บทที่ 60 จำนวนเข็มกลัดอันมากมาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 60 จำนวนเข็มกลัดอันมากมาย

“แล้วก็ข้าด้วย”

เด็กสาวผมสั้นอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน นางมีใบหน้าสวยงาม ผิวคล้ำเล็กน้อย เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ลักษณะเหมือนเด็กหนุ่มมากกว่าเด็กสาว ดวงตาใสกระจ่าง น้ำเสียงแข็งกร้าวตอนที่พูดว่า “พวกเราช่วยกันลงมือ”

หลี่ชิงสวนกวาดสายตามองสลับระหว่างเด็กหนุ่มกับเด็กสาว จากนั้นจึงค่อยจดจำทั้งสองคนได้

เด็กทั้งสองคนนี้เป็นตัวแทนจากสำนักยุทธ์อิสระห้าสำนักใหญ่นั่นเอง

สำนักยุทธ์อิสระมักจะเลี้ยงดูเยาวชนอย่างป่าเถื่อน เด็กเหล่านี้เติบโตมาด้วยความดุร้ายใจกล้า สามารถกระทำเรื่องราวที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่กล้าทำเด็ดขาด

ในฐานะคนจากกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง หลี่ชิงสวนมักจะดูถูกคนจากสำนักอิสระเหล่านี้อยู่แล้ว และถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากจะให้ตัวแทนจากสำนักเหล่านี้ได้เข้าสู่รอบสุดท้ายเลย

ดังนั้น เมื่อเห็นหน้าเด็กทั้งสองคน หลี่ชิงสวนจึงไม่มีแววตาเมตตากรุณาแม้แต่น้อย เขาถามด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นว่า “บอกข้ามา ใครสั่งให้พวกเจ้าทำอย่างนี้?”

เด็กสาวผมสั้นมีสีหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง นางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แข็งกระด้าง แต่ก็ไม่เคารพอ่อนน้อม “สิ่งที่เราทำไม่ได้ผิดกฎการแข่งขันเสียหน่อย”

เด็กหนุ่มร่างผอมกล่าวเสริมว่า “ได้โปรดอย่าถามพวกเราอีกเลย ต่อให้ตายเราก็บอกไม่ได้ อย่างน้อยพวกท่านก็น่าจะพอคาดเดากันได้บ้างแล้ว”

หลี่ชิงสวนหรี่ตาลงนิ่งคิดด้วยความสับสน ผ่านไปอึดใจใหญ่จึงได้ออกคำสั่งว่า “ส่งตัวพวกเขากลับเมืองหยุนเมิ่งเดี๋ยวนี้”

แล้ว ‘รถม้า’ ก็แล่นออกจากค่ายที่พัก นำตัวเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้กลับไปส่งเมืองหยุนเมิ่ง

การแข่งขันของพวกเขาจบลงแล้ว

เช่นเดียวกับมู่เหยียนตงและเช่าหย่งหนิง สองศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง รวมถึงผู้ติดตามของพวกเขา ก็ต้องออกจากการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน

บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่ถูกตัดสิทธิ์ล้วนแสดงออกถึงความหงุดหงิดโกรธแค้น

“ยัยเด็กผู้หญิงนั่นมีนามว่าฟางเสี่ยวไป่ มาจากสำนักวายุสะเทือนฟ้า นางถึงกับกล้าทำลายเครื่องรางของพวกเราได้หน้าตาเฉย รอให้เรากลับไปถึงเมืองหยุนเมิ่งก่อนเถอะ ข้าไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่”

“ส่วนเจ้าเด็กผอมนั่นมาจากสำนักหมาป่าไฟ เฮอะ ข้ารู้จักมันดี มันมีนามว่าซูโต่ว ข้าจะต้องแก้แค้นมันให้ได้”

“ข้าก็ทำใจปล่อยให้มันลอยนวลไม่ได้เหมือนกัน”

“ถูกต้อง พวกเราเกือบทำสำเร็จอยู่แล้วเชียว เฮ้อ…น่าโมโหชะมัด”

พวกเขาถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันแล้ว จึงเข้าใจความรู้สึกได้ไม่ยากว่าจะเดือดดาลขนาดไหน

แต่มู่เหยียนตงกับเช่าหย่งหนิงไม่ได้โวยวายแต่อย่างใด

ผู้ชนะย่อมได้สิ่งที่ต้องการ

ในทุกๆ สงคราม ย่อมมีผู้ชนะและผู้แพ้

ครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด แต่ก็ยังพ่ายแพ้

แสดงว่าศัตรูมีความแข็งแกร่งมากเกินไป

บางครั้ง หากศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป การยอมรับความพ่ายแพ้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสักเท่าไหร่

มู่เหยียนตงยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นขณะพูดว่า “ทุกคนโปรดฟังทางนี้ ข้ายังอ่อนด้อยเกินไป ไม่สามารถพาทุกคนไปสู่ชัยชนะได้ตามที่คาดหวัง แต่คำสัญญาที่ข้าให้ไว้ยังมีผลอยู่เสมอ เมื่อทุกคนเดินทางกลับไปถึงบ้านแล้ว จงเดินทางมารับสิ่งของตามที่ตกลงไว้ที่สถานศึกษากระบี่หลวง ข้าเชื่อว่าการร่วมมือของพวกเราเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ในอนาคตอันใกล้ เราย่อมมีโอกาสได้ร่วมมือกันอีกแน่นอน”

เช่าหย่งหนิงกล่าวเช่นกันว่า “พี่มู่พูดในสิ่งที่ข้าคิดอยู่พอดี มิตรภาพคงอยู่ตลอดกาล ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเช่าหย่งหนิง หากพวกเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอันใด จงมาหาข้าอย่าได้ลังเล”

เด็กหนุ่มทั้งสองคนเป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ประจำเมืองหยุนเมิ่ง ถือกำเนิดในตระกูลสูงส่งตั้งแต่เกิด ดังนั้นเมื่อเอ่ยปากสัญญาสิ่งใดไว้ ย่อมไม่เคยคืนคำ

เมื่อกลุ่มเด็กหนุ่มที่ตกรอบได้ยิน พวกเขาก็พากันส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ

เพียงไม่นาน รถม้าก็เข้ามารับตัวกลุ่มศิษย์ที่ตกรอบแล่นจากไป

สถานศึกษากระบี่ที่หกน่าเวทนามากที่สุด ตัวแทนศิษย์ทั้ง 7 คนของพวกเขา ต้องตกรอบไปพร้อมกันหมดสิ้น

ชิวเทียน ตัวแทนอาจารย์ร่างอ้วนมีสีหน้าขื่นขมเหมือนคนที่กำลังตกนรกทั้งเป็น

“อ้าว อาจารย์ชิว จะกลับบ้านแล้วหรือ แหม แหม แหม ศิษย์ของข้ายังอยู่กันครบ คงต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ออกไปส่ง”

ติงซานฉือยืนอยู่หน้าประตูทางออกค่ายพัก ทักทายคนของสถานศึกษากระบี่ที่หกอย่างมีความสุข

“เฮอะ อาจารย์ติง อย่าเพิ่งดีใจไปหน่อยเลย ศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามล้วนแต่เป็นเศษขยะไร้ค่าทั้งนั้น อย่างไรเสียเดี๋ยวพวกท่านก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า ไม่มีทางผ่านเข้าสู่การคัดเลือกรอบสุดท้ายได้เด็ดขาด ข้าขอแนะนำว่าท่านอย่าได้ฝันกลางวันเลยดีกว่า” ชิวเทียนผู้นั่งไขมันกระเพื่อมอยู่บนรถม้าหันหน้าตะโกนตอบกลับมาด้วยความฉุนเฉียว

ติงซานฉือระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น กล่าวว่า “ต่อให้มันเป็นฝันกลางวัน มันก็เป็นความฝันของข้า ไม่เหมือนท่านหรอกที่ยังไม่ตื่นจากฝันร้ายเสียที ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างน้อยศิษย์ทั้งสี่คนของข้าก็ยังอยู่ในการแข่งขันครบถ้วน ตราบใดที่การแข่งขันยังไม่จบ ทุกอย่างก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ใครจะไปน่าสงสารเหมือนสถานศึกษากระบี่ที่หกของท่านเล่า เพียงพริบตาเดียวคนของท่านก็ตกรอบหมดแล้ว”

“เจ้า…”

ชิวเทียนเจ็บแค้นจนแทบกระอักเลือด แต่แล้วก็นึกอะไรได้บางอย่าง จึงพูดว่า “อาจารย์ติง ยังมีหน้ายิ้มแย้มได้อีกหรือ? ลืมไปแล้วหรือไงว่าศิษย์รักของท่านอย่างเจ้าเด็กคนนั้น มันเคยทำให้อะไรไว้บ้าง?”

รถม้าแล่นออกไปจากค่ายที่พักแล้ว

เฉกเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าของติงซานฉือที่ได้หายไปแล้วเช่นกัน

ณ ด้านหน้าแท่นหินใจกลางลานจัตุรัส

หลี่ชิงสวน หนึ่งในสามคณะกรรมการผู้ควบคุมการแข่งขันกำลังเดินกลับไปกลับมาพร้อมกล่าวว่า “วันพรุ่งนี้ก็เป็นการแข่งขันวันสุดท้ายแล้ว สถานการณ์เริ่มดุเดือดขึ้นมาแล้วสิ ปีนี้พวกเขาเล่นกันแรงขึ้น ถึงกับกล้ากำจัดคู่แข่งครั้งละเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้”

เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้แม้แต่เฉินเจี้ยนหนานผู้ผ่านสมรภูมิการรบมามากมาย ก็ยังอดกล่าวเสริมไม่ได้ว่า “ข้าไม่ชอบเด็กพวกนี้เลยจริงๆ ทำไมถึงไม่เปิดหน้าสู้กันอย่างยุติธรรม ให้สมกับเป็นลูกผู้ชายหน่อยนะ?”

“นั่นก็เป็นเพราะว่าการแข่งขันของพวกเรา ไม่ได้เน้นเพียงทักษะการต่อสู้ แต่มันยังเป็นการทดสอบจิตใจด้วยไงเล่า” หลี่ชิงสวนกล่าว “คนที่จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ประจำจักรวรรดิได้ นอกจากฝีมือการต่อสู้โดดเด่นแล้ว ยังต้องมีจิตใจดี สติปัญญาเป็นเลิศ เหมือนอย่างมู่เหยียนตงกับเช่าหย่งหนิง ถึงพวกเขาจะตกรอบ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการตีโพยตีพาย ซ้ำยังให้กำลังใจคนอื่นๆ คนเช่นนี้นับว่ามีอนาคตที่สดใสมากนัก”

หลังจากหยุดเล็กน้อย หลี่ชิงสวนก็พูดต่อ “ส่วนตัวแทนอีกสองคนของสถานศึกษากระบี่หลวงอย่างหลี่เทากับเถาว่านเฉิง พวกเขาถือว่าน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย โค้งสุดท้ายของการแข่งขัน ในจังหวะที่พวกเขาทำคะแนนเพิ่มเติมไม่ได้ อยู่ดีๆ คู่แข่งร่วมสถาบันคนสำคัญก็ต้องตกรอบไปอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลีลั่วหรันพลันแทรกขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมท่านจึงพูดถึงแต่เด็กแซ่หลี่กับเด็กแซ่เถา ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของหลิงเฉินบ้างหรือ?”

หลี่ชิงสวนหันหน้ากลับมาตอบว่า “หลิงเฉินนับเป็นยอดอัจฉริยะตัวจริง นางอยู่คนละระดับกับเด็กพวกนี้ ฝีมือนางแข็งแกร่งมากเกินไป และนางก็ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนเองมากเกินไป ไม่มีทางเล่นสกปรกแน่นอน นอกจากนั้น ถ้าไม่ใช่หลี่เทากับเถาว่านเฉิง ก็ไม่มีคนไหนอีกแล้วที่จะสามารถกำจัดมู่เหยียนตงกับเช่าหย่งหนิงออกไปจากการแข่งขันได้รวดเร็วขนาดนี้”

แต่ทันทีที่พูดจบ เงาร่างของหลินเป่ยเฉินพลันปรากฏขึ้นในห้วงคิดของชายชราอย่างกะทันหัน

เจ้าแกะดำเคยสร้างปาฏิหาริย์ในเวลาสั้นๆ ให้เขาได้เห็นมาแล้ว

หรือจะเป็นเจ้าแกะดำกันนะ?

หลังจากความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว หลี่ชิงสวนก็รีบบอกตัวเองทันทีว่า

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

กลุ่มของมู่เหยียนตงกับเช่าหยงหนิงสามสิบกว่าคนถูกลอบโจมตีพร้อมกัน ไม่มีทางที่จะสามารถทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ

ล่วงเข้าคืนวันที่เก้าของการแข่งขันแล้ว

หลินเป่ยเฉินเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน เด็กหนุ่มมีสภาพเหมือนคนงานก่อสร้างพี่เพิ่งกลับจากการทำงานไม่มีผิด

“ในที่สุด ก็เจอเข็มกลัดชิ้นที่ 80 สักที…เฮ้อ เหนื่อยชะมัดเลยโว้ย”

เด็กหนุ่มลากสังขารหย่อนตัวเองลงไปในอ่างน้ำอุ่นพร้อมด้วยพลังปราณที่เหลืออยู่ในร่างกายน้อยนิดเต็มทน สุดท้าย เขาก็ต้องเปิดแอปโคจรพลังปราณอีกครั้ง เพื่อให้โทรศัพท์ช่วยฟื้นฟูพลังในร่างกาย

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินเข้าป่าตั้งแต่เช้า กลับที่พักก็ตอนดึก เมื่อมีแอปแผนที่คอยบอกเส้นทาง เขาจึงออกค้นหาเข็มกลัดดาราอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจเรื่องล่าสัตว์หาอาหารสักนิด เด็กหนุ่มยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข็มกลัดมาครอบครอง และตอนนี้เขาก็มีเข็มกลัดดาราอยู่กับตัว 80 ชิ้นแล้ว