เมื่อถูกสะกิดเรื่องกลางใจพระพักตร์ขององค์หญิงตังตังดูไม่ได้ในทันที

เงินห้าล้านตำลึงนั้นมากเกินไป พระนางไม่ต้องการให้กู้ชูหน่วนแม้แต่สตางค์แดงเดียว

เสด็จอากลับให้คนมาทูลว่าให้พระนางคืนเงินให้กู้ชูหน่วนให้หมดไม่ให้ขาดเลยสักนิด ทำให้พระนางต้องจำนำของมีค่าทั้งหมดในจวนองค์หญิงและยังต้องล้วงในส่วนของเสด็จแม่ออกมากว่าครึ่งถึงได้รวบรวมมาได้จำนวนสี่ล้านตำลึง

ที่เหลืออีกหนึ่งล้านตำลึงพระนางยังไม่สามารถรวบรวมหามาได้ชั่วคราว

คงจะไม่สามารถให้นางซึ่งเป็นองค์หญิงองค์หนึ่งไปขอยืมเงินมาจากผู้อื่น

องค์หญิงตังตังทรงกริ้ว “ช่างน่าขัน ข้ายังจะต้องติดค้างหนี้อันใด? เงินแค่หนึ่งล้านตำลึงเจ้ารีบร้อนทำไมกัน ครู่หนึ่งข้าจะให้เจ้าอยู่แล้ว”

“ครู่หนึ่งนานเท่าใดเพคะ? ชาหนึ่งกา? หนึ่งก้านธูป? หรือว่าหนึ่งวันหรือว่าอีกหนึ่งปี?”

“หนึ่งวัน หนึ่งวันให้หลังข้าจะคืนเงินหนึ่งล้านตำลึงให้เจ้า”

“องค์หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซึ่งฐานันดรศักดิ์นั้นสูงส่งไม่ปัดหนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นเพียงหนึ่งวันสั้นๆพวกเราก็ต้องคิดดอกเบี้ยกัน”

“ดอกเบี้ยอันใดกัน?” พระพักตร์ขององค์หญิงตังตังครู่เขียวครู่ซีดจนแทบอยากจะกัดกู้ชูหน่วนให้ตาย

เวลาเพียงวันเดียวนางจะคิดดอกเบี้ยหรือ?

“เสด็จพี่ของท่านติดค้างหม่อมฉันอยู่สามล้านตำลึง หม่อมฉันได้คิดดอกเบี้ยกับพระองค์แล้ว หากไม่คิดดอกเบี้ยกับท่านหม่อมฉันเกรงว่าพระทัยอันบอบบางของเสด็จพี่ของท่านจะได้รับความเสียหายหนักหนา เพื่อความเป็นธรรมแล้วหม่อมฉันจึงต้องเก็บเป็นพิธีเล็กน้อย”

“เท่าไหร่” พระนางไม่ต้องการเสียเวลากับกู้ชูหน่วนอีกต่อไป

“กล่าวได้ดี จำนวนหนึ่งหมื่นตำลึง”

“พรึ่บ……”

องค์หญิงตังตังเกือบจะล้มลงพร้อมขึ้นเสียงสูง “เงินหนึ่งหมื่นตำลึง เหตุใดเจ้าไม่ไปแย่งชิงเอาหล่ะ?”

“เงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงคิดดอกเบี้ยท่านหนึ่งหมื่นตำลึงหม่อมฉันยังได้มาน้อยเกินไป จำนวนหมื่นตำลึงนั้นท่านไม่อยากให้ก็ไม่เป็นไรคืนเงินหนึ่งล้านตำลึงมาให้หม่อมฉันตอนนี้”

เนื่องจากใกล้เวลาเข้าเล่าเรียนลูกศิษย์ทั้งหลายจึงเข้าสำนักศึกษากันมาทีละคนๆ คนจำนวนไม่น้อยได้รวมตัวกันเจ้ามารวมถึงชี้กันไปมา

องค์หญิงตังตังไม่สามารถรับหน้าทนได้

หากว่าพระนางมีเงินหนึ่งล้านตำลึงก็คงจะโยนให้ตรงหน้านางไปนานแล้วยังจะให้นางเย่อหยิ่งจองหองเช่นนี้ได้หรือ

พระนางกำหมัดชมพูแน่นพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ได้ หนึ่งหมื่นตำลึงก็หนึ่งหมื่นตำลึง”

เซี่ยวอวี่เซวียนและหลิ่วเย่ว์อวี๋ฮุยรีบไปยังตรงหน้ากู้ชูหน่วน มองไปยังด้านหลังอันโมโหซึ่งจากไปขององค์หญิงตังตังแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่สาวน้อยเจ้าก็เลวเกินไปแล้วนะ เอาชนะผู้อื่นมาได้หลายล้านตำลึงแล้วแม้แต่เงินหนึ่งหมื่นตำลึงก็ไม่ละเว้น?”

“หมื่นตำลึงสามารถดื่มเหล้าบุปผาได้เท่าใดแล้ว ในเมื่อผู้อื่นยินยอมมอบให้เหตุใดเราจะไม่เอาหล่ะ?”

“นางยินยอมให้ที่ใดกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าบังคับผู้อื่นให้ยอม เมื่อคืนกลับไปเทพแห่งสงครามทำให้เจ้าลำบากใจหรือเปล่า?”

ในใจเซี่ยวอวี่เซวียนตึงเครียด เมื่อคืนเขาเฝ้าอยู่นอกจวนหานอ๋องตลอดเพียงแต่เฝ้าจนถึงเวลาใกล้รุ่งสาง ท่านพ่อของเขาส่งคนมาบังคับลากเอาเขากลับไป

เขาไม่ได้พักผ่อนเลยทั้งคืนคอยเป็นกังวลอยู่ตลอดว่าจะเกิดเรื่องกับแม่สาวอัปลักษณ์ขึ้น

กู้ชูหน่วนมองเขาด้วยสายตาอันซื่อบื้อ “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นเหมือนลูกพลับนุ่มนิ่มที่คนสามารถบีบได้หรือ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้เซี่ยวอวี่เซวียนจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เจ้าสวมเขาอันใหญ่ให้เทพแห่งสงคราม เทพแห่งสงครามกลับไม่ได้หาเรื่องทำให้เจ้าลำบาก?จุ๊จุ๊……ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”

หลิ่วเย่ว์อวี๋ฮุยบ่นว่า “พี่ใหญ่ เมื่อวานพวกเราทั้งสองรอท่านอยู่หอสุราเมิ่งจุ้ยทั้งคืนสุดท้ายท่านกลับไปดื่มเหล้าบุปผาแล้วก็ไม่พาพวกเราไปด้วย ท่านก็ช่างไร้น้ำใจเกินไปกระมัง”

กู้ชูหน่วนตบไหล่ของพวกเขาอย่างทระนงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ คราวหน้าพาพวกเจ้าสองคนไปด้วย”

“พรึ่บ……”

ขาของหลิ่วเย่ว์อวี๋ฮุยอ่อนฮวบลง

ไปดื่มเหล้าบุปผากับคู่หมั้นของเทพแห่งสงคราม?

ตีให้ตายก็ไม่กล้า

เทพแห่งสงครามจะไม่บีบพวกเขาจนตายหรือ