ตอนที่ 88-4 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

และในตอนนี้เอง อวิ๋นหว่านถงที่ถูกบ่าวเรียกให้มา ก็เดินนวยนาดมาที่ห้องโถงหลัก

 

 

วันนี้นางสวมชุดกระโปรงยาวจีบรอบตัวกับเสื้อเอวลอยพิมพ์ลายเถาวัลย์ดอกไม้สีฟ้า ทำให้เอวที่บางอยู่แล้วของนาง ยิ่งดูอ้อนแอ้นขึ้น เผยให้เห็นรองเท้าปักคู่สวยใต้กระโปรงขณะเดินกรีดกราย เชิดกรามขึ้นสูง สายตาเย่อหยิ่ง การที่คนเรามีความมั่นใจในตัวเอง ก็ย่อมมีสง่าราศีกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง

 

 

เมื่อวานนางก็เป็นเหมือนแม่ ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่ยืนอยู่หน้าคันฉ่องยาว ยกมือยกไม้ ยืดแข้งยืดขา เชิดหน้าบิดเอว ฝึกวางท่าวางทางตลอดทั้งคืน อย่าว่าแต่ท่วงท่าแบบเมียน้อยท่านอ๋องเลย กระทั่งท่วงท่าแบบฮองเฮานางก็เกือบฝึกสำเร็จ

 

 

พออนุฟางเห็นลูกสาว ก็กระตือรือร้นขึ้นมา จวนเว่ยอ๋องตอนนี้ไม่มีชายา ชายารองก่อนหน้านี้เสียชีวิตไปแล้ว มีเพียงชายาบ่าวสองคน กับพวกนกระจอกนกกระจิบที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ถ้าลูกสาวตนได้เข้าจวนเมื่อไหร่ ก็ย่อมเป็นใหญ่สุด ท่าทีสวยเริ่ดเชิดหยิ่งเช่นนี้ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วก็ยังหวาดหวั่น ไฉนเว่ยอ๋องจะไม่ชอบเล่า ต้องได้เป็นคนโปรดหลังเรือนแน่ๆ

 

 

“โอ้ว ถงเอ๋อร์มาแล้ว” อนุฟางร้องเรียกอย่างยินดีปรีดา คิดดึงความสนใจของผู้คนที่มีต่ออวิ๋นหว่านชิ่นให้หันมามองลูกสาวนาง “ดูสิ วันนี้ถงเอ๋อร์ของเราสวยขนาดไหน”

 

 

บ่าวข้างกายนางย่อมพูดเสริมเอาอกเอาใจนาง

 

 

“คุณหนูสามน่ะ สวยทุกวันอยู่แล้วเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่วันนี้วันเดียว”

 

 

“ใช่ๆๆ ดูข้าพูดเข้าสิ” อนุฟางตบน่องตนเองเบาๆ พลางหัวเราะ

 

 

อวิ๋นหว่านถงเดินเข้ามาในห้องโถงหลัก คารวะบิดากับท่านย่าและทุกๆ คน แล้วจึงหันไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ดูเหมือนครั้งนี้นางจะไม่คารวะแบบครั้งก่อนๆ เพียงก้มศีรษะลงเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วว่า

 

 

“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ถือสา ผละจากการตื้อถามของอาเม่ากับอาจู้ หันมายิ้มให้

 

 

“คิดไม่ถึงว่าน้องสามเข้าวังกับพี่ครั้งนี้ จะมีวาสนาดีถึงเพียงนี้ พี่ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีด้วยเลย”

 

 

อวิ๋นหว่านถงขมวดคิ้ว เพียงรู้สึกว่านางกำลังเตือนตนว่า ถ้าไม่ใช่นาง ตนก็ไม่มีทางโชคดีแบบนี้หรอก และเหมือนกำลังประชดด้วยว่า วิธีที่ตนใช้นั้นสกปรก จึงทำหน้าเหมือนคนถูกคนรังแก ให้ผู้คนเห็นแล้วคิดว่า อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังหาเรื่องนาง สาดโคลนนาง

 

 

นิสัยลูกเมียน้อยชัดๆ เมี่ยวเอ๋อร์ส่ายหน้า ก็ตัวเองอาศัยรัศมีของคนอื่น ใช้วิธีสกปรก โกงวาสนาของคนอื่นมาจริงๆ นี่ แล้วยังไม่ทันไร ก็มีหน้ามาวางท่าแบบนางคณิกาผสมหญิงม่ายอีก คนเห็นแล้วจะไม่ให้พูดตักเตือนได้อย่างไรกัน

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เป็นคนที่ทนอะไรไม่ค่อยได้ จึงเกร็งคอ ก้มกระซิบเสียงเบาอยู่ด้านหลังอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“วิ่งวุ่นไปทั่ววัง ดีที่ตกองค์ชายได้ ถ้าไม่ทันระวัง ไปตกขันทีเข้า ดูซิว่าจะยังจะแต่งด้วยอีกไหม”

 

 

อวิ๋นหว่านถงยืนใกล้ๆ เมี่ยวเอ๋อร์ จึงได้ยินคำพูดตีวัวกระทบคราดของนางทุกคำ ไม่มีใครฟังไม่ออก มีแต่ตนเท่านั้นที่รู้ความหมายอย่างชัดเจน จึงเงยใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้น จ้องมองมาด้วยสายตาดุดัน จนแทบจะกินเลือดกินเนื้อเมี่ยวเอ๋อร์เสียตรงนั้น

 

 

อนุฟางเห็นลูกสาวโดนรังแก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร ความหยิ่งทะนงที่ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงจึงบังเกิด กลอกตาที่ทอประกายไปรอบๆ แล้วจึงพูดดึงหัวข้อสนทนาออกไปไกล พลางยิ้มในใบหน้า

 

 

“พูดก็พูด เมื่อวานตอนที่คนในวังใช้รถม้าในวังมาส่งคุณหนูสามถึงจวนนั้น ขบวนรถใหญ่โตจริงๆ เล่นเอาคนบนถนนที่ขบวนรถผ่านทั้งหมดหันมามอง เดิมทีแม่เล็กคิดว่า เมื่อคุณหนูใหญ่ถูกไทเฮารั้งตัวอยู่ในวังทั้งที วันนี้แม่เล็กก็น่าจะมีบุญตาได้เห็นขบวนรถที่ใหญ่โตกว่าของคุณหนูสาม คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะกลับมาคนเดียว”

 

 

คิดจะแดกดันว่าคุณหนูใหญ่สู้คุณหนูสามไม่ได้รึไง เห็นทีงานนี้จะเป็นการรนหาที่ซะแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์จึงหัวเราะเบาๆ

 

 

“เดิมทีก็มีรถในวังรอรับส่งคุณหนูใหญ่อยู่ และไม่เพียงรถในวัง ยังมีคนรับใช้ในบ้านของคุณชายผู้สูงศักดิ์มากมายขับรถม้ามาที่หน้าประตูเจิ้งหยาง เข้าแถวรอส่งคุณหนูใหญ่กลับบ้านยาวเหยียด! บ่าวมิได้โม้นะ พวกเขายังแย่งกันเสนอตัว จนเกือบจะตีกันในเขตพระราชฐานด้วยซ้ำ!”

 

 

พอถงฮูหยินได้ยิน ก็หัวเราะจนเห็นรอยย่นบนใบหน้า “โอ้ เรื่องแบบนี้ก็มีด้วย บ้านไหนบ้างล่ะ”

 

 

“เรียนผู้อาวุโส มีรถของบ้านท่านราชครูหยาง ซึ่งราชครูก็คือครูของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นขุนนางของราชสำนักมาสามรัชสมัยแล้ว กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังต้องฟังท่านเลย! และยังมีรถของบ้านท่านอำมาตย์พระราชปนัดดาอีก ซึ่งอำมาตย์ก็คือบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่งของต้าเซวียน ที่ขนาดท่านโหวอาวุโสมู่หรงแห่งจวนกุยเต๋อโหวก็ยังต้องชิดซ้าย!”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะพลาง อธิบายให้ผู้อาวุโสฟังพลาง เดิมทีก็คิดจะโพล่งชื่อของฉินอ๋องออกมาด้วย แต่คุณหนูใหญ่ถ่อมตัวเกินเหตุ ระหว่างทางกลับจวน กำชับตนนักหนาว่าไม่ให้บอกใคร เรื่องที่นางพบเจอฉินอ๋องและนั่งรถฉินอ๋องมา ตนจึงพูดได้เพียงเท่านี้

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่แรกเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ ถงฮูหยินก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะรักนกก็ต้องรักรังนกด้วย ตอนนี้พอเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ยิ้มหวาน ก็รู้สึกว่านางเหมือนหลานสาวคนหนึ่งของตนอย่างไรอย่างนั้น จึงยิ่งหัวเราะร่า พลางพยักหน้าหงึกๆ โดยแม้แต่อวิ๋นเสวียนฉั่งเอง หน้าตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางบอกว่า “ดี”

 

 

อนุฟางเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน อะไร อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะบอกว่าตัวเองเสน่ห์แรงจนใครๆ พากันยื้อแย่ง? แล้วไง ราชครูเอย พระราชปนัดดาเอยอะไร เทียบได้กับโอรสของฮ่องเต้หรือ เก่งจริงก็ตกองค์ชายให้ได้สักคนหนึ่งสิ ชนะเรื่องปริมาณผู้ชาย จะมีประโยชน์อะไร ต้องแบบถงเอ๋อร์ของข้านี่ ชนะเรื่องคุณภาพ

 

 

คิดพลาง อนุฟางก็ทำปากยื่นปากยาวโดยไม่รู้ตัว “นี่ถ้ามีองค์ชายสักคน จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ก็ไม่แน่นะ อาจเป็นเหมือนคุณหนูสามของเรานี่ล่ะ”

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็หันมองลูกสาวคนเล็ก แล้วว่า “อึม คราวนี้ต้องยกให้ถงเอ๋อร์จริงๆ”

 

 

แต่เมี่ยวเอ๋อร์ไฉนจะยอมให้แม่ลูกสกุลฟาง จึงบอกบ่าวให้ไปยกกล่องผลไม้เก้าเก้าเข้ามา

 

 

พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็น ไหนเลยจะไม่รู้ว่านี่คืออะไร หันมองลูกสาวคนโตนิ่งพลางว่า

 

 

“ชิ่นเอ๋อร์ นี่…ไทเฮาพระราชทานให้เจ้าหรือ”

 

 

ไม่รอคำตอบ เขารีบรับกล่องผลไม้เก้าเก้ามาอุ้มไว้อย่างปิติยินดี แล้วเปิดออกดูทีละชั้น พลางอธิบายความหมายให้ถงฮูหยินฟัง สักพัก ทั้งสองก็เอาแต่ชิมผลไม้ในกล่องไป ชื่นชมลูกสาวคนโตไป เล่นเอาอนุฟางโมโหจนปากแทบเบี้ยว

 

 

ขณะที่บรรยากาศในห้องกำลังเป็นไปอย่างคึกคัก หน้าประตูก็มีเสียงเอะอะดังมา

 

 

ม่อไคไหลออกไปดู แล้วกลับเข้ามารายงานว่า เป็นเหลียนเหนียงที่รบเร้าจะเข้ามา ขอความเป็นธรรมให้เถาฮวา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสะดุดกึก เหลียนเหนียงนี่มือเท้าคล่องแคล่วจริงๆ คิดจะทำอะไรก็ทำ โดนมีดกรีดทั้งตัวก็ยังยอม

 

 

เถาฮวาถูกนางยืมดาบฆ่าคน ถูกตีจนมีลูกไม่ได้ไปแล้ว

 

 

ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคาดแล้ว ต่อให้นางร้องขอความเป็นธรรม เจ้าบ้านก็ไม่มีทางให้เถาฮวาอยู่ในบ้านต่อเป็นแน่ แต่นางก็ยังต้องการใช้เรื่องนี้ ทำให้เจ้าบ้านประทับใจในตัวนางอีก

 

 

ทว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่อยากเห็นใครมาร้องห่มร้องไห้ในตอนนี้ เดิมทีคิดโบกมือ บอกให้คนในบ้านลากตัวนางกลับไป แต่ถงฮูหยินกลับพูดขึ้นก่อน

 

 

“คนมาจากที่เดียวกัน ย่อมรู้สึกผูกพันกันบ้าง ให้นางเข้ามาเถิด”