ปู้ฟางมองไส้กรอกวัวมังกรพเนจรกลิ้งไปมาในกระทะที่เต็มไปด้วยน้ำมัน แม้เขาจะกินเข้าไปชิ้นหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังอดอยากกินอีกไม่ได้เมื่อได้กลิ่นที่ลอยออกจากไส้กรอกในกระทะ อาหารที่ทำมาจากเนื้ออสูรเวทระดับเจ็ดนั้นยั่วน้ำลายเกินห้ามใจจริงๆ

“หมอนี่ตั้งใจปล้นกันชัดๆ… ขายไส้กรอกชิ้นละสองร้อยห้าสิบผลึก มันประสาทกลับจริงๆ!” หนี่หยันอดไม่ได้ที่จะก่นด่าเบาๆ ขณะนั่งลงด้วยท่าทางปึงปัง

ถังอิ่นยังคงรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตกขณะลดตัวลงนั่งข้างผู้เป็นอาจารย์ แม้ราคาของไส้กรอกจะสูงถึงชิ้นละสองร้อยห้าสิบผลึก แต่พวกเขาก็ยังซื้อกินอยู่ดี… นี่ไม่ได้แปลว่าคนที่ซื้อกินประสาทกลับกว่าหรอกหรือ

เฉียนเป่าที่อยู่ข้างๆ สูดลมหายใจเข้าลึก สมแล้วที่ได้รับฉายาว่าเป็นร้านใจไม้ไส้ระกำสุดหน้าเลือดแห่งนครหลวง ไส้กรอกหนึ่งชิ้น… ขายในราคาสองร้อยห้าสิบผลึก นั่นเกือบเท่ารายรับของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ทั้งสัปดาห์เลยทีเดียว อันที่จริงแล้วเฉียนเป่ารวยไม่พอที่จะกินไส้กรอกหนึ่งชิ้นด้วยซ้ำ

หนี่หยันหันไปมองสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนหลับอุตุอยู่หน้าร้านแล้วก็อดเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ ไส้กรอกที่อร่อยถึงเพียงนั้นกลับกลายเป็นอาหารสุนัขไปแล้ว เสียของจริงๆ

แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่ปู้ฟางพูดไว้เป็นจริงทุกประการ นางมาที่ร้านในฐานะลูกค้า หากนางอยากกินก็ต้องสั่งและจ่ายเงิน แต่สุนัขสีดำตัวใหญ่นี้ไม่ใช่ลูกค้า ปู้ฟางจึงให้อาหารมันด้วยไส้กรอกที่ขายนางในราคาสองร้อยห้าสิบผลึกได้

พูดให้ง่ายก็คือ ความแตกต่างอยู่ที่สถานะของแต่ละฝ่าย แม้หนี่หยันจะโกรธ แต่นางก็ต้องจำใจยอมรับสภาพนี้

หลังจากที่อ่านรายการอาหารทั้งหมด นางก็รู้สึกตกใจอยู่ในอก อาหารทุกจานราคาแพงจนเหมือนเจ้าของร้านสติแตกตอนเขียนป้าย แต่ความจริงที่ว่ามีลูกค้ามาอุดหนุนร้านนี้จริงๆ นั้นแตกต่างจากความคิดของนางมาก

หนี่หยันมองเหล่าชายอ้วนในชุดกันหนาวตัวหนาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะถัดไปแล้วก็พูดไม่ออก

ไม่นานนักปู้ฟางก็เดินออกมาจากครัวพร้อมจานกระเบื้องสีขาวสองใบในมือ ไส้กรอกเนื้อวัวมังกรพเนจรที่หันแล้วกระจายตัวอยู่บนจาน กลิ่นหอมเข้มจนแทบควบแน่นเป็นของแข็งลอยออกจากจานกระเบื้องสองใบนั้น

ช่างหอมอะไรถึงเพียงนี้! ทุกคนในร้านล้วนรู้สึกเหมือนถูกกลิ่นดึงดูดเข้าไปอย่างเสียไม่ได้ ต่างพากันทำจมูกฟุดฟิดในอากาศด้วยหวังว่าจะดมได้มากขึ้นอีกนิด

“นี่ไส้กรอกเนื้อวัวมังกรพเนจรที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดกับหนี่หยันก่อนวางจานอีกจานลงตรงหน้าถังอิ่น เขาหันหลังกลับไปที่ครัวแล้วเดินยกจานสุดท้ายออกมาวางตรงหน้าลู่เซียวเซียว

ทั้งสามเริ่มตั้งหน้าตั้งตากินทันที ถังอิ่นกลืนไส้กรอกชิ้นหนึ่งลงไปภายในคำเดียว ดวงตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้าขณะเคี้ยวไส้กรอกในปากอย่างขะมักเขม้น ทำท่าเหมือนจะกินลิ้นตนเองเข้าไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น

ลู่เซียวเซียวเองก็ทำหน้าไม่ต่างจากถังอิ่นตอนกิน นางดื่มด่ำอยู่กับรสชาติอร่อยจนเกินบรรยายของไส้กรอกจนควบคุมตนเองไม่ได้

แต่หนี่หยันนั้นมีสติกว่า นางนั่งพินิจพิเคราะห์ไส้กรอกอย่างถี่ถ้วน สังเกตดูสี กลิ่น หน้าตา และคุณลักษณะอื่นๆ ของไส้กรอกอย่างละเอียด

หลังจากที่ประเมินจนเข้าใจสถานการณ์เรียบร้อย หนี่หยันก็หยิบไส้กรอกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วเริ่มเคี้ยวในปากอย่างช้าๆ… รสชาติเนื้อเข้มข้นนั้นเหมือนสายธารที่ค่อยๆ เบ่งบานอยู่ในปากของนาง ทำให้ร่างทั้งร่างและจิตใจถูกกักขังอยู่ในความอร่อย

“หอมอะไรถึงเพียงนี้! อร่อยเหลือเกิน! นี่มันไส้กรอกจริงๆ น่ะหรือ เป็นไส้กรอกที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย!” หนี่หยันตกใจเป็นอันมาก นางตกหลุมรักไส้กรอกนี้เข้าให้เต็มเปาแล้ว

ปู้ฟางยิ้มขณะมองทั้งสามกินไส้กรอกอย่างมีความสุข เขาหันหลังเดินกลับเข้าครัวแล้วเริ่มทำอาหารที่เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนสั่ง

เมื่อปู้ฟางทำครบทุกจาน หนี่หยันและศิษย์ทั้งสองก็ได้สติจากความอร่อยของไส้กรอกเนื้อวัวมังกรพเนจรพอดี พวกเขาต่างพากันมองปู้ฟางด้วยสายตาประหลาด

หนี่หยันจ้องปู้ฟางเขม็ง นางทำท่าเหมือนจะกินเขาเข้าไปทั้งตัว “เจ้า บอกข้ามา เจ้าทำอย่างไรจึงรักษาพลังปราณในเนื้ออสูรเวทนี้เอาไว้ได้โดยไม่ทำให้มันสลายไป! ข้าค้นหาเคล็ดลับนี้มานานมากแล้ว แต่ก็ยังควบคุมปริมาณพลังปราณในเนื้ออสูรเวทไม่ได้เสียที!”

ทันทีที่กัดเข้าไปคำแรก หนี่หยันก็รู้ว่าเหตุใดปู้ฟางจึงขายของแพงเหมือนเป็นบ้าเช่นนี้ ไส้กรอกหนึ่งชิ้นมีฤทธิ์เทียบเท่าโอสถบำรุงปราณระดับหก พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ภายในนั้นมากเกินจินตนาการจะรับไหวเลยทีเดียว

เนื้อที่ใช้ทำไส้กรอกเองก็ไม่ได้มาจากอสูรเวทธรรมดาเช่นกัน… วัวมังกรพเนจร เป็นเนื้อวัวมังกรพเนจรจริงๆ รึนี่!

ปู้ฟางเช็ดหยดน้ำที่เกาะมือขณะมองหนี่หยัน ดวงตาของนางดูเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ ดวงตานั้นกลมโตและดูเหมือนจะมีกระแสน้ำหมุนวนอยู่ภายใน เต็มไปด้วยความคาดหวังขณะจ้องมองมาที่ชายหนุ่ม แม้แต่ปู้ฟางเองยังเกือบจะคล้อยตามนาง

“เป็นความลับ” เขาตอบ

หนี่หยันรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า… นางลืมไปเสียสนิทว่าความสวยเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์ของนางใช้ไม่ได้ผลกับไอ้คนแข็งทื่อเหมือนไม้กระดานนี่

“พอหั่นเนื้อของอสูรเวท พลังปราณที่อยู่ภายในจะสลายหายไปทันที ยิ่งอสูรเวทตัวนั้นมีระดับสูงมากเท่าไหร่ พลังปราณก็จะยิ่งสลายหายไปด้วยอัตราที่เร็วขึ้นเท่านั้น… ดูจากเนื้อนี่แล้ว ต้องไม่ใช่เนื้อของอสูรเวทระดับต่ำแน่นอน เจ้าทำได้อย่างไร”

“เป็นความลับ” ปู้ฟางตอบ

ใบหน้าของหนี่หยันพลันมืดลง นางเกิดความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะตบไอ้คนหัวทึบนี่ให้กลายเป็นเนื้อสับเละๆ ติดกำแพง…

“เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะบอกระดับของอสูรเวทที่เจ้าเอามาทำไส้กรอกได้ใช่หรือไม่” หนี่หยันถามด้วยท่าทางฮึดฮัด พลังปราณที่เข้มข้นในไส้กรอกทำให้นางพอเดาได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจเต็มที่… หากการคาดเดาของนางถูกต้อง จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากทีเดียว

“เป็นความล… อ้อ ไม่สิ เรื่องนี้บอกได้” ปู้ฟางกำลังจะตอบบทเดิมเนื่องจากทำจนเป็นนิสัย แต่ก็หยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วกลับลำกลางคัน

พลังปราณเที่ยงแท้ในกายหนี่หยันแทบหมุนเป็นสายน้ำบ้าคลั่ง นางต้องอดทนอย่างมากที่จะไม่พุ่งหมัดเข้าหน้าชายหนุ่ม นี่เจ้าตอบบทเดิมว่าทุกอย่างเป็นความลับจนกลายเป็นนิสัยเลยรึ

“คิดว่าเพราะเหตุใดข้าจึงขายไส้กรอกชิ้นเดียวแพงถึงขนาดนี้เล่า” ปู้ฟางถาม ตาจ้องไปที่หญิงสาว “ก็เพราะว่าเนื้อที่ใช้ทำมันแพง นี่เป็นเนื้อของอสูรเวทระดับเจ็ด วัวมังกรพเนจร…”

ยี่สิบลี้จากประตูทางเข้านครหลวง กำลังพลขององค์ชายสามกำลังตั้งที่พักชั่วคราวบนพื้นที่โล่งแจ้ง พวกเขาเลือกที่จะไม่เข้าไปในนครหลวงทันที

องค์ชายสามถอดชุดเกราะสำหรับการศึกออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีขาววิจิตร เขายืนอย่างสง่างามอยู่เบื้องหน้ากองทัพของตน หันหน้าไปทางนครหลวง โดยมีคนอยู่สองคนยืนอยู่เบื้องหลัง หนึ่งในนั้นสวมหมวกไม้ไผ่และผ้าคลุมหน้าสีดำ อีกคนเป็นชายท่าทางแข็งแกร่งที่ทั้งตัวสูงและกำยำ

“องค์ชายพะย่ะค่ะ หากเข้าไปในนครหลวงตอนนี้จะต้องอันตรายแน่ ข้าน้อยคนนี้จะติดตามท่านทุกฝีก้าวไม่ห่างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าภัยอันตรายใดๆ จะมิมากล้ำกรายองค์ชายได้!” ชายสูงร่างหนาเปิดปากพูด

จีเฉิงเสวี่ยหันไปมองชายผู้นั้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ ชายหนุ่มค่อยๆ เดินไปยังนครหลวงภายใต้ดวงอาทิตย์เจิดจ้า มือทั้งสองไพล่หลังไว้

ทันทีที่เดินเข้าประตูมา ลมหนาวก็พัดเข้าใส่ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย

จีเฉิงเสวี่ยมองถนนหลายสายของนครหลวงตรงหน้าด้วยสายตาเหมือนกำลังรำลึกความหลัง ภาพตรงหน้าไม่ได้ต่างไปจากตอนที่เขาจากไปมากนัก แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าไม่เหมือนเดิม

กลุ่มคนสองกลุ่มเดินเข้ามาหาเขาจากระยะไกล

“พวกข้าขอต้อนรับองค์ชายสามสู่นครหลวง องค์ชายช่วยไปที่ตำหนักอวี่อ๋องเพื่อพูดคุยกันได้หรือไม่” ขุนนางชราคนหนึ่งพูดกับจีเฉิงเสวี่ย น้ำเสียงของเขาไม่ได้สุภาพให้ความเคารพแม้แต่น้อย

จีเฉิงเสวี่ยรู้ว่าชายชราตรงหน้าเป็นใคร เขาเป็นขุนนางระดับสูงคนหนึ่งในราชสำนัก ดูท่าแล้วคงเลือกเข้าข้างอวี่อ๋องในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้

แต่นั่นก็ไม่ได้มีเหตุผลพอให้อีกฝ่ายทำตัวจองหองเช่นนี้ จีเฉิงเสวี่ยมองชายชราด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าไร้ความรู้สึก มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนเอื้อนเอ่ย “ใต้เท้า ช่างโอหังเสียนี่กระไร ถึงสถานการณ์ฝั่งข้าจะไม่สู้ดีนัก แต่ข้าก็ยังมีศักดิ์เป็นองค์ชาย บุตรของจักรพรรดิ ระหว่างที่ข้าออกไปเข่นฆ่าศัตรูนอกราชอาณาจักร ใต้เท้ามัวแต่ไปขลุกตัวเคล้านารีอยู่ในหอนางโลมแถวไหนกันเล่า ท่านเกิดผีเข้าอะไรขึ้นมาถึงกล้ากล่าววาจาสามหาวกับข้าเช่นนี้”

ขุนนางผู้นั้นหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที รูม่านตาของเขาหดแคบ เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วหลัง

ชายร่างหนาที่ยืนอยู่เบื้องหลังจีเฉิงเสวี่ยพ่นลมด้วยความโกรธ ก่อนก้าวเท้าออกมาแล้วจ้องไปที่ขุนนางผู้นั้นด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ขุนนางเฒ่ากลัวมากเสียจนถอยหลังกลับสองสามก้าวแล้วเสียหลักก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้น เขาเป็นเพียงนักปราชญ์หนอนหนังสือเท่านั้น จะไปสู้พลังกดดันจากชายที่เหมือนอสูรร้ายตรงหน้าได้อย่างไรกัน

กลุ่มคนอีกกลุ่มค่อยๆ เข้ามาใกล้ ผู้นำคณะนี้เป็นขันทีหนุ่มผู้เป็นบริวารขององค์ชายรัชทายาท

“ข้าน้อยขอคารวะองค์ชายสามพะย่ะค่ะ องค์ชายรัชทายาททราบเรื่องแล้วว่าองค์ชายสามได้กลับมาถึงนครหลวงในวันนี้ จึงมอบหมายให้ข้าน้อยมาเชิญองค์ชายสามไปที่วังหลวงเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วยพะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มพูดจาดีและมีท่าทีเคารพนบนอบ

จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยก่อนพยักหน้า

แต่แม้เขาจะพยักหน้า ก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะขยับตัวแต่อย่างใด เขากวาดตามองกลุ่มคนทั้งสองคณะแล้วเริ่มหัวเราะในลำคอ

เสียงของเขาอ่อนโยน

“กลับไปบอกพี่ชายของข้าทั้งสองเถิด ว่าข้าอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลและไม่อยากพบพวกเขาในตอนนี้ หากมีอะไรจะพูดคุยกัน ก็เอาไว้คุย… ที่งานพระศพท่านพ่อก็แล้วกัน”

……………………..