บทที่ 115 ย้ายฝั่ง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 115 ย้ายฝั่ง (1)
เมืองเลียบคีรี จวนผู้บังคับการ

เฉิงซิ่งป้าผู้บังคับการ เป็นขุนนางขั้นสี่ที่เกษียณแล้ว ตระกูลเฉิงเป็นครอบครัวใหญ่อันดับแรกๆ ในเมืองเลียบคีรี

ลู่เซิ่ง เฉินอิง โอวหยางหนิงจื่อ และผู้อาวุโสหวังมาถึงจวนนี้ ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

จวนผู้บังคับการได้รับข่าวแต่แรก ไฟตะเกียงสว่างไสว ข้ารับใช้จัดขบวนยืนต้อนรับคนที่หน้าประตูใหญ่

นอกจากนี้ยังมีขุนนางตำแหน่งใหญ่ ร่างกายกลมกลิ้ง พุงยื่น มือประคองด้ามดาบที่เอว ยืนอยู่ที่ประตู รอพวกเขา

พอเห็นรถม้าของพรรควาฬแดงมาถึง ขุนนางฝ่ายบู๊พุงโตคนนี้ก็รีบออกมาต้อนรับ

“ท่านรองประมุขเฉิน หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ยังมีผู้อาวุโสหวัง กับหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายในโอวหยางมาแล้ว” คนผู้นี้เค้นรอยยิ้ม สีหน้าแข็งทื่อ เหมือนกับไม่อยากติดต่อกับอีกฝ่าย แต่ไม่น่าแปลก คนที่มีการข่าวฉับไวต่างรู้ว่า พรรควาฬแดงในตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ กำลังเดือดร้อน

“ผู้บังคับการเฉิงเกรงใจแล้ว ไม่ทราบแขกทุกท่านมาถึงแล้วหรือยัง” เฉินอิงกล่าวเบาๆ “นอกจากนี้ หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกตอนนี้รับตำแหน่งประมุขพรรคของพรรควาฬแดงแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกแล้ว”

เฉิงซิ่งป้างุนงง รีบเค้นรอยยิ้ม ประสานมือขอโทษลู่เซิ่งด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย

“ขออภัย ข้าสะเพร่า ประมุขพรรคลู่อายุยังน้อย วรยุทธ์ล้ำลึก เป็นผู้กล้าที่หมื่นคนไม่อาจสู้ รับตำแหน่งประมุขพรรคต่อก็สมเหตุสมผล” เขารีบเสริม “แขกทุกท่านต่างมาถึงแล้ว กำลังรอพวกท่านจากพรรควาฬแดงอยู่”

“อือ เช่นนั้นเข้าไปเถอะ” ลู่เซิ่งให้เครือข่ายข้อมูลในเมืองเลียบคีรีกระจายข่าวว่า พรรควาฬแดงมีความคิดหาตระกูลอื่นเพื่อสวามิภักดิ์ หลักๆ แล้วกระจายข่าวให้ขุนนางตรวจการ

เป็นอย่างที่คาด เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ขุนนางตรวจการก็เปิดประชุมย่อยในจวนผู้บังคับการ ขอให้คนของพรรควาฬแดงมา

นอกจากนี้ยังเชิญแขกอีกหลายคนมาด้วย ล้วนเป็นตัวแทนของขุมกำลังต่างๆ

พวกเขาทยอยกันเข้าไปในจวน เฉินอิงอยู่หน้าสุด ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนหน้านี้ทุกคนตกลงกันไว้แล้ว เฉินอิงเจรจาด้านหน้า ลู่เซิ่งฟังด้านหลัง เผื่อจะคลี่คลายการปะทะได้สะดวก

เข้าจวนไป ทะลุระเบียงไม้ ในศาลาหลังเล็กข้างลานหลังหนึ่ง ทุกคนเห็นเหล่าตัวแทนกำลังจิบชาคุยกัน

ในศาลาแปดเหลี่ยมหลังเล็ก ผ้าม่านสีดำห้อยลง มีแค่ด้านที่หันหาพวกลู่เซิ่งเลิกขึ้น คนสี่คนนั่งอยู่ด้านใน

ไป๋เฟิงเหล่าเต้าอยู่ในนี้ด้วย อีกสามคนแยกเป็นหนึ่งบุรุษสองสตรี

ลู่เซิ่งเดินอยู่ด้านหลังเฉินอิง ยืนอยู่นอกศาลา

“ประมุขพรรคลู่เชิญนั่ง” น้ำเสียงของไป๋เฟิงเหล่าเต้าเป็นมิตรและเกรงใจกว่าก่อนหน้ามาก ยามนี้มองลู่เซิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ประมุขพรรคลู่เอาชนะยอดฝีมือจากจัตุรัสแดง ทำศึกใหญ่ครั้งหนึ่ง เป็นบุญตาพวกเราจริงๆ”

ลู่เซิ่งหยีตา ทราบว่าปิดบังไม่ได้ ยื่นมือไปหยุดเฉินอิงที่กำลังจะเอ่ยปากอยู่ด้านข้าง บอกให้เขากับคนอื่นๆ ออกไป เขารอจนข้ารับใช้พาคนจากไปแล้ว จึงเอ่ยขึ้น

“ไป๋เฟิงเหล่าเต้ากลับมีการข่าวฉับไวนัก” เขามองที่นั่งที่ว่างอยู่ในศาลา จิตใจปลอดโปร่ง เดินเข้าไปนั่งลงดั่งม้าใหญ่ดาบทองโดยไม่ปฏิเสธ

“พรรควาฬแดงของเรามีความจริงใจ ในเมื่อทุกท่านมาถึง ในใจคงมีความคิดแล้ว?” เขากล่าวเสียงทุ้ม

ในศาลานอกจากไป๋เฟิง คนที่เหลือซึ่งนั่งอยู่เป็นตัวแทนสามคน

เป็นคนอ้วนฉุเหมือนกับขุนนางเกษียณคนหนึ่งกำพัดร้อยพับเล่มหนึ่งอยู่ในมือ สวมหมวกสีขาว บนหมวกเขียนคำว่า ‘สุข’ ตัวโตๆ คนผู้นี้สีหน้าเป็นมิตร เพียงมองก็ทำให้คนรู้สึกสนิทชิดเนื้อ

อีกสองคนเป็นสตรีคิ้วขาว สวมกวนทรงสูง แต่งกายแบบนักศึกษายุคโบราณ

รวมถึงสตรีที่ผมยาว ใบหน้าใส่หน้ากากสีเขียวมรกต

ทั้งสามคนมีท่วงทำนองแตกต่าง ทำให้คนจำได้ไม่ลืม

“ข้าขอแนะนำสักเล็กน้อย” ไป๋เฟิงเต้าหยินยิ้มพลางผายมือ ชี้ไปที่ขุนนางที่อ้วนฉุขาวผ่อง

“ท่านนี้คือเซียวหงเย่ ขุนนางนอกราชการเซียว”

เขาชี้ไปที่สตรีคิ้วขาวสวมกวนทรงสูง

“ท่านนั้นคือซั่งหยางจิ่วหลี่ ตระกูลซั่งหยาง”

สุดท้ายเขาชี้ไปที่สตรีนัยน์ตางดงามที่สวมหน้ากากหยกสีเขียวมรกต

“ท่านนี้มาจากตระกูลสวี คุณหนูสวีเฟยหง”

ลู่เซิ่งหรี่ตา นอกจากคนอ้วนผู้นั้นที่ไม่ได้แนะนำตระกูล สตรีอีกสองคนมาจากตระกูลซั่งหยางและตระกูลสวี

สองตระกูลนี้เขาไม่รู้จัก แต่ในเมื่อใช้ครอบครัวเป็นฉากหลังแนะนำ เช่นนั้นต้องเป็นตระกูลขุนนาง หนำซ้ำขุมกำลังที่กล้ากวนน้ำให้ขุ่นในเวลาแบบนี้จะต้องมีพลังไม่ธรรมดา

“คารวะทั้งสามท่าน” เขาประสานมือกล่าวเสียงกระจ่าง

“ประมุขพรรคลู่สู้กับรองผู้คุมจัตุรัสแดง พวกเราเห็นแล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่า ท่านมาจากตระกูลใด” เซียวหงเย่ที่เป็นคนอ้วนยิ้มกว้างพร้อมถามเสียงเบาๆ

“ผู้แซ่ลู่เป็นแค่จอมยุทธ์คนหนึ่ง ชาติกำเนิดสะอาดสะอ้าน ทุกท่านไม่ใช่สมควรตรวจสอบมาแล้วหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วกล่าว

“ประมุขพรรคลู่ตรงไปตรงมานัก” เซียวหงเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่คนธรรมดา ถ้าไม่มีรากฐาน เหตุใดผงาดขึ้นไวแบบนี้ แน่นอน ในเมื่อประมุขพรรคไม่อยากพูด เช่นนั้นก็แล้วไป พวกเราคุยเรื่องเข้าสังกัดของพรรควาฬแดงดีกว่า

ในเมื่อทุกท่านนั่งตรงนี้แล้ว ย่อมวางเงื่อนไขได้ ถ้าสองฝ่ายยินยอม…”

“ตระกูลซั่งหยางของข้าต้องการบรรณาการแค่เจ็ดส่วน มีคนอยู่ถาวรหนึ่งคน” ซั่งหยางจิ่วหลี่คิ้วขาวดุร้าย ตัดบทเซียวหงเย่ เอ่ยราบเรียบ

“ตระกูลสวีของข้าต้องการบรรณาการเก้าส่วน แต่ปกป้องเส้นทางการค้าไปจงหยวนสองเส้นทางได้เด็ดขาด ทว่าไม่อาจอยู่ถาวร” สวีเฟยหงกล่าวอ่อนโยน

ความหมายของการอยู่ถาวรคือ ตระกูลขุนนางส่งคนคนหนึ่งมาอาศัยในพรรค รับมือความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้น

ตระกูลสวีต้องการบรรณาการมากกว่าตระกูลซั่งหยางสองเท่า แต่ว่าสิ่งที่นำมาคือเส้นทางการค้าไปจงหยวนที่ปลอดภัยสองเส้นทาง ในความเป็นจริงผลประโยชน์นี้ดีกว่าตระกูลซั่งหยางมาก

คำว่าส่วนในที่นี้คือการเทียบทรัพย์สมบัติที่พรรควาฬแดงรวบรวมไว้ในอาณาเขตการดูแล อัตราเปรียบเทียบนี้เป็นส่วนที่มอบให้ตระกูลขุนนาง

สุดท้ายลู่เซิ่งมองเซียวหงเย่คนอ้วนผู้นั้น

เซียวหงเย่โบกมือติดต่อกัน “พวกเราไม่กล้าแย่งชิงกับตระกูลขุนนางสองตระกูล อย่าได้มองข้า น้องชายคุยกับสองท่านนี้ดีกว่า”

ลู่เซิ่งหยีตา รู้สึกว่าคนอ้วนผู้นี้ไม่ได้มีน้ำใจเหมือนเปลือกนอก คาดว่าเป็นประเภทหน้าเนื้อใจเสือ

ตัวแทนทั้งสองคนจากตระกูลซั่งหยางกับตระกูลสวีเป็นสตรี แต่ว่าบุคลิกของซั่งหยางจิ่วหลี่และสวีเฟยหงไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ท่าทีก็คาดเดาไม่ได้

“จะว่าไปข้ายังไม่ค่อยรู้จักสองตระกูลดีนัก ไม่ทราบว่าแนะนำสักเล็กน้อยได้หรือไม่” ลู่เซิ่งครุ่นคิด ถามอย่างสงบนิ่ง

“กล่าวได้ดีๆ ข้ากลับพอรู้จักอยู่บ้าง” ไป๋เฟิงเต้าหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ประมุขพรรคลู่อายุยังน้อย ไม่รู้จักก็เข้าใจได้”

เขามองสตรีทั้งสองนาง เห็นพวกนางไม่มีปฏิกิริยา และไม่ปฏิเสธ ก็ยิ้มแย้ม

“ตระกูลซั่งหยางเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งจงหยวน ความสามารถเหลือล้น เรียกขานฉายาว่าขอเหล็กเกี่ยวเงิน เน้นในขอบเขตวัตถุดิบยา การเดินเรือ และโรงรับฝากแท่งเงิน”

ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่มองเขา สองตาปิดเล็กน้อยเหมือนทำสมาธิ

ไป๋เฟิงเต้าหยินชี้ไปที่สวีเฟยหง

“ส่วนตระกูลสวีคือราชวงศ์แห่งรัฐมหาเกียรติ ค้าหยกศิลาเป็นหลัก ผู้คนเรียกขานฉายาว่าตระกูลขุนนางยันต์หยก มีพลังแข็งแกร่งเช่นกัน พูดถึงเรื่องพลังยุทธ์ ไม่ว่าเป็นตระกูลใด ต่างก็ไม่อ่อนแอไปกว่าตระกูลเจิน ถึงขั้นอาจจะแข็งแกร่งกว่า ดังนั้นตอนประมุขพรรคลู่พิจารณาไม่ต้องห่วงตรงจุดนี้”

ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ขอบคุณหัวหน้าขุนนางตรวจการไป๋เฟิง” เขามองตรงไปที่ซั่งหยางจิ่วหลี่

“ขอบังอาจถามคุณหนูซั่งหยาง ถ้าข้าเลือกตระกูลซั่งหยาง เรื่องจัตุรัสแดงจะจัดการอย่างไร”

ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่ลืมตา เอ่ยราบเรียบ “ผู้คุมจัตุรัสแดงออกไปด้านนอก ยังไม่ต้องสนใจ รอนางกลับมา ข้าจะไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง”

ลู่เซิ่งได้ยิน ก็จิตใจเคร่งขรึม

จากนั้นมองสวีเฟยหงที่อยู่อีกด้าน

สวีเฟยหงเพียงมองดวงตา ก็ทราบว่าเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง นางสวมเสื้อคลุมยาวสีชมพู นั่งในศาลา เหมือนกับร่างถูกฝังอยู่ในเสื้อผ้าอันงามประณีตที่หลวมกว้างอ่อนโยน แขนสีหยกขาวเดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหายในเสื้อคลุมคล้ายรากบัว

พอเห็นลู่เซิ่งมองมา นางก็ยิ้มเล็กน้อย

“ใต้หล้ายึดน้ำใจเป็นสำคัญ ทางจัตุรัสแดง ข้าไปเกลี้ยกล่อมด้วยตัวเองได้”

ลู่เซิ่งพยักหน้า ไตร่ตรอง ยังคงพูดเบาๆ กับซั่งหยางจิ่วหลี่

“ดูเหมือนเรื่องนี้ต้องรบกวนคุณหนูจิ่วหลี่แล้ว”

ท่าทีนี้ของเขามีความหมายว่าเลือกตระกูลซั่งหยาง

สวีเฟยหงใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงพยักหน้าไปทางคนที่เหลือ จากนั้นยิ้มให้ลู่เซิ่ง ค่อยลุกขึ้นจากไป

ซั่งหยางจิ่วหลี่เวลานี้ลืมตาขึ้น มองลู่เซิ่งอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

ท่าทีของนางกล่าวไม่ได้ว่าดีมากนัก ถึงขั้นครั้งนี้มาชักชวนพรรควาฬแดง ก็ไม่นำพาอยู่บ้าง ผลประโยชน์ที่ให้ความจริงไม่สู้ตระกูลสวี ถึงขั้นที่ตระกูลสวียังมีเงื่อนไขไม่ส่งคนมาจับตาอยู่ถาวร นี่บอกว่าไม่มีคนก้าวก่ายการจัดการของพรรค

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ลู่เซิ่งยังคงเลือกนาง

เดิมนางนึกว่าครั้งนี้ตนคงมาแค่เดินเล่นเท่านั้น

“โฮ่ๆๆ! ยินดีกับสองท่าน พรรควาฬแดงเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ตระกูลซั่งหยางเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งจงหยวน พลังไม่ธรรมดา การร่วมมือนี้จะต้องทำให้แดนเหนือสงบสุขกว่าเดิม” เซียวหงเย่ส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาด เอ่ยโดยเอาพัดพับบังปากไว้

“อือ ท่านไม่เลว” ซั่งหยางจิ่วหลี่มองลู่เซิ่งอย่างชื่นชม ครั้งนี้นางมา เดิมคิดจะพักผ่อน ไม่คิดจะทำภารกิจแบบนี้ให้สำเร็จอยู่แล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าจะสำเร็จโดยไม่ต้องทำอะไร

“ไม่ทราบคุณหนูจิ่วหลีจะจัดการจัตุรัสแดงตอนไหน” ลู่เซิ่งไม่สนใจพิธีรีตรอง ถามตรงๆ เขาแสดงพลังของตัวเอง จึงได้สิทธิ์เลือกตระกูลขุนนาง ไม่อย่างนั้นตามเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ได้ยินมาจากหงหมิงจือผู้เป็นศิษย์พี่ พรรควาฬแดงไม่มีสิทธิ์เลือก มีแต่ตระกูลซั่งหยางกับตระกูลสวีแบ่งผลแพ้ชนะหลังสู้กันก่อน ค่อยรับเจ้าของโดยไม่อาจเลือก

“นี่ง่ายดายยิ่ง คืนนี้เลยก็ได้” ซั่งหยางจิ่วหลี่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด นางถูกชะตาลู่เซิ่ง บวกกับไม่ชมชอบเรื่องธรรมดาเหล่านี้ จึงมีท่าทีรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็ว

“ขอบคุณคุณหนูจิ่วหลี่!” ลู่เซิ่งประสานมือ สีหน้าจริงจัง

“ในเมื่อทุกท่านตกลงใจแล้ว ไม่สู้จัดเลี้ยงสุราที่จวนผู้บังคับการแห่งนี้สักรอบ ดีหรือไม่” เซียวหงเย่เสนอ “นักวางกลยุทธ์ทั้งหมดของพวกเราในแดนเหนืออยู่ที่นี่พอดี โอกาสนี้หายากมาก” ใบหน้าอ้วนของเขาแย้มยิ้ม

“ข้าไม่ว่าง” ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปฏิเสธตรงๆ ลุกขึ้น แล้วโยนแผ่นหินแผ่นหนึ่งให้ลู่เซิ่ง “นี่เป็นป้ายสั่งการติดต่อสื่อสารของตระกูลซั่งหยาง สามารถส่งการโต้ตอบ ในระยะหมื่นลี้ข้าสามารถติดต่อได้”

ลู่เซิ่งรับแผ่นหินมา พลิกดูอย่างละเอียด

บนแผ่นหินสีขาวลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู เขียนข้อความด้วยตัวอักษรที่ไม่รู้จัก ดูวิธีใช้พู่กันดุจดั่งมังกรเหิน หงส์เริงระบำ หนักแน่นมีพลัง ปรมาจารย์สมควรเป็นคนเขียน

“ข้าจะไปจัตุรัสแดงก่อน!” ซั่งหยางจิ่วหลี่หมุนตัว ไม่รอคนอื่นๆ ตอบ ก็กระโดดขึ้น พริบตาเดียวก็หายไปจากนอกศาลา

ลู่เซิ่งเพิ่งเลื่อนสายตาออกจากแผ่นหิน ก็มองไม่เห็นเงาร่างของซั่งหยางจิ่วหลี่แล้ว

“ประมุขพรรคลู่ไม่ธรรมดาจริงๆ” ซั่งหยางจิ่วหลี่พอไป เซียวหงเย่ก็ยิ้มกล่าวกับลู่เซิ่ง “ถึงกับเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพรรควาฬแดงในสถานการณ์ที่ไม่ทราบอะไรเลยได้”

“อ้อ? ขุนนางนอกราชการเซียวไฉนเอ่ยวาจาเช่นนี้” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วถาม

……………………………………….