ปั้นฉินเปิดประตูออกแล้วเรียกให้ทุกคนเข้ามา

“จะว่าไปแล้วคือบ้านของพวกข้า ถึงข้าจะเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็เถอะ” นางเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันก็ยกอีกมือหนึ่งขึ้นตีจินเกอร์ “ไอ้เจ้าบ้านี่! วิ่งเพ่นพ่านอะไรของเจ้า! ตกใจหมด! ”

จินเกอร์เริ่มสงบและหยุดร้องไห้ทั้งยังเอาแต่ยิ้มกว้าง

เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ากลับมาอีกครั้งพร้อมโค้งตัวเชิญ

ชายหนุ่มสองสามคนรีบโค้งตัวตอบ

“มิบังอาจ มิบังอาจ เชิญนายหญิง เชิญนายหญิง” พวกเขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินอีกครั้ง

“เจ้า หากไม่วางใจ ก็ให้เข้ามารอด้านใน” นางกล่าว

คำพูดนั้นทำเอาชายหนุ่มทั้งหลายประหลาดใจ ก่อนจะมองไปที่ท่านชายโจวหกและท่านชายฉิน

ไม่วางใจอย่างนั้นหรือ

ไม่วางใจเพราะหนุ่มสาวอยู่กันตามลำพังสินะ

ชายหนุ่มทั้งสองคนทั้งร่ำรวยทั้งรูปงามเช่นเดียวกับนายหญิง…

คนหนึ่งก็เป็นญาติ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ …

ทุกคนรู้สึกลำบากใจไม่น้อย

“ไม่เป็นไร พวก…พวกเราไม่ต้องเข้าไปคุยกันข้างในก็ได้” พี่ใหญ่กล่าว

ท่านชายโจวหกยิ้มเยาะพลางสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังเดินออกไป

ท่านชายฉินส่งยิ้มให้เฉิงเจียวเหนียงแล้วหันหลังเดินตามบ่าวออกไปเช่นกัน

“เชิญ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยอีกครั้งพร้อมผายมือเชิญ

ชายหนุ่มทั้งหลายมองตามหลังของท่านชายโจวหกและท่านชายฉินด้วยความประหลาดใจ เแต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็เดินเข้ามาในเรือน

แขกและเจ้าบ้านนั่งแยกกันอย่างชัดเจนภายในห้อง จินเกอร์ที่คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีก็คอยช่วยสาวใช้ยกน้ำให้แก่ทุกคน

“ข้ามิได้เตรียมอะไรไว้เลย แม้แต่ชาก็ไม่มี” สาวใช้ยิ้มกล่าว

ชายหนุ่มทั้งหลายรีบโน้มตัวตอบ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” พวกเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆ

“น่าอยู่นัก น่าอยู่นัก” ชายคนหนึ่งเอ่ยชม

“ใช่แล้ว นี่สิถึงจะเรียกว่าเมืองหลวง ซ่องเมื่อคืน…” ชายคนหนึ่งพยักหน้า ก่อนจะถูกชายคนข้างๆ ยกมือขึ้นตีเพื่อห้ามปราม

ชายหนุ่มหยุดพูดในทันที

พอเห็นชายคนอื่นๆ จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง เขาถึงกับหดตัวแล้วรีบหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอีกต่อไป

“ต้องขอโทษนายหญิงด้วยจริงๆ พวกข้าไม่รู้กาลเทศะ ทำให้นายหญิงเป็นกังวล สร้างเรื่องเดือดร้อนให้พวกท่าน” พี่สามยืดตัวตรงกล่าวพร้อมกับยกมือคำนับ

เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งจ้องมองเขา นางนั่งหลังตรงก่อนจะจัดเสื้อคลุมและโค้งคำนับคารวะต่อพวกเขา

เหล่าชายหนุ่มส่งเสียงร้องพลางเบี่ยงตัวหนี บ้างก็ปัดป้อง บ้างก็โค้งคำนับตอบอย่างทุลักทุเล

“นายหญิง ท่านจะฆ่าพวกข้าหรืออย่างไร! ” พี่ใหญ่ตะโกน

สาวใช้เองก็ประหลาดใจไม่น้อย

แม้ว่านายหญิงผู้นี้จะเป็นคนเคร่งขรึม มารยาทงาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางโค้งคำนับคารวะผู้อื่นเช่นนี้ และที่สำคัญคือหากพูดกันตามจริง นางต่างหากที่เป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงของชายเหล่านี้

ผู้มีพระคุณจะคารวะผู้ที่ตนช่วยเหลือได้อย่างไร

เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับครบกระบวนแล้วเงยหน้าขึ้น

“เฉิงเจียวเหนียงขอขอบคุณพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านพี่ทั้งหลาย” นางกล่าว

“นายหญิง เหตุใดถึงทำเช่นนี้!” พี่สามเอ่ยปากขึ้นก่อนใคร ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ชายหนุ่มนั่งหลังเหยียดตรงทำท่าจะคารวะตอบเช่นกัน “ท่านกำลังตำหนิพวกเราที่ไม่แสดงความเคารพต่อผู้มีพระคุณหรือ”

“ไม่รู้ว่าเฉิงเจียวเหนียงผู้นี้จะมีวาสนาได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานของพวกท่านหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

พี่สามที่กำลังจะโค้งคำนับถึงกับตะลึงงัน คนอื่นเองก็เช่นกัน

ว่าอย่างไรนะ

“หามิได้”

เสียงจากภายในห้องดังออกมายังลานบ้าน จนสระน้ำดอกไม้ที่ยังไม่แข็งตัวในฤดูหนาวสั่นไหวจนเกิดเสียงสะท้อน ก้องกังวาลไปทั่วทิวไผ่และผาหินที่รายล้อม

ชายหนุ่มทั้งหลายกึ่งยืนกึ่งนั่ง พวกเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยใบหน้าแดงก่ำก่อนจะส่งเสียงดังออกมา

“นายหญิงเป็นผู้ช่วยชีวิตข้า” พี่สามกล่าว “เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้”

“ใช่แล้ว พวกเราเป็นใคร นายหญิงเป็นใคร” ชายหนุ่มทั้งหลายต่างรีบร้อนเอ่ยขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงนั่งอย่างสงบ ฟังคำโต้แย้งต่างๆ นานาของพวกเขาจนสรุปได้ความเป็นประโยคเดียวว่านางคือผู้มีพระคุณของพวกเขา นางแตกต่างจากพวกเขา อย่าได้อาจเอื้อม อย่าได้ชักพานางลงสู่ที่ต่ำ

พอเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงนิ่งเงียบ สาวใช้ก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง นางไม่ประหลาดใจอีกต่อไปก่อนจะรินน้ำให้ทุกคนอย่างเงียบๆ

หลังจากดื่มหนักมาทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาก็ต้องรีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน พวกเขาคงกระหายยิ่งนัก

“เอาเป็นว่านายหญิงอย่าได้พูดเช่นนั้นอีก ข้าล่ะกลัวจริงๆ อย่าว่าแต่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันเลย แม้แต่เทียบกับสาวใช้ข้างกายท่าน พวกข้ายังห่างราวฟ้ากับเหว…” ชายคนหนึ่งพูดพร้อมกับยกถ้วยขึ้นดื่มเสียงดังอึก ก่อนจะยื่นมือไปที่สาวใช้ “ขอบคุณพี่สาวมาก ข้าขออีกสักถ้วย”

สาวใช้ยิ้มโดยไม่พูดอะไรแล้วรินน้ำให้แก่เขา

พี่สามโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดพูด

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด

“นายหญิง ความจริงแล้วเหตุการณ์ในคราวนั้นพวกเรามิได้ช่วยท่าน หากไม่ใช่เพราะพวกข้า ท่านคงพบจินเกอร์ไปนานแล้ว” พี่สามเอ่ยพร้อมยิ้มเจื่อน “ท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย”

ชายผู้นี้ก็ฉลาดไม่น้อย สาวใช้เงยหน้ามองเขา

เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับอีกครั้งเพื่อแสดงความเคารพ

“อันที่จริง พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” นางเอ่ยพลางเงยหน้ามองหน้าชายผู้นั้น “ข้าแค่อยากมีพี่ชายเพียงเท่านั้น”

อยากมีพี่ชาย…

เหล่าชายหนุ่มต่างตกตะลึง

“พวกเจ้ามิใช่จะตอบแทนบุญคุณข้าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมมองไปที่พวกเขา “มีน้องสาวให้ดูแลเพิ่มขึ้นอีกคน พระคุณนี้ตอบแทนทั้งชีวิต เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าตอบแทนด้วยใจจริงมิใช่หรือ”

ขนาดนั้นเชียวหรือ

เหล่าชายหนุ่มหันมามองหน้ากัน

ฟังดูก็จริงอย่างที่นางว่า

แต่เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างชอบกลนัก

“พี่ใหญ่ตัดสินใจเถอะ” ชายหนุ่มทั้งหลายเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่หันไปสบตากับพี่สาม

พี่สามพยักหน้า

“ตกลง ในเมื่อนายหญิงให้เกียรติเช่นนี้ พวกข้าก็จะน้อมรับไว้”

เฉิงเจียวเหนียงยกมุมปากยิ้มให้แก่พวกเขา

“ขอบคุณท่านพี่ทั้งหลายเป็นอย่างมาก” นางกล่าวพร้อมกับก้มศีรษะคารวะ

แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่มาเยือนเรือนแห่งนี้ แต่ข้าวของเครื่องใช้ก็ถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบครัน ห้องหนังสือขนาดเล็กนี้มีทั้งพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก ก้านไม้หอมและอื่นๆ อีกมากมาย

สาวใช้ยกของสิ่งหนึ่งขึ้นมา

“นายหญิงจะเขียนเองหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“เจ้าไปช่วยพี่ๆ เขียนเถิด” นางกล่าว

สาวใช้รับคำพร้อมกับถือพู่กันและกระดาษแล้วเดินไปหาเหล่าชายหนุ่ม

“ข้าทำเอง” พี่สามเอ่ยพลางยื่นมือออกมา

สาวใช้จำได้ว่าเขาเคยเรียนหนังสือ ก็ย่อมเขียนหนังสือได้เป็นธรรมดา เขาดันโต๊ะไม้ยาวเข้ามาแล้วฝนหมึกด้วยตัวเอง

พี่สามหยิบพู่กันขึ้นมาเพื่อเขียนคำสัญญาพี่น้องร่วมสาบาน

“วันนี้มีสมาชิกของตระกูลเขาเม่าหยวน อันได้แก่ ฟ่านเจียงหลิน ฟ่านสือโถ่ว สวีเม่าซิว สวีซื่อเกิน สวีล่าเย่ว์ ฟ่านซานโฉ่ว สวีปั้งฉุย ขอสาบานต่อวิญญาณของบรรพบุรุษ”

“วันนี้เจียวเหนียง ตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจว ขอสาบานต่อวิญญาณของบรรพบุรุษ”

เฉิงเจียวเหนียงและพี่สามยืนเรียงกันหน้าเตาธูปภายในเรือน ต่างคนต่างกล่าวคำสาบานบนกระดาษที่อยู่ในมือ

เมื่อเฉิงเจียวเหนียงเอ่ยชื่อชายหนุ่มคนใด ผู้นั้นก็จะลุกขึ้นยืนพร้อมแสดงตน เฉิงเจียวเหนียงยิ้มและพยักหน้าทักทาย

ทั้งสองกล่าวคำสาบานเสร็จสิ้น คารวะศีรษะจรดพื้นแล้วจึงโยนกระดาษคำสาบานเข้าไปเตาธูป

“เช่นนั้นแล้ว น้องสาวขอคารวะพี่ชายทั้งหลาย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอีกครั้ง

มีน้องสาวอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ชายหนุ่มทั้งหลายจึงทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ก่อนจะคำนับกลับอย่างทะลักทุเล

พี่สามนามว่าสวีเม่าซิวเอื้อมมือช่วยประคอง

สาวใช้พาจินเกอร์เข้ามาคุกเข่าคารวะ

“คารวะท่านชายทั้งหลาย”

ชายหนุ่มแทบจะดีดตัวหนีด้วยความตื่นตระหนก

ถูกเรียกว่าท่านชายอย่างนั้นรึ พวกเขาเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต

มีเพียงสวีเม่าซิวนั่งอยู่กับที่น้อมรับ

“ข้าสวีเม่าซิวพ่อแม่ตายจากไปแล้วทั้งคู่  ใช้ชีวิตมายี่สิบสี่ปี ก็ได้มีน้องสาวกับเขาแล้วจริงๆ ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ๆ ข้าเองก็อยู่มาสิบแปดปีแล้ว…” สวีปั้งฉุยรีบพูดตาม

“เอ๊ะ” จินเกอร์อุทานพลางมองไปที่สวีปั้งฉุย

“พี่ปั้งฉุยเพิ่งอายุสิบแปดเองหรือ” เขาเอ่ยถาม

สวีปั้งฉุยเบิกตามอง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสัน ศีรษะกลมใหญ่ หนวดเคราและผมดกดำ

“ใช่ ข้าเพิ่งอายุได้สิบแปดแล้วจะทำไม เป็นลูกผู้ชายได้เหมือนกัน” เขากล่าว

จินเกอร์กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“แต่ท่านดูแก่กว่าพ่อข้านะ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

“พ่อเจ้าคงไม่ใช่ลูกผู้ชายเช่นข้า! ”

เสียงหัวเราะพูดคุยดังลั่นบ้าน ความตึงเครียดเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น

เมื่อเห็นเหล่าชายทั้งเจ็ดเริ่มผ่อนคลาย เฉิงเจียวเหนียงจึงเผยยิ้มออกมา

นาง…มีพี่ชายแล้ว

…………………………………………………….