ตอนที่ 134 ฝึกซูจิ้นจวินให้แข็งแกร่ง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 134 ฝึกซูจิ้นจวินให้แข็งแกร่ง

ซูตานหงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องวุ่นวายที่บ้านเพราะเรื่องที่เธอและสามีเสนอไปขนาดไหน

ปกติแล้วผู้คนมักเริ่มกลับมาทำงานหลังวันปีใหม่ในวันที่ 7 แต่จี้หงจวิน สวี่อ้ายตั๋ง และจี้เจี้ยนชวนก็ยินดีมาทำงานโดยไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องค่าแรงตั้งแต่วันที่ 2

ปีนี้คนงานประจำทั้งสามคนรวมถึงจี้เจี้ยนเหอต่างได้ของขวัญปีใหม่กันถ้วนหน้า

ทั้งน้ำตาลทรายแดง 1 ชั่ง เมล็ดแตงโม 2 ชั่ง และไข่จากบนเขา 2 ชั่ง รวมถึงหมูสามชั้นอีก 4 ชั่ง

ทุกคนต่างได้อย่างเท่าเทียมกัน นับได้ว่าผลผลิตปีนี้งอกงามมากทีเดียว

ยิ่งถ้ามีหัวไชเท้าดองหรืออะไรทำนองนี้ด้วย ก็ยิ่งเสริมสิริมงคลให้ครอบครัวมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในปีนั้น

จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งทำงานมานานหลายปีจึงคุ้นชินกับเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

แต่จี้เจี้ยนเหอเพิ่งเคยได้รับของขวัญเพราะเป็นปีแรกที่เข้ามาทำงาน

นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์ทางบ้าน โดยเฉพาะหลังเริ่มลงทุนทำสวนของตัวเอง ครอบครัวจึงต้องกินอยู่อย่างประหยัด อย่าว่าแต่เนื้อหมูเลย แม้แต่ไข่ไก่ก็ยังแทบไม่มีกิน พวกเขาจึงเก็บของที่ได้มาไว้ส่วนหนึ่ง และขายส่วนที่เหลือแลกเป็นเงินแทน

จี้เจี้ยนชวนผู้เป็นพี่ชายนั้นยังไม่ได้แยกตัวออกไป แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยมีสวนของตัวเองก็ตาม แต่ตอนนี้เขาพาครอบครัวแยกออกมาอยู่ข้างนอกย่อมลำบากไม่น้อย ทว่าหลังทำงานกับจี้เจี้ยนอวิ๋นเพียงไม่นานเขาก็ค่อย ๆ เริ่มตั้งตัวได้

ชีวิตของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ส่วนสวนผลไม้ที่เคยทำกับพ่อแม่มาก่อน เขาก็ตัดสินใจยกให้พี่ชายกับพ่อแม่ทั้งหมด เพราะไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว

เขาตัดสินใจจะยึดอาชีพนี้ไปในระยะยาว รวมถึงทำมาหากินในที่ดินของตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ ของเขาจะได้มีชีวิตสุขสบายสักที

อีกทั้งเขายังได้เงินเดือนมากกว่า 20 หยวนจากการทำงานให้เจี้ยนอวิ๋นด้วย เงินก้อนนี้นับว่าทำให้ครอบครัวมีกินไปได้อีกนาน ซ้ำภรรยาของอีกฝ่ายยังหมั่นให้ของขวัญในวันหยุดอยู่เสมอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภรรยากับลูก ๆ ของเขาที่บ้านจะมีความสุขเพียงไหน

และของที่นำกลับมาในปีใหม่นี้ก็ทำให้ครอบครัวของเขามีความสุขในวันปีใหม่อย่างแท้จริง

ทั้งน้ำตาลทรายแดง 1 ชั่ง ของว่างอย่างเมล็ดแตงโม 2 ชั่ง และไข่อีก 2 ชั่ง ไข่พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นไข่แฝดซึ่งนับว่าเป็นของดี ที่สำคัญคือได้หมูสามชั้นมา 4 ถึง 5 ชั่ง!

แน่นอนว่าเขาคนเดียวไม่สามารถกินของพวกนี้ได้หมด ขนาดแบ่งเมล็ดแตงโมกับหมูสามชั้นอย่างละชั่งไปให้พ่อแม่แล้ว เขาก็ยังมีส่วนที่เหลืออีกมาก

เมื่อเห็นครอบครัวมีความสุข จี้เจี้ยนเหอก็พลอยมีความสุขไปด้วย

เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากอีกต่อไปแล้ว

ทันทีที่เขารู้ว่าจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งไม่ได้หยุดงานช่วงปีใหม่ เขาก็รีบตามขึ้นไปช่วยงานบนเขาโดยไม่อิดออดแต่อย่างใดในทันที

หากแต่พวกเขาก็ต้องมีเรื่องให้ประหลาดใจอีก เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นประกาศว่าจะขึ้นเงินเดือนให้พวกเขาเป็น 30 หยวน

ปีแรกเขาขึ้นเงินเดือนเป็น 22 หยวน ก่อนจะขึ้นเป็น 25 หยวนในปีต่อมา และครั้งนี้ก็ขึ้นให้เป็น 30 หยวน

ค่าแรงเท่านี้เทียบได้กับในเมืองเจียงสุ่ยและนับได้ว่าไม่น้อยแต่อย่างใด

เป็นธรรมดาที่ทั้งจี้หงจวิน สวี่อ้ายตั๋ง และจี้เจี้ยนเหอจะมีความสุข เมื่อใครถามถึงเรื่องนี้พวกเขาก็บอกไปอย่างเปิดเผย ไม่นานชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็พากันอิจฉา

อย่าว่าแต่พวกเขาเท่านั้นเลยที่รู้สึกอิจฉา ขนาดจี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ หรือแม้แต่จี้อวิ๋นอวิ๋นมาได้ยินเข้าก็ยังต้องอึ้งไป

จี้เจี้ยนเหวินชะงักไปก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้กิจการของพี่สามเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ดูสิ ค่าแรงของคนงานพอ ๆ กับเงินเดือนของเราแล้ว”

ตอนนี้พวกเขาได้ขึ้นค่าแรงเป็น 25 หยวนแล้ว เมื่อรวมกับเงินพิเศษอื่น ๆ ก็มีรายได้เกือบ 30 หยวน อีกทั้งยังมีสวัสดิการที่ดีด้วย

พี่สามจ่ายค่าแรงได้ถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาจะทำเงินได้เท่าไร

ไม่อย่างนั้นคนงานทั้งสามจะได้เงินเดือนมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?

ทว่าอวิ๋นลี่ลี่กับจี้อวิ๋นอวิ๋นกลับรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย ผิดกับจี้เจี้ยนเหวินที่รู้สึกยินดีในความสำเร็จของพี่ชาย

แม้การทำสวนผลไม้นั้นจะได้กำไรมาก หากแต่สิ่งที่ต้องแลกก็คือค่าแรงคนละ 30 หยวนของคนงานสามคน เดือนหนึ่งต้องจ่ายถึง 90 หยวนทีเดียว!

มันมากกว่าค่าแรงของหล่อนกับเจี้ยนเหวินรวมกันเสียอีก แล้วพี่สามที่ทำงานมานานหลายปีจะได้เงินเท่าไรกันล่ะ? มิน่าเล่าเขาถึงมีรถซื้อรถยนต์ได้!

จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยความงงงัน “พี่สามหาเงินได้เยอะขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ?”

จะสามารถจ่ายเงินเดือนถึง 30 หยวนได้อย่างไรกัน ขนาดในเมืองมหาวิทยาลัยยังหาได้ยากนัก แล้วที่นั่นก็ต่างกันชนบทอย่างที่นี่ลิบลับ!

แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่จี้เจี้ยนอวิ๋นขึ้นค่าแรงก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้

คนงานทั้งสามทำงานขยันขันแข็ง จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงไม่คิดเสียดายเงิน

พอพ้นวันที่ 7 ซูจิ้นจวินก็มาถึง

ซูจิ้นจวินทำงานไม่ได้เรื่องสักนิดในวันแรกที่มาถึง คุณแม่จี้ถึงกับแอบถามจี้เจี้ยนอวิ๋นว่าให้อีกฝ่ายมาทำงานได้อย่างไร จะไม่เป็นการทำให้สองตระกูลแตกหักกันเปล่า ๆ หรอกหรือ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นยกยิ้มพลางบอกให้นางอย่าได้กังวลไป เขามีวิธีจัดการเรียบร้อยแล้ว

อาจเพราะเป็นวันแรกคนงานใหม่คนนี้จึงยังคิดว่าเป็นงานสบาย เขาจึงยังทำเหมือนเดิมในวันถัดมา

สามวันผ่านไปเขาก็ยังทำตัวเช่นเดิม ซ้ำยังบอกกับตัวเองว่ากังวลเกินไปเอง เขาเป็นพี่ภรรยาเสียอย่าง จี้เจี้ยนอวิ๋นจะกล้าทำอะไรเขาได้?

จนกระทั่งวันที่สี่ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เรียกเขามาฝึกศิลปะป้องกันตัว

เขาถึงกับล้มไปกองบนพื้นและลุกไม่ขึ้นอยู่นาน

“พี่ใหญ่ ลุกขึ้นมาฝึกสิครับ ไหน ๆ พี่ก็ไม่ได้มีงานต้องทำมากอยู่แล้ว ร่างกายไม่ได้ใช้งานแบบนี้ มาฝึกซ้อมสักหน่อยดีกว่านะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นหิ้วปีกซูจิ้นจวินขึ้นมาราวกับไก่

“ฉันยังมีงานต้องทำอีกเยอะ เลิกฝึกเถอะนะ เจี้ยนอวิ๋น” ซูจิ้นจวินโพล่งออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นงานตน

“ไม่เอาสิครับ ทั้งได้เงินเดือนแถมผมยังอยู่เป็นคู่ซ้อมทุกวันด้วย ดีออกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย

ว่าแล้วก็ลากอีกฝ่ายขึ้นมาจัดการอีกครั้ง

จี้เจี้ยนอวิ๋นมีฝีมือจนโจมตีให้ซูจิ้นจวินเจ็บโดยไม่มีร่องรอยภายนอกได้ เมื่อเขาไปฟ้องใครต่อใครว่าถูกจี้เจี้ยนอวิ๋นซ้อมจึงไม่มีใครเชื่อ

ชาวบ้านต่างลือกันให้ทั่วว่าซูจิ้นจวินเป็นคนขี้เกียจ เมื่อเห็นว่าเขามาทำงานได้สามวัน

ใครจะไม่รู้นิสัยของซูจิ้นจวินบ้าง? และที่เจี้ยนอวิ๋นยอมให้เขามาทำงานถึงแม้จะไม่เต็มใจนักก็คงเพราะเห็นแก่ภรรยา

ทุกคนต่างคิดว่าไม่นานเขาก็คงขอลาออกกับจี้เจี้ยนอวิ๋น และแล้วก็จะมีตำแหน่งว่าง

ค่าแรงถึง 30 หยวน นอกจากคนขี้เกียจแล้วจะมีใครไม่อยากได้บ้าง!

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเชื่อใจเขา ซูจิ้นจวินก็ถึงกับนึกหงุดหงิดในใจ

เขาคิดว่ากลับบ้านมาจะได้คำปลอบใจบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะโดนแม่ด่ากราดใส่ “ถ้าแกกล้าหือกับเจี้ยนอวิ๋นอีก ฉันจะเอาไม้ไปฟาดขาแกให้ลายเลยคอยดู!”

ดูสิ นั่นใช่คำพูดของคนเป็นแม่เหรอ?

เขาจึงคิดหันไปซบอ้อมอกภรรยา

“เจี้ยนอวิ๋นพูดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอคะ?” สะใภ้ใหญ่ซูถามขึ้น

“ให้ตายเถอะ เขาจงใจลากผมไปซ้อมมวยแล้วก็ใช้ผมเป็นกระสอบทรายนะ!”

หลังจากนั้นซูจิ้นจวินก็รู้สึกขมขื่นจนแทบจะอาเจียนออกมา เพราะคำพูดชวนปวดใจของภรรยา “คิดซะว่ายอมเป็นกระสอบทรายเพื่อเงินเดือนละ 30 หยวนแล้วกันค่ะ ถ้าคุณไม่คิดทำงานก็ทนโดนซ้อมไปเถอะ!”

มันทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน……………………………………………………..