บทที่ 113

ถังหยินนั้นเคยผ่านชายแดนระหว่างพวกโม ดังนั้นจึงพอจะรู้เกี่ยวกับพวกโมมาบ้าง

และมันก็อย่างที่ชายหนุ่มคิดเอาไว้ เจาจูลูบมือของเขาแล้วหัวเราะแห้ง ๆ ด้วยสีหน้าอับอาย ด้วยไม่คิดว่าถังหยินกับอิงปูจะเป็นสหายกัน

ในจังหวะแห่งความเงียบนั้น เจาจูพลันตัดสินใจ เขายิ้มออกมาก่อนพูดว่า “งั้นเหลือ 100 เหรียญเงินก็แล้วกันนายท่าน ข้าเองก็เดินทางมาจากแดนไกลด้วย ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย หากน้อยกว่านี้เกรงว่าข้าจะทำกำไรไม่ได้แล้ว”

ชายหนุ่มยิ้ม หันมองไปยังหยวนจี้ อีกฝ่ายส่ายหน้าให้กับเขาเป็นนัย ๆ ว่านี่ยังไม่ใช่ราคาที่ต่ำสุด “ข้าไม่ได้คิดจะซื้อแค่ 100 ตัวหรอกนะ ถ้าหากอยากจะค้าขายกับข้าอีก งั้นแล้วเจ้าก็ต้องแสดงความจริงใจด้วย”

เจาจูเริ่มที่จะคิดเสียแล้วว่าถังหยินนั้นเป็นตัวปัญหา เขาได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ และพูด “นายท่าน ท่านคิดว่าข้าต้องเสี่ยงชีวิตมากขนาดไหนกัน สำหรับการเดินทางมายังแคว้นเฟิงในครั้งนี้ ?”

ถังหยินพยักหน้า “80 ขาดตัว ถ้ามากกว่านี้ไม่ให้แล้ว”

คำพูดของเขาไม่มีลังเลเลย ชายหนุ่มยืนยันคำไหนคำนั้นไม่มีการเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้น

เจาจูขมวดคิ้ว ก้มหน้าก้มตาคำนวณตัวเลขในใจ จริงอยู่ที่ว่ามันก็ยังได้กำไร หากแต่มันก็น้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้แต่แรก ทั้งยังน้อยเกินไปสำหรับการเสี่ยงชีวิตครั้งนี้

เมื่อเห็นเขากำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ถังหยินจึงกล่าว “จริง ๆ แล้วการซื้อในครั้งนี้มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้าจะซื้ออีกมากมายแน่นอนในอนาคต ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องดี ถ้าหากสหายเจายินดีที่จะให้ราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ ไม่งั้นแล้ว…”

“ไม่ ไม่ ไม่ !” ได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังจะหันหัวไปทางอื่น เจาจูก็ตะลึงแล้วส่ายหัวอย่างรวดเร็ว การติดต่อธุรกิจเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เขาไม่ยอมพลาดมันไปแน่ ๆ ต่อให้จะได้เงินน้อยลงก็ตาม “ก็ได้ ข้ายอมรับข้อเสนอของท่าน !”

“เยี่ยมมาก” ถังหยินมองหยวนจี้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ จึงหันกลับไปพูดกับเจาจูว่า “ข้าหวังว่าเราจะได้ทำธุรกิจกันต่อไปในอนาคตนะ”

“แน่นอนขอรับนายท่าน”

หลังจากเจรจาธุรกิจกันเสร็จแล้ว ถังหยินก็ออกคำสั่งให้ถังซ่งนำเงิน 8 พันเหรียญเงินมอบให้แก่เจาจู และพาม้าศึกเข้ามา

ระหว่างที่เห็นว่าเจาจูกำลังนับเงินอยู่ ถังหยินก็เดินขึ้นไปขี่บนม้าที่พ่อค้าคนนี้นำมา

ถึงม้าโมจะไม่แข็งแรงเท่าหลูอิงของเขา แต่ก็ไม่ได้ช้าเร็วต่างกันมากนัก มันทำความเร็วได้ดีกว่าม้าเฟิงและเร็วกว่าม้าของมอร์ฟีสแน่นอน ถ้าเขาซื้อม้าพวกนี้มาให้กองทหารม้าของเขาได้จำนวนเยอะ ๆ ละก็ การต่อสู้ที่เมืองราชสีห์ก็อาจจะมีหวังแล้ว !

หลังวนไปมาในสวนอยู่หลายครั้ง ถังหยินก็ลงมาแล้วลูบหลังของมัน ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจาจูเข้ามาพอดี “นายท่านพึงพอใจหรือเปล่าขอรับ ?”

“แน่นอน ถึงจะไม่ใช่ของที่ดีที่สุดแต่ก็ใช้ได้” ถังหยินพยักหน้า

เจาจูประหลาดใจและกล่าว “ม้าพวกนี้ข้าคัดเลือกมาอย่างดีเลยนะ”

ชายหนุ่มโบกมือ เรียกให้ข้ารับใช้พาหลูอิงเข้ามา “สหายเจา เจ้าคิดว่าม้าตัวนี้เป็นไงบ้าง ?”

เจาจูเป็นพ่อค้าม้า ดังนั้นย่อมรู้ดีอยู่แล้ว เขาแทบไม่ต้องขี่ก็รู้ความสามารถของม้าตัวนี้ได้ทันที เมื่อเห็นรูปร่างของมัน เขาก็รู้เลยว่านี่เป็นม้าที่ดีที่สุดของที่สุดแล้วในตอนนี้

เมื่อเห็นสีหน้าอันประหลาดของอีกฝ่าย ถังหยินจึงกล่าวไปว่า “ข้าได้ม้าตัวนี้มาจากพ่อค้ารายหนึ่ง ข้าหวังว่าสหายเจาจะหาม้าแบบนี้มาให้ข้าได้บ้าง” เขาพูดแบบนี้เพื่อบังคับให้เจาจูไม่เพิ่มราคาไปมากกว่านี้

“แน่นอน แน่นอน ได้เลยขอรับ” เจาจูพยักหน้าและโค้งคำนับให้

ชายหนุ่มแค่นเสียงแล้วบอกกับหยวนจี้ “จัดหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองให้กับเขาซะ”

“ขอรับนายท่าน” หยวนจี้ยิ้มแห้ง ๆ ให้

ถังหยินทำได้ดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก การกดราคาครั้งนี้สำเร็จไปอย่างงดงาม

เมื่อปัญหาเรื่องม้าจบลงไปแล้ว ถังหยินก็โล่งใจขึ้นมาก และคิดเริ่มแผนขั้นต่อไปในเร็ววัน หากแต่มันก็ยังไม่สามารถเริ่มได้ เพราะต้องรอข่าวสารจากหลีเทียนกับอัยเจีย และม้าศึกอีกชุดใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

ตั้งแต่ที่ถังหยินมาเป็นผู้ว่าที่เขตนี้ เขาก็ได้ทำการเคลื่อนทัพไปปราบปรามพวกโจรจนราบคาบไปจนถึงต่อสู้กับต่างชาติจนแทบจะไม่มีเวลาว่าง แต่ก็ยังดีที่ได้หยวนจี้คอยสนับสนุนในหลาย ๆ ด้าน

ไม่ว่าจะเป็นการมอบรางวัลให้กับชาวนาที่ทำได้ดี รวมไปถึงรางวัลล่อตาล่อใจแก่พวกชาวบ้านที่เคยหนีเข้าป่าเขาไปให้กลับมา ทั้งยังทำการลดภาษีเพื่อเรียกให้พ่อค้าเข้ามาที่นี่กันมากมาย และยังมีการปลดล็อกโซ่ล่ามที่ตรวนตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ให้ห่างจากชาวบ้านจนหมดสิ้นนั่นอีก !

ดังนั้นเมื่อถังหยินมาถึงเมืองเฮิง เขาก็พลันพบว่าท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้ามากมายไปหมด

การปรับปรุงเมืองขึ้นอยู่กับประชาชนด้วย และวิธีที่จะเอาชนะใจผู้คนได้ดีที่สุดก็คือการมอบในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

คืนนั้นหลังจากทานมื้อเย็น ถังหยินก็เรียกชิวเจิ้นเข้ามา ก่อนจะไปเปลี่ยนชุดสำหรับออกไปข้างนอก เพื่อเยี่ยมชมตลาดกลางคืนพร้อมกับสหายของเขา

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตลาดกลางคืนของเมืองเฮิงจะเปิดทุก ๆ 10 วันหรือไม่ก็ครึ่งเดือนครั้งและมีคนเดินน้อยมาก แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว…

มาถึงจุด ภาพของตลาดตรงหน้าเขานั้นมันก็เริ่มทับซ้อนกับบรรยากาศในเมืองหยานแล้ว

ชายหนุ่มยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลามาเดินเล่น ดังนั้นทุกสิ่งรอบตัวในตอนนี้จึงดูแปลกตาสำหรับเขา ชิวเจิ้นหันมาพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “สหายถัง เจ้าคิดว่าไงกับตลาดนี้ ?”

“รู้สึกเหมือนกับเมืองหยานเลย” ถังหยินหัวเราะ

ชิวเจิ้นหัวเราะตาม “ถ้าหากยังพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ บางทีที่นี่ก็อาจเทียบเท่าเมืองหยานได้เลยนะ”

ทั้งสองหยุดลงตรงหน้าร้านขายขนม เพราะชายหนุ่มอยากจะลองลิ้มรสของหวานจากเขตปิงหยวนเสียหน่อย ว่าแล้วถังหยินก็พลันหยิบแท่งน้ำตาลแล้วถาม “พี่ชาย กิจการช่วงนี้เป็นไงบ้าง ?”

ถังหยินเป็นหนุ่มหล่อและมีรอยยิ้มที่ตราตรึงใจ ทำให้พ่อค้าที่มองมีความรู้สึกในแง่ดีและยอมตอบกลับ “ดีมาก ๆ เลยล่ะ มีคนมากมายแบบนี้ เวลาค้าขายก็เลยขายของหมดทุกวันเลย ว่าแต่สังเกตจากเสียงเจ้าแล้ว ดูท่าพ่อหนุ่มมาจากต่างแดนใช่ไหมล่ะ ? ลองหาซื้อที่ดินในเมืองนี้สักหน่อยไหมล่ะ !”

ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็รู้สึกผ่อนคลาย จากตอนแรกที่ซื้อขนมถุงเดียวก็เลยเปลี่ยนเป็น 3 ถุงแทน “3 ถุงเท่าไหร่หรือ ?”

“30 ทองแดง”

ชายหนุ่มไม่ได้เอาเหรียญทองแดงมาด้วย ดังนั้นเขาจึงจ่ายด้วยเหรียญเงินแทน “ไม่ต้องทอน”

ในแคว้นเฟิง 1 เหรียญเงินมีค่าเท่ากับ 100 ทองแดง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของร้านจะตกตะลึงแต่เมื่อเจอเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้

ถังหยินมอบถุงขนมให้ชิวเจิ้น และเดินต่อไป

ระหว่างที่เดินนั่นเอง พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง

ชายหนุ่มมองไป ก่อนที่จะพบเข้ากับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่หน้าร้านขนมเมื่อครู่ และหนึ่งในนั้นกำลังจับแขนพ่อค้าแล้วพูดขึ้น “เฮ้ พี่ชาย ดูท่ากิจการจะขายดีนี่นา ข้าขอค่าคุ้มครองหน่อยก็แล้วกัน”

สีหน้าเจ้าของร้านบูดเบี้ยว เขาโกรธก็จริงแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ “100 ทองแดงต่อคืนยังไม่พออีกหรือ ? เจ้าจะเอาอะไรอีก…”

“หยุดมากเรื่องได้แล้ว !” นักเลงผู้นั้นไม่รอช้า รีบคว้าเหรียญเงินมาแล้วเดินจากไปพร้อมกับถุงขนม 2 ถุง

เมื่อเห็นพวกเขาเดินไปแล้ว เจ้าของร้านก็โกรธจนกำหมัดแน่นแต่ก็ไม่กล้าไปหาเรื่อง

ชาย 3 คนนั้นเดินไปยังร้านต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาเข้าไปข่มขู่ และเรียกร้องค่าคุ้มครองเช่นเคย ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนักเพราะไม่มีใครห้ามปรามเลย

ถังหยินขมวดคิ้วแล้วมองชิวเจิ้นที่อยู่ข้างเขา

ในฐานะผู้ปกครองเขต เขาไม่อาจปล่อยปัญหาเช่นนี้ไปได้

ชิวเจิ้นนั้นไม่รู้จักคนพวกนี้ ดังนั้นจึงกระซิบบอก “น่าจะเป็นพวกนักเลงหัวไม้ธรรมดา ข้าจะไปบอกกู่เยว่ให้จัดกลุ่มคนมารับมือเอง”

ถังหยินโบกมือ ถ้าหากจะจัดการเรื่องนี้ต้องเล่นที่ตัวหัวหน้าใหญ่ การมาไล่จัดการพวกลูกน้องแบบนี้ อย่าหวังเลยว่าปัญหาจะจบลงง่าย ๆ

“ตอนกลับไปอย่าลืมเตือนข้าให้เรียกเฉิงจินมาด้วยล่ะ”

“รับทราบ !” ชิวเจิ้นพยักหน้ารับ หากแต่ก็เต็มไปด้วยความสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหยินถึงไม่เรียกหาหยวนจี้แต่เป็นเฉิงจินแทนกัน ?