ว!”

จางซิ่วเอ๋อแกล้งทำหน้าเคร่งเครียด นางมองเสื้อผ้าตัวเองพลางเอ่ย “แต่ข้าไม่มีเสื้อผ้าอะไรดี ๆ แล้ว เสื้อผ้าบนตัวข้านี่ดีที่สุดแล้ว”

จางอวี่หมินทอดสายตาไปที่จางซิ่วเอ๋อ

วันนี้จางซิ่วเอ๋อใส่ชุดสีเขียวอ่อน ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูสุด ๆ

ไม่รู้ทำไม นางมองแล้วรู้สึกเหมือนเสื้อผ้านี่ขับหน้าคล้ำ ๆ ของจางซิ่วเอ๋อให้ขาวขึ้น

คุณภาพของเสื้อผ้านี่ไม่เลวเลยนะ…..

นางตื้อแม่เฒ่าจางอยู่นาน แม่เฒ่าจางก็ไม่ยอมซื้อให้นางสักชุด

จางอวี่หมินคิดได้แบบนั้นโพล่งออกมาทันที “งั้นข้าไม่เอาเรื่องเจ้าแล้วกัน เอาแค่ชุดนี้ของเจ้ามาก็พอ!”

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังแล้วยิ้มบาง ๆ พลางกล่าว “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่อยากใส่เสื้อที่นังตัวซวยอย่างข้าซักนี่? แล้วอย่างไร? เสื้อที่ข้าซักเจ้าไม่ใส่ แต่เจ้าชอบใส่ที่ข้าเคยใส่เหรอ?”

“ข้าจะบอกให้นะ เสื้อผ้าบนตัวข้าข้าไม่ใช่แค่เคยซักนะ ข้าใส่ทุกวันด้วย! ถ้าจะบอกว่าอัปมงคล! บนตัวข้านี่อัปมงคลของจริง!” จางซิ่วเอ๋อแดกดัน

จางอวี่หมินโดนจางซิ่วเอ๋อว่าเข้าถึงรู้ตัวทีหลังว่าโดนจางซิ่วเอ๋อลวงเสียแล้ว สีหน้านางดูไม่สู้ดี

นางกัดฟันแน่น “ใครอยากได้ชุดห่วย ๆ ของเจ้ากัน! เจ้าซักเสื้อข้าพัง เจ้าต้องใช้เงินให้ข้า!”

ตอนนี้จางอวี่หมินไม่อาจหน้าด้านพูดว่าตัวเองไม่อยากได้เสื้อตัวนี้แล้วเพราะนังตัวซวยเป็นคนซัก จึงเปลี่ยนคำพูด

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็พูดเนิบ ๆ “ข้าเคยเห็นคนหน้าด้าน แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าด้านเท่านี้มาก่อน!”

จางอวี่หมินโกรธจนกระทืบเท้า “ข้าไม่สน! เจ้าต้องใช้เงินให้ข้า!”

จางซิ่วเอ๋อพูดเสียงเย็น “อันดับแรก ข้าไม่มีเงิน อันดับสอง ต่อให้ข้ามีเงินข้าก็ไม่ให้! อันดับสาม…….”

“ต่อให้เจ้าคุกเข่าขอร้องให้ข้าซักเสื้อให้ ข้าก็ไม่ซัก!” จางซิ่วเอ๋อกัดฟันกรอด

ในขณะที่คุยกันอยู่ แม่เฒ่าจางและจางต้าหูก็เดินออกมาจากห้อง

แม่เฒ่าจางถลึงตา “โวยวายอะไรกัน? อัปมงคลจริง ๆ! กลางค่ำกลางคืนเสียงดังโหวกเหวกกันอยู่หน้าบ้าน จนข้านึกว่าวิญญาณร้ายในตัวคนบางคนยังออกไปไม่หมด!”

จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าทางแบบนั้นของแม่เฒ่าจางแล้วนึกฉุน “แหม ท่านย่า ออกมาทำไมกัน? ไม่กลัวว่าอยู่ใกล้ไปจะโดนวิญญาณร้ายหมายหัวเหรอเจ้าคะ?”

พูดเสร็จจางซิ่วเอ๋อก็แกล้งกลอกตามองบน

การมองบนนั่นพออยู่ในสายตาแม่เฒ่าจางแล้วดูน่ากลัวเป็นพิเศษ ภายใต้ความมืดมิดของค่ำคืนก็มองไม่เห็นตาดำเลยสักนิด ขาวโพลนทั้งเบ้า

แม่เฒ่าจางนึกไปถึงภาพที่ตัวเองเห็นที่บ้านผีสิง

เสื้อเปื้อนเลือดที่หายไปแล้วโผล่มาใหม่……

ทันใดนั้นก็นึกกลัวไม่น้อย

จนถึงตอนนี้แม่เฒ่าจางยังไม่ค่อยอยากยอมรับว่าตัวเองโดนหลอก นางรู้สึกว่าหูครึ่งเซียนมีความสามารถอยู่บ้าง ต่อให้หูครึ่งเซียนเป็นพวกต้มตุ๋น แต่สิ่งที่พวกนางเห็นกับตาคงไม่ใช่เรื่องหลอกลวง

คิดมาถึงตรงนี้ แม่เฒ่าจางก็ตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ นางถอยหลังเล็กน้อย ท่าทางไม่ได้มั่นอกมั่นใจเหมือนตอนแรก

หรืออาจะเพราะตอนนี้ฟ้ามืด ให้ความรู้สึกชวนขนลุกอยู่แล้ว ถ้าเป็นตอนกลางวันแม่เฒ่าจางอาจจะไม่กลัวขนาดนี้ก็ได้

จางซิ่วเอ๋อไม่รู้หรอกว่าการกลอกตามองบนที่ตัวเองทำเพราะดูหมิ่นกลับสร้างจินตนาการให้แม่เฒ่าจางได้มากมาย ถ้านางรู้คงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาอีกหลายๆครั้งเพื่อแกล้งให้แม่เฒ่าจางกลัว

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มันต้องหลอกชุดใหญ่อีกสักครั้งให้จับไข้หัวโกร๋นทั้งแม่เฒ่าจางทั้งอวี่หมินนะคะ ลำไยเหลือเกิน

ไหหม่า(海馬)