รถรางแล่นไปตามทางในป้อมปราการ ไม่ใช่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยนั่งรถมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น ‘การขนส่งสาธาณะ’ แบบนี้

ตอนที่ทุกคนขึ้นรถราง จำเป็นต้องหยอดสองเจี่ยว[1] ลงกล่องตรงทางเข้า แล้วสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ จะนั่งตั้งแต่ต้นสถานีจนถึงปลายสายก็ไม่มีปัญหา

หวังฟู่กุ้ยได้ยินเรื่องรถรางเมื่อนานมาแล้ว เพราะเวลาเขาเจอคนในป้อมปราการทีไร ก็มักจะคุยเรื่องของแปลกๆ ในป้อมปราการตลอด

พอเริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าอยากไปเที่ยวดูในป้อมปราการ หวังฟู่กุ้ยก็พูดว่ารถรางเป็นการขนส่งสาธารณะที่สะดวกสุดและประหยัดสุดทันที

“พี่” เหยียนลิ่วหยวนพูดขณะพิงหน้าต่าง “คนในป้อมนี่ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจจริงๆ อยู่ที่นี่ทั้งปลอดภัยทั้งสะดวก ทำงานง่ายๆ ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่าผู้อพยพข้างนอกเป็นร้อยเท่า”

“คนเราจะไม่มีเรื่องให้กังวลได้ยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่นั่งข้างเขา แล้วยิ้ม “ขนาดหลัวหลานยังมีเรื่องให้เป็นกังวลเลย มีสิ่งของทางโลกมาก ใช่ว่าจะลดความทุกข์ทางใจหรอกนะ”

“ก็จริงแหละ” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า “พี่คิดว่าบนโลกนี้ใครคือผู้ที่ไม่มีเรื่องกังวลใจอะไรเลย”

เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “ก็คนตายไง”

เหยียนลิ่วหยวนค่อยๆ หันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ “ใช่เรื่องที่ควรพูดตอนที่กำลังมีความสุขกันไหมเนี่ยพี่ชาย…”

“ขนาดคนปัญญาทึบอย่างเฉินอู๋ตี๋ยังมีข้อกังวลของตัวเองเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เฉินอู๋ตี๋นั่งอยู่แถวสุดท้ายด้วยใบหน้าบวมฉึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อวานเจ้านี่ไปโดนใครเขาตีมา…

ตามข้างทางในป้อมปราการ มีอาหารเช้าขายอย่างพวกเสี่ยวหลงเปา เต้าฮวย และอื่นๆ มีร้านขายวัสดุก่อสร้าง มีร้านขายของชำ ของดีละลานตา

คนเดินถนนเดินตามฟุตบาท นักปั่นจักรยานปั่นแซงพวกเขาไป

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ในป้อมจักรยานขายเท่าไรน่ะ ใช้มันเดินทางไปไหนมาไหนดูสะดวกกว่าเดินเท้าอยู่นะเนี่ย”

มีครั้งหนึ่ง ที่ ‘คหบดี’ ในเมืองซื้อจักรยานแล้วปั่นออกมาจากป้อมปราการ ในคืนเดียวกันนั้นเองจักรยานก็ถูกขโมยไป เพื่อหนีการตามล่าจากคหบดีผู้นั้น เจ้าโจรเลยปั่นจักรยานยาวจนไปถึงป้อมปราการอื่น

ในเมืองนั้นจักรยานเป็นของล้ำค่า ต่อให้อยากได้ก็ใช่ว่าจะสามารถหาซื้อได้

“บ่ายนี้เดี๋ยวไปถามคนให้” หวังฟู่กุ้ยว่า “แต่ไม่น่าจะถูกนะ ยังไงทรัพยาการต่างๆ ในยุคนี้ก็หายากมาก เธอน่าจะเห็นว่าคนที่ปั่นจักรยานจะใส่เสื้อผ้าไม่เลวเลย น่าเป็นคนมีกะตังค์ในป้อมปราการ”

“ตอนที่เดินทางมาที่ป้อมน่าจะถามเจียงอู๋อีกเยอะๆ” เริ่นเสี่ยวซู่เสียดาย พวกเขาไม่เคยอาศัยในป้อมปราการมาก่อน กลับกันเจียงอู๋นั้นเติบโตมาในป้อมปราการ

ตอนนี้เจียงอู๋ไปรายงานที่โรงเรียนและได้บรรจุเป็นครูแล้ว เธอน่าจะสอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมที่สิบสาม

ระหว่างทางนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินคนคุยกัน “นายได้เรื่องนี้ยัง ป้อมปราการ 113 เหลือแต่ซากแล้ว เห็นเค้าว่ากันว่าแผ่นดินไหวรอบล่าสุดทำลายป้อมปราการ 113 แน่ะ ขนาดคนของสมาคมตระกูลชิ่งยังต้องหนีออกจากป้อมปราการเลย”

“จริงเหรอ” มีคนอุทาน “วิทยุไม่เห็นประกาศไรเลย”

“พวกเขาไม่พูดลงวิทยุอยู่แล้วสิ” คนแรกที่เอ่ยขึ้นยิ้ม “แต่ฉันมีเพื่อนที่ทำงานอยู่กับสมาคมตระกูลชิ่งน่ะสิ เขาได้ยินว่าคนใหญ่คนโตจากสมาคมตระกูลชิ่งมาถึงป้อมเราแล้ว แถมพวกเขายังพาผู้อพยพอีกหลายสิบเข้ามาด้วย”

“ผู้อพยพ?” คู่สนทนาประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าผู้อพยพต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่นอกป้อมเหรอ พวกเขาเข้ามาทำไมน่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาได้ยินคนพูดว่า “จะไปรู้ไหม ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาโรค เชื้อโรค หรือการปนเปื้อนจากนอกป้อมเข้ามาหรือเปล่า”

“ชู่ววว ดูคนข้างหลังพวกเราสิ ฉันว่าพวกเขาคือพวกผู้อพยพแน่เลย!” มีคนพูดด้วยความตกใจ

มีคนพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ บนรถรางก็หันขวับมากันหมด ยิ่งมองมา พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่กับพรรคพวกนั้นเป็นผู้อพยพจริงๆ

พอถึงป้ายหน้า เหยียนลิ่วหยวนก็ประหลาดใจที่เห็นคนพวกนั้นลงจากรถรางไปหมด

รถเคลื่อนไปได้แค่ป้ายเดียว บนรถรางก็เหลือแต่พวกเขาเสียอย่างนั้นไป ถ้าไม่ใช่ว่าคนขับรถต้องเป็นคนขับรถละก็ เหยียนลิ่วหยวนเดาว่าเขาคงลงไปด้วยแล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองพวกตนทั้งหกคน วันนี้พวกเขาใส่ชุดใหม่เอี่ยม แถมใช้น้ำร้อนอาบน้ำล้างตัวกันแล้ว ร่างกายกับใบหน้าสะอาดสะอ้าน

แต่รูปแบบเสื้อผ้าที่ใส่อยู่มีแต่ที่ผู้อพยพเท่านั้นที่ซื้อได้ แถมผิวสีแทนก็ตัดกับสีผิวกับคนในป้อมปราการเกินไป

“พี่” เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “ผมรู้สึกว่าคนในป้อมไม่เป็นมิตรเท่าไรเลย”

ชาวป้อมปราการไม่เข้ามาดูพวกเขาใกล้ๆ ด้วยซ้ำ หลังจากรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพ ก็มีแต่จะหนีไปเหมือนกลัวติดโรคอย่างไรอย่างนั้น

เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าพวกตนจะนำเชื้อโรคมาจากนอกป้อมปราการ และก็เพราะทางป้อมปราการเองก็แพร่ข่าวว่าที่ไม่ให้ผู้อพยพเข้าป้อมปราการนั้นเป็นผลจาก ‘การปนเปื้อน’ ของพวกเขาเอง

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตอบอะไร ว่าเสียงนิ่ง “พี่เสี่ยวอวี้ พรุ่งนี้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเราทุกคนคนละสองชุดนะ ทุกคนต้องใส่ชุดใหม่แบบชาวป้อมปราการ พวกเราจะได้กลมกลืนไปกับพวกเขาได้”

“ผมไม่ใส่หรอก” เหยียนลิ่วหยวนลอบประท้วง เขารู้สึกว่าการที่ตนเองยอมใส่ชุดแบบชาวป้อมปราการ ก็ไม่ต่างกับตนเองยอมค้อมหัวให้พวกเขา

เริ่นเสี่ยวซู่พูด “จะอยู่ในแดนรกร้างหรือป้อมปราการ เพื่อการเอาตัวรอด นายก็ต้องกลมกลืนและเข้าใจกับสภาพแวดล้อมนั้นก่อน นายถึงจะมีความสามารถจะต่อต้านขัดขวาง ถ้านายเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเองไม่ได้ ก็มีแต่ต้องมีเรียนรู้ที่จะปลอมแปลงตัวตนเข้ากับมัน”

หวังฟู่กุ้ยได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไป ไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะปรับใช้หลักการเอาตัวรอดในแดนรกร้างเข้ากับการใช้ชีวิตในป้อมปราการเช่นนี้ หมายความว่าเขาคิดว่าป้อมปราการเองก็ไม่ต่างไปกับแดนรกร้างสินะ?

พวกเขายังได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่เสริมอีกว่า “พวกเราอาจจะต้องออกไปจากป้อมปราการในสักวันหนึ่ง เตรียมตัวให้พร้อม”

เหยียนลิ่วหยวนตาทอประกาย ในฐานะที่เป็นผู้รู้จักเริ่นเสี่ยวซู่อย่างดี เขาบอกได้เลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่จริงๆ!

แต่หวังฟู่กุ้ยยิ้มแล้วว่า “ทำไมพวกเราไม่ออกไปพรุ่งนี้เลยล่ะ ไม่รู้ทำไม แต่ฉันรู้สึกว่าชอบอยู่นอกป้อมปราการมากกว่าแฮะ”

“ไม่ต้องรีบ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “แถมยังไงพวกเราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี เดี๋ยวมีจังหวะแล้วค่อยคุยกันแล้วกัน”

ตอนนี้รถรางมาถึงสุดสถานีแล้ว พวกเริ่นเสี่ยวซู่คิดจะอยู่บนรถรางต่อไว้สำหรับขากลับ แต่เขาได้พลันเห็นบ้านหลายหลังอยู่ห่างจากสถานีไป แถมเป็นบ้านที่มีสวนในตัวอีกด้วย!

มองจากไกลๆ แล้วน่าจะเป็นพื้นที่ที่กว้างขวางมาก แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนตัวมากกว่าที่อื่นมากเช่นกัน

เริ่นเสี่ยวซู่สะกิดคนขับรถรางแล้วถาม “ที่นั่นคือที่อะไรเหรอ”

“เป็นย่านคนรวยในป้อมปราการเราน่ะ” ผู้ขับว่า “มีแต่คนรวยกับบุคคลทรงอำนาจถึงจะอยู่อาศัยได้ ไม่มีสายรถรางเข้าไปเพราะทุกคนที่นั่นมีรถยนต์กันหมด” ระหว่างที่เขาพูดไปนั้นก็พยายามถอยตัวหนี ไม่กล้าอยู่ใกล้เริ่นเสี่ยวซู่เกินไป

[1] 1 หยวน (元) = 10 เจี่ยว (角)

1 เจี่ยว (角) = 10 เฟิน (分)