เล่มที่ 4 บทที่ 115 โต้คารม

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ขอโทษ ข้า…”

    ยิ่งเป็นคนใกล้ตัว หลินเมิ้งหยายิ่งไม่รู้จะพูดอะไร

    อาเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมกอดตื่นแล้ว ลิ้นสากเล็กๆ เลียนิ้วมือของหลินเมิ้งหยา ท่าทางเชื่อฟัง ไม่เหมือนหมาป่าเลยแม้แต่น้อย

    “เจ้าเด็กน้อย เหตุใดต้องพูดขอโทษกันเล่า ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำนั้น”

    ชิงหูยังคงส่งยิ้มตาหยี ลูบไล้เส้นผมของหลินเมิ้งหยา

    พิงแขนของชิงหู สำหรับนางแล้ว ชิงหูเปรียบเสมือนพี่ชายที่สนิทสนมที่สุดคนหนึ่ง

    “คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะลงมือได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งวิธีการยังน่ารังเกียจมากอีกด้วย”

    นางที่มาจากยุคปัจจุบันรู้สึกว่าวิธีที่คนพวกนั้นใช้ต่ำทรามจนเกินไป

    ทั้งที่เป็นราชวงศ์แห่งซีฟาน แต่กลับทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ขึ้นมาได้ หัวใจของหลินเมิ้งหยาเย็นยะเยือก บนหนทางข้างหน้ายังมีเรื่องอะไรรอนางอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?

    “ข้าเคยบอกแล้วว่าคนแบบนี้โหดร้ายเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เจ้าเด็กน้อย หัวใจของเจ้าบริสุทธิ์เกินไป”

    สงครามในวังหลวงมีกลอุบายมากมายถูกวางเอาไว้ คิดหรือว่าพวกเขาจะเปิดเผยตัว?

    ความรุ่งเรืองที่เป็นฉากหน้ามีไว้เพื่อปกปิดความดำมืดที่อยู่ด้านหลัง

    “ข้าอยากปกป้องทุกคน ชิงหู ข้าควรทำเช่นไร?”

    หัวใจของหลินเมิ้งหยากระวนกระวายตลอดเวลา อีกทั้งยังรู้สึกขมขื่นเกินกว่าจะพรรณนาได้

    ชิงหูลูบไล้เส้นผมของนาง ร่องรอยของความมิอยากแยกจากปรากฏขึ้นในดวงตา ทว่าเขากลับทำเพียงเอ่ยเสียงเรียบ

    “แม้เจ้าจะไม่ทำร้ายผู้อื่น แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่ทำร้ายเจ้า หากอยากปกป้องทุกคน เจ้าจะเอาแต่รอไม่ได้ เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเถาฮวาอู๋จึงกลายเป็นกลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเจียงหู?”

    ชิงหูส่ายหน้าพลางพูดเรื่องของเถาฮวาอู๋น้อยมาก

    “นั่นก็เพราะตอนที่ก่อตั้งเถาฮวาอู๋ ยอดฝีมือที่สามารถเทียบชั้นกับเถาฮวาอู๋ได้ถูกฆ่าไม่หมดแล้ว”

    ชิงหูเล่าเรื่องราวในอดีตโดยมิแสดงอารมณ์ใดๆ

    “ก่อนการต่อสู้ในครั้งนั้น ความลับของเถาฮวาอู๋มิเคยถูกเปิดเผย ดังนั้นพวกยอดฝีมือเหล่านั้นจึงมิได้เตรียมใจเอาไว้ ต่อมาไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเถาฮวาอู๋อีก”

    สายตาของหลินเมิ้งหยาเลื่อนมองทางภูเขาที่อยู่ไกลๆ นัยน์ตาเผยให้เห็นแสงประกายประหลาดบางอย่าง

    นางอยากปกป้องคนของนางทุกคน ดังนั้น นางจำเป็นต้องกำจัดคนเหล่านั้นให้หมด

    ทั้งไท่จื่อ ทั้งฮองเฮา นางจะต้องแย่งเอาอำนาจของคนเหล่านั้นมา เหตุเพราะพวกเขาใช้อำนาจในทางมิชอบ ข่มเหงรังแกผู้อื่นโดยไม่หวั่นเกรงเทวดาฟ้าดิน

    ถ้าหากนางช่วงชิงอำนาจในมือของพวกเขาไปจนหมด เช่นนั้นคงไม่มีใครทำร้ายคนของนางได้อีก

    “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะชิงหู”

    ส่งเสียงชัดแจ๋ว ไร้ซึ่งอาการสั่นเทิ้มหรือลังเลอีกต่อไป ชิงหูหันหน้ามองเส้นผมของนาง

    “เจ้าเด็กน้อย ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

    ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาหมดไปกับเรื่องชั่วร้าย อีกสามปีที่เหลืออยู่ เขาจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องดูแลนาง

    “ไม่ หากหลบซ่อนอยู่ด้านหลังผู้อื่นแล้วจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร?”

    นางส่ายหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏบนใบหน้านวล

    ถ้าหากมิใช่เพราะได้เห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าของนางเมื่อคืน เกรงว่ารอยยิ้มคงหลอกคนทั้งโลกได้แล้ว

    “ไปเถอะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป เมืองหลวงคงไม่สงบสุขอีกแล้ว”

    น้ำเสียงไร้ซึ่งความกระวนกระวาย เกรงว่านางจะรู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะพบเจอคือคลื่นพายุแบบไหน

    หลินเมิ้งหยาวางอาเสวี่ยลงบนพื้น หมาป่าตัวน้อยจ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยสายตาประหลาดใจ

    “ใช่แล้ว พายุจะเข้าแล้วล่ะ”

    ชิงหูเงยหน้า มองดูผืนฟ้ากว้างใหญ่ มองดูรอยยิ้มที่มุมปากซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก

    กลับมายังที่พัก พบว่าบรรยากาศกำลังตึงเครียด

    ไม่ว่าอย่างไรหูลู่หนานก็เป็นถึงองค์ชายรองแห่งซีฟาน เมื่อถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเจียนตาย ฮ่องเต้หมิงไม่มีทางปล่อยตัวคนร้ายไปเด็ดขาด

    ทันทีที่ปรากฏตัว ทหารองครักษ์พลันพุ่งเข้ามา ชิงหูอำพรางร่างกายก่อนหน้านั้นแล้ว เขาคอยปกป้องหลินเมิ้งหยาอยู่ในมุมมืด

    หัวหน้าทหารองครักษ์อายุราวสามสิบปีกำหมัดพลางเอ่ย

    “ทูลพระชายา ไท่จื่อเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

    มาเร็วเสียจริง

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง เดินตามหลังหัวหน้าองครักษ์ไปยังกระโจมของไท่จื่อ

    อาเสวี่ยเองก็รักษาหน้าของหลินเมิ้งหยา แสดงท่าทางน่ารักเชื่อฟังตลอดเวลา

    แม้จะยังตัวไม่โต แต่มันกลับมีท่าทางของเจ้าแห่งหมาป่า เงยหน้าแล้ววิ่งตามหลังของหลินเมิ้งหยา

    กระโจมของไท่จื่อ แน่นอนว่าเป็นกระโจมที่ใหญ่และหรูหราที่สุด

    ยังไม่ทันจะเดินเข้าไป หูก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันดังออกมาถึงด้านนอก

    “ขอให้อ๋องอวี้มอบตัวพระชายามาให้กับพวกเราจะดีกว่า ทุกคนล้วนเห็นว่ามีเพียงพระชายาเท่านั้นที่เข้าไปในกระโจมขององค์ชายรอง ตอนนี้องค์ชายร้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว ชายาอวี้ต้องรับผิดชอบ”

    ขันทีแหวกผ้าม่านออกนานแล้ว หลินเมิ้งหยาก้าวเข้าไป ขณะเดียวกัน สายตาของทุกคนหันมามองนาง

    “ถวายคำนับไท่จื่อ ฮ่องเต้หมิง”

    ถวายคำนับตามขนบธรรมเนียม กิริยามารยาทอ่อนน้อม ไร้ซึ่งท่าทางกระวนกระวาย

    ใบหน้านวลดั่งดอกฝูหรงหยักยิ้มอ่อนโยน มิได้มีอาการผิดปกติใดๆ

    ภายในกระโจม ฮ่องเต้หมิงและไท่จื่อนั่งอยู่คนละฝั่ง

    สีหน้าของทั้งคู่เคร่งขรึมเป็นปกติ นับตั้งแต่ตอนที่นางเดินเข้ามา สายตาของพวกเขาจับจ้องมองทางนางตาไม่กะพริบ

    “ชายาอวี้ ข้าขอถามเจ้า เจ้าเป็นผู้ลงมือทำร้ายองค์ชายรองใช่หรือไม่?”

    เปลวเพลิงขนาดย่อมฉายชัดในดวงตาของไท่จื่อ ทว่าสีหน้ายังคงเย็นชา

    ครุ่นคิด เมื่อครู่เขาถกเถียงกับฮ่องเต้หมิงไปแล้วรอบหนึ่ง

    ดังนั้น สีหน้าจึงไม่น่ามองเช่นนี้

    หลินเมิ้งหยากะพริบตา พร้อมผายมือออก สบตานิ่งก่อนจะเอ่ย

    “หม่อมฉันเองก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับองค์ชายรอง แต่หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เพคะ”

    แววตาของฮ่องเต้หมิงโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด

    แต่น่าเสียดาย ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับหูลู่หนาน ไม่มีองครักษ์คนไหนอยู่ข้างกาย แม้แต่นางบำเรอที่หูลู่หนานพามาด้วยก็มิได้อยู่ด้วย

    หมอหลวงตรวจร่างกายขององค์ชายรองแล้ว เกรงว่าเขาจะต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต

    มือกำแน่น อยากจะเข้าไปบีบคอสตรีคนนี้ให้ตายเสียให้ได้

    “ฮึ ชายาอวี้ ข้าจะพูดกับเจ้าตรงๆ เปิ่นหวังรู้ว่าเจ้ากับอาหนานมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ถึงขั้นทำร้ายลงมือจนได้รับบาดเจ็บปางตายเช่นนี้จะไม่รุนแรงเกินไปหรือ”

    ลูกชายคนรองของเขาดุทุกอย่าง ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือความเจ้าชู้ประตูดิน

    ไม่เพียงแค่นางบำเรอหรือนางกำนัลในเรือน กระทั่งมายังต้าจิ้น เขายังพานางบำเรอของจวนตัวเองมาด้วย

    แต่ถึงเขาจะเป็นอย่างไร สุดท้ายเขาก็คือลูกชายของตน

    เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บมากขนาดนี้ แล้วเขาจะทำใจได้อย่างไร

    “หม่อมฉันมีเรื่องบาดหมางกับองค์ชายรอง? หม่อมฉันไม่เข้าใจจริงๆ เพคะ ในวันงานเลี้ยงเลือกคู่ องค์ชายรองเลือกคู่โดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ดังนั้นจึงเลือกพี่เยว่ถิง แต่ความเข้าใจผิดในครั้งนี้ถูกแก้ไขแล้วมิใช่หรือเพคะ?”

    แสดงท่าทีไม่รู้และไม่เข้าใจ กอปรกับใบหน้าใสซื่อของหลินเมิ้งหยา ฉะนั้นทุกคนจึงไม่นึกสงสัย

    ราวกับมิได้กำลังถูกไต่สวน หลินเมิ้งหยานั่งลงที่ด้านข้าง สีหน้าใสซื่อ อีกทั้งยังแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใย

    “เจ้า…”

    ฮ่องเต้หมิงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องที่หูลู่หนานเคยลักพาตัวชายาอวี้

    เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ เพื่อสตรีเพียงคนเดียว เขาถึงขั้นทำลายคุณธรรมที่เคยได้รับการสั่งสอนมาหลายปีไปจนหมดสิ้น

    หากมิใช่เพราะเขาล้มเลิกใช้ที่มั่นในที่แห่งนั้น เกรงว่าพวกเขาจะต้องถูกขุดความลับขึ้นมามากกว่านี้อย่างแน่นอน

    “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว ชายาอวี้ไม่มีทางปฏิเสธข้อกล่าวหาในคราวนี้ได้หรอก เช่นนั้นเจ้าจะต้องอธิบายให้ข้าได้ฟัง”

    คำพูดของฮ่องเต้หมิงแฝงไว้ซึ่งการข่มขู่ ทว่ากลับไม่ทำให้หลินเมิ้งหยากลัว

    หยักยิ้มใสซื่อ ทว่าแววตากลับเย็นชาลง

    “คำอธิบาย? หม่อมฉันเองก็ต้องการคำอธิบายจากฮ่องเต้หมิงเช่นเดียวกัน”

    เสียงของหลินเมิ้งหยาเปี่ยมไปด้วยความโกรธ เพียงพริบตาเดียว หัวข้อสนทนาพลันเปลี่ยนไป

    ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเยว่ถิง เมื่อมองอย่างผิวเผิน คนที่ลงมือคือองครักษ์ของซีฟาน

    ทว่าหูลู่หนานที่เพิ่งจะปรากฏตัวอยู่กับนางบำเรอก็มิอาจพูดได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

    บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก หายใจติดขัด ทุกคนมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

    ฮ่องเต้หมิงขี่หลังเสือและมิอาจลงได้ แต่ใครบอกให้ลูกชายของเขาเป็นคนไม่เอาอ่าวเช่นนี้เล่า

    ทุกคนคงไม่รู้ว่า เขารู้จักอำนาจของสกุลหลินดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สกุลหลินอยู่ภายในใจการชี้นำของหลินมู่จื่อ ดังนั้นจึงมิอาจมีใครกล้าต่อกรกับสกุลหลิน

    หากใครกล้าทำให้สกุลหลินขุ่นเคือง พวกเขาเหล่านั้นจะต้องเสียใจ

    แม้ชายาอวี้จะอายุยังน้อย แต่ถึงกระนั้นฝีปากของนางกลับมิเป็นสองรองใคร

    เกรงว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากกว่าเดิมเสียแล้ว

    “เรื่องนั้น…ยังไม่มีข้อสรุป บางที…”

    ไท่จื่อครุ่นคิด ตอนแรกเขาคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะเหยียบเรื่องน่าอายเช่นนั้นเอาไว้

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะนำมันมาเป็นข้อต่อรอง

    “ยังไม่มีข้อสรุป? แต่เรื่องขององค์ชายรองแห่งซีฟานกลับมีข้อสรุปแล้ว? ทั้งที่หลักฐานมีครบมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดพวกท่านทั้งสองจึงแสดงท่าทีประหนึ่งทำการสรุปการพิจารณาคดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังใส่ร้ายพระญาติของกษัตริย์อีก หรือนี่คือวิธีการแก้ไขปัญหาของไท่จื่อและฮ่องเต้หมิง?”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงกดดัน ทั้งที่เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ ทว่าความน่าเกรงขามมิได้ด้อยไปกว่าชายทั้งสองเลย

    เสียงภายในกระโจมเงียบลง ไม่มีใครคาดคิดว่าชายาอวี้ผู้งดงามจะมีความกล้ามากมายถึงเพียงนี้

    แม้ไท่จื่อจะทำหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ทว่าเขายังไม่ใช่ฮ่องเต้ เมื่ออ้างอิงจากกฎหมายบ้านเมืองของต้าจิ้นแล้ว เขายังไม่มีสิทธิ์ลงโทษนาง

    ดังนั้น ท่าทางแสดงความเหนือกว่าที่ลดลงของเขาจึงเป็นโอกาสของหลินเมิ้งหยา

    “ที่ข้าเชิญเจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อถามไถ่เรื่องที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ชายาอวี้คิดมากเกินไปแล้ว”

    ในเมื่อเรื่องราวพลิกผันเป็นเช่นนี้แล้ว ไท่จื่อทำได้เพียงแสดงความอ่อนโยนมากขึ้น

    หากยังแสดงท่าทีแข็งกร้าว เกรงว่าพวกเหล่าขุนนางที่กำลังจับตามองเขาอยู่จะต้องปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ออกไปเป็นแน่

    หากถูกเล่าลือไปว่าเขากำลังเข้าข้างคนนอก เกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบกับเขามากพอตัว

    นี่มัน…อันตรายมากจริงๆ