ตอนที่ 200 นักข่าว

บนระเบียงที่ชั้นสอง เมื่อไม่มีนักข่าวอยู่ที่ด้านล่างแล้ว พวกเขาก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสบาย ๆ แต่มีเพียงแค่อันโหรวเท่านั้นที่กำลังกลั้นหายใจอย่างอึดอัดอยู่

“พรุ่งนี้ถ้าหากว่านักข่าวไปที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อถ่ายรูปหยางหยางละก็ งั้นความลับของฉันก็ถูกเปิดเผยหมดเลยนะ?” เธอไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนของเธอเร็วขนาดนี้หรอกนะ

“มากที่สุดก็แค่พวกเราให้กำเนิดลูกด้วยกัน เธอไม่ยอมรับ ฉันก็ไม่ได้ให้ใครมายอมรับว่าเธอคืออันโหรวนี่?” จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาเธออย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้เหลือเพียงแค่ช่วงนิ้วเดียวเท่านั้น พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ “ตอนนี้เธอสิควรอธิบายกับฉันว่ากับถังซั่วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“อะ ใช่! ขอบคุณที่เตือนฉันนะ โรงเรียนอนุบาลนั้นเป็นกิจการที่สกุลถังเปิดขึ้น ฉันสามารถขอความช่วยเหลือเขาได้นี่” เธอถอยหลังพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ขณะที่เธอกำลังหยิบโทรศัพท์ออกมานั้นก็ถูกจิ่งเป่ยเฉินแย่งไป

“จิ่งเป่ยเฉิน!” เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา ใบหน้าที่ซีดเหลืองมีแสงไฟอ่อน ๆ สาดส่องลงมา มันช่างดูงดงามเหลือเกิน อีกทั้งดวงตาสีน้ำตาลใต้ขนตาที่เป็นแพยาวซึ่งกำลังจับจ้องมองมาที่เขา

“ฉัน…..” เขาพูดเพียงหนึ่งคำ จากนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น

เขาหยิบขึ้นมาดูชื่อ แต่ก็ไม่ได้รับสายอะไร

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขาแล้ว เธอเองก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะโทรมา เพียงแค่ยื่นมือจะไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองคืน “เอาโทรศัพท์คืนมา และนายก็ไปได้แล้ว”

“คืนพรุ่งนี้ฉันจะเชิญถังซั่วและพวกเขามากินข้าวกัน ส่วนคนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่อง พวกเขาล้วนเป็นพี่น้องของฉัน ห้ามเอาไปพูดที่ไหนเป็นอันขาด” เห็นทีเขาจำเป็นแสดงอำนาจของตนเองบ้างเสียหน่อยแล้ว

การที่พี่น้องของตนคิดจะปล้นผู้หญิงไปแบบนี้ มันก็เหมือนเป็นเรื่องที่สมควรโดนสั่งสอน ต้องทำให้รู้เสียว่าใครเป็นเจ้าของกันแน่

“ทีนายมีข่าวซุบซิบเรื่องผู้หญิงเยอะแยะ มีสิทธิ์อะไรมาคุมฉันกัน เอาโทรศัพท์คืนมานะ!” เธอคิดอยากจะอธิบายให้เขาเข้าใจอยู่หรอก เพียงแต่ตอนนี้เธอเริ่มจะอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อย ๆ

เธอไม่สนใจว่าใครจะอะไรยังไง แต่เธอจะไม่ยอมให้ใครคนไหนมารังแกหยางหยางกับหน่วนหน่วนเป็นอันขาด โดยเฉพาะยิ่งตัวตนเดิมของเธอนั้ัน ถ้าหากถูกเปิดโปงไป ตระกูลอันที่เคยพ่ายแพ้และล่มสลายคงถูกหัวเราะเยาะแน่ ๆ เธอไม่ต้องการให้หยางหยางและหน่วนหน่วนถูกเยาะเย้ยแบบนั้น

เพราะงั้นแล้ว แผนของเธอก็คือสืบหาเรื่องราวของตระกูลอันก่อน หากมีโอกาสเธอจึงค่อยพูดเรื่องตัวตนของเธอ

หากช่วงเวลานี้ให้อยู่กับเขามันก็ได้อยู่หรอก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนี้

ดวงตาทั้งสองคนประสานกันกลางอากาศ มันเหมือนกับว่ากำลังมีไฟลุกโชนขึ้นตรงกลางระหว่างพวกเขา โทรศัพท์มือถือของจิ่งเป่ยเฉินดังขึ้นทำลายความเงียบงันเพียงชั่วครู่นี้อีกครั้ง

“รีบ ๆ รับโทรศัพท์ไปสิ” โทรมาครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ ดูท่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญน่าดู

“เธอแน่ใจนะว่าให้รับ?” จิ่งเป่ยเฉินหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้เธอดู

อันโหรวเห็นคำว่า ‘แม่’ อยู่ก็กลืนน้ำลายและพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระเชียว”

“พูดไร้สาระอะไร?” เขาดึงโทรศัพท์กลับมา ก่อนจะใช้นิ้วเรียวเลื่อนสไลด์ไปที่หน้าจอ สายตาของเขานั้นไม่ได้มองที่หน้าจอกลับมองไปที่หน้าของเธอแทน

เมื่อเห็นเขารับโทรศัพท์แล้ว เธอก็พยายามแย่งโทรศัพท์จากมือของเขา แต่เมื่อเธอยื่นมือออกไป จิ่งเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นแทนเสียอย่างนั้น

แน่นอนว่าตัวของเขาสูงกว่าเธออยู่แล้ว เธอที่สวมรองเท้าแตะแบน ๆ กับความยาวแขนของเขาที่ยาวขนาดนั้น มันก็เหมือนกับรังแกเธอชัด ๆ

เธอถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้าห้องไป!

จิ่งเป่ยเฉินมองเธอเดินไปด้วยรอยยิ้ม มือซ้ายเล่นมือถือของเธออยู่ ปากก็ไม่ลืมตอบคำถามของซูรั่วหยาเลยแม้แต่น้อย “แม่บอกว่าอยากอุ้มหลาน แต่เด็กเกิดมาอาจจะไม่เหมาะกับแม่เท่าไรนักหรอก แต่ผมก็หาหลานให้แม่ได้ตามความต้องการของแม่แล้ว”

“ที่ฉันพูดคือหมายถึงลูกของลูก ไม่ใช่ลูกของคนอื่น!” ซูรั่วหย่านั่งอยู่บนโซฟา เธอสงสัยว่าเรื่องที่เธอทำนั้นเป็นความผิดหรือเปล่า มันเหมือนบังคับให้เขาแต่งงานด้วยวิธีนี้เลย

ไม่อย่างนั้นละก็ เขาคงไม่ถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่ แถมยังเจอผู้หญิงที่มีลูกแล้วอีกต่างหาก

ต่อให้เธอคิดว่าเลขาคนนั้นดูไม่เลวก็เถอะ แต่เธอก็แอบดูดื้อรั้นอยู่หน่อย ๆ แถมยังเป็นลูกของคนอื่น ไม่ว่ายังไงเธอก็อยากอุ้มคนในสายเลือดของตัวเองนะ!

“พวกเราแต่งงานก็เป็นลูกของผมเหมือนกันนั่นแหละ” ยิ่งกว่านั้นจริง ๆ แล้วก็เป็นลูกแท้ ๆ ของเขาด้วย

“ลูกเฉิน แม่จะไม่บังคับลูกก็ได้ ค่อย ๆ เลือกละกัน เลือกดี ๆ นะ อย่าหุนหันพลันแล่น เรื่องพวกนี้เราสามารถพูดคุยกันได้นะ รู้ใช่ไหม?” เธอถามอย่างระวังเพราะกลัวว่าจิ่งเป่ยเฉินจะไปเลือกคนอื่นมาแต่งงานแบบขอไปทีเพราะถูกบังคับ!

“ไม่ต้องพูดคุยปรึกษากันหรอก ผมจะแต่งงานกับเธอ” เขาพูดจบก็เดินเข้าไปข้างในทันที

“ลูกเฉิน! อย่าทำให้แม่ตกใจแบบนี้ แม่แก่แล้ว หัวใจไม่แข็งแรงดี อย่าพูดอะไรที่น่ากลัวแบบนั้น” ซูรั่วหยาแตะที่หน้าอกของตัวเอง ก่อนจะเรียกคนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ให้ไปเอาน้ำชามาให้เธอ

“งั้นก็รีบชิน ผมจะรีบรวบความสัมพันธ์นี้แล้ว” หลังจากที่เขาพูดจบก็วางสายไปทันที ซึ่งซูรั่วหยาก็ไม่ได้โทรมาหาเขาอีก

เมื่อเขาเข้าไปข้างในก็เห็นหน่วนหน่วนนอนหลับเสียแล้ว เขาจึงลงไปข้างล่าง แต่ยังไม่ทันเดินลงไปข้างล่างสุดก็ได้ยินเสียงของอันโหรวตะโกนขึ้นมาว่า

“จิ่งเป่ยเฉิน! ลงมาหาฉันนี่!” เธอรู้สึกว่าความสงบสุขปกติของเธอนั้นถูกทำลายลงตั้งแต่ที่จิ่งเป่ยเฉินได้พบเธอเมื่อครานั้น และวันนี้ก็ดูแย่ลงกว่าเดิมด้วย

“คิดถึงฉันเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินกะพริบตาให้เธอไปมา พร้อมกับรีบเดินลงไปข้างล่างด้วยความรวดเร็ว

“เหอะ! จิ่งเป่ยเฉินนายทำแบบนี้ได้สินะ!” เธอเดินมาหาเข้าพร้อมกับกอดอก “หลินจือเซี๋ยวทำงานล่วงเวลา แล้วไม่ทราบว่านายไปย้ายข้าวของเธอออกจากห้องของฉันตั้งแต่ตอนไหน ไร้ยางอายสิ้นดี!?”

วันนี้หลังจากที่เขาบอกให้หลินจือเซี๋ยวเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและยื่นกุญแจให้กับเธอเมื่อตอนนั้น เธอก็เลยรีบกลับมาที่บ้านตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อเก็บข้าวของ แต่ตัวอันโหรวกลับไม่รู้อะไรเลย เธอรู้สึกโง่มากตอนที่ไปรับหยางหยางและหน่วนหน่วนพร้อมกับเขา ทั้งยังถูกแอบถ่าย เขาทำได้ดีจริง ๆ ถึงขนาดจัดแจงเข้าบ้านด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยแบบนั้น

“ถ้าพวกเธอไม่ย้ายไปอยู่กับฉัน ก็มีแต่ฉันที่ต้องย้ายมาอยู่กับพวกเธอแทน” เขาเดินไปพร้อมกับรอยยิ้ม พลันเห็นหยางหยางยืนอยู่ที่มุมประตูห้องด้วยสายตาที่เย็นชา

“หยางหยาง ดึกแล้วลูกควรนอนนะ” เขาหยุดมองไปที่หยางหยางและพูดขึ้น

หยางหยางมองเขาด้วยท่าทีที่ไม่หวาดกลัว พร้อมกับพูดออกมาว่า “คืนนี้แม่จ๋ากับผมจะนอนด้วยกัน”

“เราเป็นเด็กผู้ชายนะ จะให้แม่จ๋านอนกับเราได้ยังไง เด็กดี นอนหลับด้วยตัวเองเถอะ” นั่นคือภรรยาของเขาเชียวนะ!

แม้แต่ตัวเขายังได้นอนด้วยกันไม่กี่ครั้งเอง แล้วจะให้เด็กน้อยมาแย่งคนที่เขาอยากนอนด้วยไปได้ยังไง

ไม่มีทาง ไม่มีทางแน่ ๆ

“พ่อก็เป็นผู้ชาย เป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องให้แม่จ๋านอนกับพ่อเลยนี่” หยางหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่อันโหรว ก่อนจะเอื้อมมือไปเกาะเธอไว้ “แม่จ๋า ในเมื่อห้องของน้าจือเซี๋ยวว่างขนาดนั้น ก็ให้พ่อนอนที่นั่นไปเถอะ!”

“ได้สิ!” เธอมีความสุขจนล้นปี่ เมื่อลูกชายช่วยเหลือเธอได้ในยามคับขันแบบนี้

เธอก้มตัวลงไปอุ้มหยางหยางขึ้นมา ก่อนจะมองไปยังใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้มืดครึ้มอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น

“พ่อ คืนโทรศัพท์แม่มาให้ผมด้วย” หยางหยางที่อยู่ในอ้อมแขนของอันโหรวไม่ลืมที่จะขอโทรศัพท์คืน

จิ่งเป่ยเฉินมองพวกเขาอย่างไม่เต็มใจเท่าไร ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้ “หยางหยาง ลูกจะเอาโทรศัพท์หรือแม่จ๋า? เลือกได้อย่างเดียว”

อันโหรวอยากหยิบมีดมาแทงเขาจริง ๆ จิ่งเป่ยเฉินคนนี้ทำไมถึงได้เป็นคนที่มีกลอุบายเต็มไปหมดขนาดนี้กันนะ เห็นทีเธอต้องระวังไว้บ้างแล้วสิ

“เอาแบบนั้นก็ได้ แม่จ๋าไปนอนกับหน่วนหน่วน ส่วนพ่อเอามือถือมาให้ผม” หยางหยางพูดจบก็กางมือเล็ก ๆ ออก พร้อมกับทำท่ากำแบกำแบ

อันโหรวมองไปที่หยางหยางอย่างชื่นชม ไม่คิดเลยว่าลูกชายของเธอจะเจ๋งขนาดนี้!

ครั้งนี้ใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินดำดิ่งลงกว่าเดิม เรียกได้ว่ามืดสนิทจนเห็นได้ชัด เขาอยากจะก้าวไปข้างหน้าและอุ้มหยางหยางออกไปจริง ๆ

ลูกชายทำตัวเป็นอริกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?

“นายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กอีกนะ?” อันโหรวช่วยพูดเสริมให้ เรื่องในค่ำคืนนี้เธอไม่มีทางให้อภัยเขาง่าย ๆ แน่