“ฟู่ยื่อลัว ปราณทรงปัญญาแห่งเผ่ามาร เจ้าจะล่อเด็กหนุ่มแซ่ฉินออกมาได้อย่างไร” ลู่หลีซัก
ฟู่ยื่อลัวแย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “หนึ่งในสี่ผู้บัญชาการแห่งแดนใต้พิภพ ลู่หลี ท่านจะช่วยข้ายึดครองสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร”
ลู่หลีมองไปที่แท่นสังเวยมหึมาของเผ่ามาร และมารเทวะแดนใต้พิภพหลายตนก็เดินลงมาจากที่นั่น มารเทวะเช่นนี้หนึ่งตนคว้าจับเอาผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารมากกว่าร้อยยัดเข้าไปในปากเขาโดยไม่มีสาเหตุ มันทำให้มารคนอื่นๆ แตกตื่นตกใจ และพวกเขาก็หนีเตลิดไปทุกทิศทาง
ข้างๆ แท่นสังเวย มารเทวะแห่งเผ่ามารรีบออกหน้าไปสกัดขัดขวางผู้มาใหม่ มารเทวะแดนใต้พิภพเป็นบรรพบุรุษของเผ่ามาร และพวกเขาก็รู้จักแต่เข่นฆ่า พวกเขาไม่มีสติปัญญามากมายนัก มารเทวะมากมายจึงสร้างม่านคุ้มกันขนาดใหญ่คลุมกักบรรพชนเอาไว้ในนั้น
เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพยายามทำลายม่านครอบ แต่ก็ทำให้มันแตกทำลายไม่ได้
มารเทวะเผ่ามารจึงเรียกตัวผู้ฝึกวิชาเทวะมารมากมายกลับมา ยักษ์งานกำยำหนึ่งร้อยคนจึงชักลากรถมหึมามาและย้ายม่านครอบเข้าไปในนั้น จากนั้นพวกเขาก็ไสรถออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะมารนับพันที่กำลังไสรถไปจากข้างหลังด้วยเช่นกัน เป้าหมายของพวกเขาคือส่งบรรพชนมารพวกนี้ไปยังสนามรบ
“กองทัพของเจ้าอ่อนแอเกินไป และบรรพชนมารที่เจ้าอัญเชิญมาก็ยากจะควบคุม พวกเขารู้จักแต่จะกลืนกินเท่านั้น” ลู่หลีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าเจ้าต้องการหยิบยืมพลังอำนาจของพวกเขาเพื่อทำลายกองทัพแห่งสวรรค์ไท่หวง มันก็จะจบลงด้วยความพินาศย่อยยับของทั้งสองฝ่าย ผลได้ไม่อาจชดเชยความสูญเสีย เมื่อเจ้ายึดครองสวรรค์ไท่หวงสำเร็จ มันก็จะถูกทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง ดีกว่าสวรรค์หลัวฝูของเจ้านิดหน่อยเท่านั้น”
สายตาของฟู่ยื่อลัววูบไหว “ท่านน่าจะรู้ว่าเป้าหมายของข้ามิใช่สวรรค์ไท่หวง แต่เป็นสถานที่แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง”
ลู่หลีมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม “ฟู่ยื่อลัว เจ้าต้องการจะใช้สวรรค์ไท่หวงเป็นกระดานกระโดด บูชายัญมันเพื่อเชื่อมต่อสวรรค์หลัวฝูเข้ากับสวรรค์ไท่หวงและสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เป้าหมายของเจ้าคือจุติลงไปยังโลกนั้น”
ฟู่ยื่อลัวยิ้มอย่างเงียบงัน “พี่ทางเต๋าก็เป็นเผ่ามารเหมือนกัน ไฉนท่านจึงไม่หมายที่จะเห็นเผ่ามารของพวกเราแข็งแกร่งขึ้น”
ลู่หลีนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะส่ายหัว “ความทะเยอทะยานของเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ความสามารถของเจ้าไม่เพียงพอ เจ้ามีแต่จะชักนำเภทภัยมาใส่ตนเองเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร ข้าเองก็เป็นมารตนหนึ่งและจะสนับสนุนเจ้า เจ้าไม่อาจควบคุมบรรพชนมาร แต่ข้าทำได้”
นางสะบัดแขนเสื้อกวาดขึ้นและม่านครอบบนรถใหญ่ในที่ไกลๆ ก็พลันปริแตก บรรพชนมารข้างในนั้นคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและกระโดดออกมา เขากู่ร้องไปยังท้องฟ้าและทุบหน้าอกของตนปึ้กๆ ด้วยโทสะ ปราณมารไหลบ่าออกมาจากเขา
ฟู่ยื่อลัวสีหน้าแปรเปลี่ยน และมารเทวะในบริเวณรอบๆ ก็แตกตื่นเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดพุ่งเข้าใส่บรรพชนมารอย่างร้อนรน
กระนั้นบรรพชนมารก็พลันทะยานขึ้นไปบนอากาศและเหาะมายังฟู่ยื่อลัว เขาลงมาเหยียบพื้นด้วยเสียงตึงดังสนั่น และยืนอยู่ข้างๆ ลู่หลี่โดยไม่กระดุกกระดิก
มารเทวะพวกนั้นพุ่งมาถึง แต่ฟู่ยื่อลัวยกมือห้าม “ถอยไป”
เขามองไปที่บรรพชนมาร ดูใบหน้าสีเขียวและเขี้ยวของมารเทวะโบราณตนนี้ เขานั้นเต็มไปด้วยรอยประทับดึกดำบรรพ์อันดูเหมือนได้จารึกลงไปในผิวหนัง
ฟู่ยื่อลัวระบายลมหายใจสะท้านและกล่าว “พี่ทางเต๋าสามารถควบคุมบรรพชนมารได้มากเท่าไร”
ใบหน้าสะสวยของลู่หลีคลี่ยิ้มเบ่งบาน “ข้าสามารถควบคุมได้มากเท่ากับที่เจ้าอัญเชิญมา”
ใบหน้าทั้งสองของฟู่ยื่อลัวอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสี การควบคุมของลู่หลีเหนือบรรพชนมาร แปลว่านางสามารถใช้พวกเขาโจมตีคนของเขาและล้มล้างตำแหน่งเขาได้!
สาเหตุที่เขาไม่ต้องการติดต่อกับสภาสวรรค์นั้นก็เพราะว่าเขาต้องการจะรักษาตำแหน่งผู้นำของตน เขาเกรงว่าเผ่ามารทั้งหลายจะตกไปอยู่ใต้การควบคุมของสภาสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่ร้องขอให้สถานที่แห่งนั้นยื่นมือช่วย ในทางกลับกัน เขาอัญเชิญมารเทวะแห่งแดนใต้พิภพแทน
แต่ถึงกระนั้น เมื่อเขาหวนคิดทบทวน เขาได้มองเรื่องราวง่ายดายเกินไป
สภาสวรรค์ได้เข้าไปควบคุมบรรพชนมารแห่งแดนใต้พิภพเรียบร้อยแล้ว อันหมายความว่าพวกเขาก็จะต้องควบคุมเผ่ามารทั้งหมด!
ในวินาทีที่ฟู่ยื่อลัวอัญเชิญลู่หลีมา บังเหียนควบคุมเผ่ามารก็หลุดออกไปจากมือเขา!
“ตอนนี้เจ้าคงจะบอกข้าได้แล้วใช่ไหมว่าจะจับตัวเด็กหนุ่มแซ่ฉินผู้นั้นได้อย่างไร?” ลู่หลีกล่าว
ฟู่ยื่อลัวปลุกปลอบตนเองและตอบ “จับตัวเขาไม่ยากเท่าไร จะยึดครองเมืองและแย่งชิงดินแดนก็ต้องมุ่งตรงไปที่หัวใจ ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังเป็นมนุษย์ พวกเขาย่อมมีจุดอ่อน ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงที่หวาดกลัวความตายนั้นมีจำนวนไม่ใช่น้อย และพวกเขาเหล่านั้นมาฝั่งพวกเราก็ไม่ใช่น้อยเช่นกัน หนึ่งในนั้นถึงกับเป็นเทพเจ้า ตราบเท่าที่ข้าออกคำสั่งไป ก็จะมีคนไปจับตัวเขา และส่งตัวเขามาพบข้า”
ลู่หลีดวงตาเป็นประกาย “เจ้ามีสายลับในสวรรค์ไท่หวง ซึ่งเป็นถึงเทพเจ้างั้นหรือ เขาคือใคร”
…
ฉินมู่ยืนอยู่ตรงหน้าป้อมปราการเมืองหลี และเฝ้ามองเทพเสือขนดำกระโจนทะยานผ่านอากาศราวกับว่ากำลังเหินบิน เขาพากิเลนมังกรพร้อมกับฮู่หลิงเอ๋อกลับมาจากเขตแดนมารในที่ห่างไกล พร้อมกับพวกเขาก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์หลายร้อยคน
“มังกรอ้วนดูเหมือนจะผอมลง!”
ฉินมู่ตาลุกวาว ช่วงระหว่างที่เขาไม่อยู่ กิเลนมังกรดูเหมือนจะผอมลงไปจริงๆ แม้ว่าเขาจะยังมีพุงใหญ่อุ้ยอ้าย แต่อย่างน้อยมันก็ไม่หย่อนยานถึงพื้นอีกต่อไป
ฉินมู่ปลื้มใจที่เห็นเช่นนั้น สักไม่กี่อึดใจ เทพเสือขนดำก็มาถึงประตูเมือง และเงยหน้ามองเห็นเขายืนอยู่ข้างบนป้อม เขารีบพากิเลนมังกรและฮู่หลิงเอ๋อขึ้นไปกับเขาและลงจอดข้างๆ ฉินมู่ เขาพลันสลัดร่างของตนเองและแปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังยิ้มแย้ม “ศิษย์น้อง ในที่สุดเจ้าก็กลับมา! มังกรอ้วน คายลูกแก้วมังกรออกมาอวดศิษย์น้องข้าซิ!”
กิเลนมังกรเห็นฉินมู่ก็เหมือนเห็นสมาชิกครอบครัวที่พลัดพรากจากไปนาน เขากำลังจะทุ่มตัวลงไปกลิ้งเกลือกวิงวอนของยาวิญญาณ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเทพเสือ เขาก็ได้แต่นั่งลงอย่างเรียบๆ ร้อยๆ และคายลูกแก้วของเขาออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ขาดการถูกอัดให้น่วม ดังนั้นจึงดูสงบเสงี่ยมเชื่อฟังขนาดนี้
ลูกแก้วลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทันใดนั้นเพลิงไฟก็พวยพุ่งออกมาจากข้างใน ลูกแก้วสาดส่องแสงหลากสีที่มีความกุก่องอย่างวิเศษ ส่องแสงให้แก่พื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้!
มันมีรอยประทับรูปมังกรข้างในลูกแก้วที่กำลังแหวกว่ายไปมาอยู่ในนั้น มันมีการกระเพื่อมของไอน้ำที่กร้าวแกร่งเป็นพิเศษเนื่องมาจากมัน!
ฉินมู่โห่ร้องยินดี แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างประหลาด ลูกแก้วมังกรของกิเลนมังกรนั้นเล็กกว่าลูกแก้วมังกรอื่นๆ ที่เขาเคยเห็นมาก มันมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น ขณะที่ลูกแก้วมังกรเล็กที่สุดที่เขาเคยเห็นมีขนาดเท่ากำปั้น
ไม่ใช่ว่ามังกรอ้วนมันธาตุไฟหรอกหรือ ทำไมลูกแก้วมังกรของเขาเป็นธาตุน้ำ แถมมันยังเล็กขนาดนี้…หรือว่าข้าจะให้ยาวิญญาณแก่เขาผิดพลาด
ขณะที่เขาคิดอยู่นั่นเอง กิเลนมังกรก็พ่นลูกแก้วอีกลูกอันราวกับดวงตะวันอันเจิดจ้าบนท้องฟ้า สาดส่องออกมาด้วยพลังงานความร้อนอันโหมไหม้ แม้แต่ฉินมู่ก็ยังรู้สึกเจ็บแสบเมื่อแสงตกลงมากระทบตัวเขา!
ลูกแก้วมังกรสองลูก! ไม่สิ อีกลูกหนึ่งคือลูกแก้วกิเลน!
ตอนแรกฉินมู่ก็แตกตื่น แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลูกแก้วลูกที่สองไม่ใช่ลูกแก้วมังกร และมีรอยประทับสัตว์พิสดารที่อยู่ในรูปลักษณ์ของกิเลน มันยืนอยู่บนเมฆอัคคีและอ้าปากคำรามออกมา
ลูกแก้วกิเลนใหญ่โตเป็นพิเศษ แทบจะเท่ากับตะกร้าก้นกลมที่กว้างสองคืบ ข้างในนั้นคือเพลิงกิเลนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ปานเปรียบ!
เพลิงกิเลนนั้นดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง และความร้อนของมันก็เหนือธรรมดา เมื่อฉินมู่มองไปยังลูกแก้วกิเลน เขาก็ชักสงสัยว่ากิเลนมังกรอาจจะฝึกวรยุทธไปถึงขั้นเป็นตายไปแล้ว
ลูกแก้วมังกรเป็นธาตุน้ำ ขณะที่ลูกแก้วกิเลนเป็นธาตุไฟ หรือว่ามังกรอ้วนจะมีคุณสมบัติธาตุน้ำและไฟ…
ฉินมู่สายตาว่างเปล่า เขารู้ก็แต่ว่ามังกรอ้วนชอบกินยาวิญญาณที่มีคุณสมบัติธาตุไฟ อย่างเช่นยาวิญญาณเพลิงฉานและยาเทพชีวาธาตุไฟ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดฝันเลยว่ากิเลนมังกรจะมีคุณสมบัติธาตุน้ำด้วย!
บัดนี้ ลูกแก้วทั้งสองลูกหนึ่งใหญ่มโหฬารและอีกลูกหนึ่งก็เล็กกระจิริด เห็นได้ชัดว่ามาจากการที่กิเลนมังกรเลือกกินอาหาร!
เสือเทพยดาขนดำภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้อง มังกรอ้วนได้กินยาวิญญาณมากเกินไปและทั้งหมดก็สะสมอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้กายเนื้อของเขาอ้วนฉุ เจ้าหมอนี่ยังเกียจคร้านอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยฝึกฝนตนเองมากก่อน เขาเอาแต่ฝึกปรือด้วยการกิน ดังนั้นเขาจึงอ้วนขึ้นทุกทีๆ”
“เมื่อข้าพวกเขาออกไปและให้เขาสู้กับไอ้เด็กเผ่ามารพวกนั้น มันได้รีดเร้นศักยภาพของเขาและในที่สุดเขาก็สามารถขัดเกลาพลังงานจากยาวิญญาณทั้งหลายให้กลายเป็นลูกแก้ว และก็ยังผอมลงอีกด้วย นี่ล่ะ ข้าจะคืนมังกรอ้วนให้แก่เจ้า มันน่ารำคาญใจเสียจริงเพราะว่าในระหว่างหลายวันมานี้ ข้าหามารเทวะเพื่อเป็นคู่มือต่อสู้ให้สาแก่ใจไม่เจอเลยสักตน!”
ฉินมู่เต็มไปด้วยความตื้นตันและแย้มยิ้มแก่เขา “ศิษย์พี่ ขอบคุณท่านมากที่ลำบากเป็นธุระ”
เทพเสือขนดำยิ้มกลับมา “ข้าไปล่ะ! อย่าเพิ่งริเริ่มเรื่องวุ่นวายตอนนี้ล่ะ และรอให้ข้ากลับมาอยู่ที่นี่อย่างดีๆ! จริงสิ อย่าป้อนยาวิญญาณเพลิงฉานหรือยาเทพชีวาธาตุไฟให้มังกรอ้วนอีก ในเมื่อยังมีพลังงานสะสมอยู่ในร่างกายของเขา เมื่อเขาขัดเกลาพลังงานสะสมทั้งหมด ลูกแก้วกิเลนก็จะใหญ่กว่านี้สามเท่า!” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็กระโดดออกไปจากหอคอยและหายวับ
เมื่อกิเลนมังกรเห็นเขาจากไป เขาก็สะอื้นสำลักน้ำตา พูดอะไรไม่ออก
ฉินมู่รู้สึกสุขใจอย่างยิ่งกับเรื่องราวที่เป็นไป “มังกรอ้วนคงจะคิดถึงข้ามาก เขาจึงร้องไห้จากอารมณ์ที่ท่วมท้น”
ฮู่หลิงเอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเบา “คุณชาย มังกรอ้วนร้องไห้ก็เพราะว่าเขาหิวโหยและเพราะการฝึกโหดของเทพเสือขนดำ เขากินยาวิญญาณทั้งหมดที่ท่านเหลือไว้ให้ไปนานแล้ว และเขาก็ไม่ชอบจะกินอย่างอื่นเลยสักอย่าง กระนั้นเทพเสือขนดำก็เอาแต่ให้เขาต่อสู้กับยอดฝีมือมารโดยไม่ยอมให้เขาพัก บัดนี้เมื่อผู้กดขี่ของเขาจากไป เขาก็เลยเริ่มต้นร่ำไห้ด้วยความตัดพ้อ”
กิเลนมังกรผงกหัวหงึกๆซ้ำๆ
ฉินมู่นำสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมาหลอมปรุงยาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะต้องหิว ดังนั้นในตอนขากลับ ข้าได้ซื้อสมุนไพรวิญญาณมาเป็นจำนวนมาก โชคใหญ่ของข้าในคราวนี้ก็ยังคงเป็นการค้นพบวิชาฝึกปรือสำหรับมังกรอ้วน! แต่ทว่า เจ้าก็ยังมีสายเลือดของกิเลนด้วย ดังนั้นวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาคงไม่อาจกระตุ้นศักยภาพทั้งหมดในตัวเจ้าได้”
เขาหลอมปรุงยาวิญญาณหม้อหนึ่งเสร็จลงไปอย่างรวดเร็ว และส่งมันให้แก่กิเลนมังกร พวกมันคือยาเทพชีวาธาตุน้ำ ยาวิญญาณชนิดเดียวกับที่เขาป้อนเจียงเหมี่ยว
กิเลนมังกรเลียยาวิญญาณเม็ดหนึ่งและพลันสังเกตว่ารสชาติแตกตต่างจากเดิม เขากลั้นน้ำตาเอาไว้พลางกินเม็ดนั้น จากนั้นก็เก็บที่เหลือเอาไว้
“มังกรอ้วน ทำไมเจ้าไม่กินทั้งหมดล่ะ” ฮู่หลิงเอ๋อถามด้วยความใคร่รู้
“ข้ากลัวว่าข้าจะอดอยากก็เลยคิดจะเก็บสำรองไว้จำนวนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น รสชาติของยาวิญญาณนี้ไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ยาวิญญาณเพลิงฉาน” กิเลนมังกรจึงหันไปหาฉินมู่และถามอย่างกระมิดกระเมี้ยน “จ้าวลัทธิ ท่านหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานให้ข้าสักสามสี่ถังได้ไหม”
ฉินมู่ทำหูทวนลมและเรียกเจียงเหมี่ยวมา “ศิษย์น้องเจียงเหมี่ยว สอนวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาให้มังกรอ้วนหน่อยสิ ระหว่างที่ข้าจะหลอมปรุงยาเทพชีวาธาตุเพิ่มอีกให้พวกเจ้าทั้งสอง”
เจียงเหมี่ยวรับคำ และถ่ายทอดวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาให้แก่กิเลนมังกร อธิบายเขาในส่วนที่ยากจะเข้าใจ
ปฏิภาณความเข้าใจของกิเลนมังกรนั้นไม่ได้แย่เลย เขาเพียงแต่ขี้คร้านเกินไป แต่ทว่าด้วยการฝึกโหดของเสือเทพยดาขนดำ เขาก็ไม่กล้าที่จะแอบอู้ และสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เขาได้รับถ่ายทอดได้อย่างรวดเร็ว
ฉินมู่หลอมปรุงยาเทพชีวาธาตุน้ำอีกหลายหม้อ จากนั้นก็มอบให้เจียงเหมี่ยวและกิเลนมังกร
“จ้าวลัทธิฉิน เจ้ากลับมาแล้ว!” เสียงของฉินอวี้ดังออกมาเมื่อเขาวิ่งขึ้นมาบนป้อมปราการ เขานั้นมาถึงข้างตัวฉินมู่ด้วยรอยยิ้มแก้วปริ “จ้าวลัทธิเป็นคนรักษาคำพูด ข้าเชื่อว่าท่านจะคืนมังกรน้อยของข้านั้นให้…”
รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงเหมี่ยวแข็งทื่อ และเขามองไปยังฉินมู่ด้วยแววตาวิงวอน
ฉินมู่ต้อนรับผู้มาเยือนคนใหม่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องฉินอวี้ ให้ข้าบอกข่าวอัศจรรย์กับเจ้าเสียหน่อย มังกรน้อยของเจ้านั้นได้เรียนรู้วิชาฝึกปรือเทพยดาอันแข็งแกร่งทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจะต้องกลายเป็นราชามังกรในอนาคตอย่างแน่นอน!”
ฉินอวี้ลิงโลดยินดีและมองไปรอบๆ “ขอบคุณมาก จ้าวลัทธิ! แล้วเด็กดีของข้าอยู่ที่ไหน”
“ศิษย์น้องเจียงเหมี่ยวมาสิ ศิษย์น้องฉินอวี้เรียกเจ้าแน่ะ”
ฉินมู่กวักมือเรียก และเจียงเหมี่ยวก็ปลุกปลอบตนเองก่อนที่จะเดินออกไปข้างหน้า ฮู่หลิงเอ๋ออ้าปากค้าง และนางมองไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังเด็กหนุ่มที่เดินตรงไปยังฉินอวี้ นางเตะกิเลนมังกรและถาม “มังกรอ้วน เจ้ามีเมล็ดแตงโมไหม ”
กิเลนมังกรส่ายหัว
ฉินอวี้จ้องไปยังเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าว่างเปล่า เด็กหนุ่มผู้นั้นดูคล้ายคลึงเขาแต่หล่อเหล่ากว่า แม้ว่าเขาจะดูเขินอายเล็กๆ แต่ก็มีรูปลักษณ์อันน่าประทับใจ ทั้งกำลังฝีมือก็ไม่ต้อยต่ำ
“จ้าวลัทธิฉิน…”
ฉินอวี้หันหน้าไปมองฉินมู่ สายตาเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กลัว จนปัญญา สับสน และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“เจียงเหมี่ยวคือมังกรน้อยของเจ้า เป็นบุตรแห่งราชามังกรแม่น้ำหย่ง เขาได้ฝึกปรือวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา และจะสามารถฝึกปรือถึงขั้นมังกรเทพยดาหรือราชามังกรในกาลข้างหน้าได้โดยไร้อุปสรรค”
ฉินมู่นำธูปออกมาสองสามก้านและปักมันที่กำแพงป้อมปราการเมือง “บัดนี้ข้าคืนเขาให้แก่เจ้า พวกเจ้าทั้งสองสามารถคุยกันยาวๆ ได้”
เขานั้นกำลังจะหนีไปแต่ฉินอวี้ก็คว้าแขนเสื้อเอาไว้และกล่าวอย่างจนปัญญา “จ้าวลัทธิฉิน ข้าให้ท่านยืมมังกรน้อย แต่ท่านคืนค–”
เจียงเหมี่ยวก็คว้าแขนเสื้ออีกข้าง และฉินมู่ก็รู้สึกช่วยไม่ได้เช่นกัน เขาจึงได้แต่บอกว่า “ข้าจะรับหน้าที่และให้พวกเจ้าทั้งสองกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน แบบนี้เป็นอย่างไร ศิษย์น้องฉินอวี้ เจ้าอายุเท่าไร”
ฉินอวี้ผงกหัวด้วยความเหม่อลอย “ข้าอายุสิบเจ็ดปี…”
ฉินมู่มองไปที่เจียงเหมี่ยว และเด็กหนุ่มก็คิดคำนวณอยู่แวบหนึ่ง “ข้าอายุสองหมื่นกับแปดสิบเจ็ดปี”
“อายุของพวกเจ้ากำลังเหมาะ แตกต่างกันไม่มาก!” ฉินมู่ปรบมือของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจียงเหมี่ยวจะเป็นพี่ชายร่วมสาบานของฉินอวี้ และฉินอวี้ก็จะเป็นน้องชายร่วมสาบานของเจียงเหมี่ยว ตอนนี้ทุกอย่างก็จะไม่ประดักประเดิดอีกต่อไป! มาสิ พวกเจ้าสามารถคุกเข่าโขกศีรษะและกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน” หลังจากที่เขากล่าว เขาก็กดหลังทั้งคู่ให้คุกเข่าลงไป
เจียงเหมี่ยวและฉินอวี้มีสีหน้าว่างเปล่าเมื่อพวกเขาถูกฉินมู่บังคับให้โขกศีรษะสามสี่ครั้ง
ฉินมู่ปาดเหงื่อเย็นเยียบของตนเองออกไปและรีบกล่าว “ยินดีด้วย! หลิงเอ๋อ มังกรอ้วน ให้ข้าพาพวกเจ้าไปพบกับผู้อาวุโสจากเผ่ามังกร ไปกันเถอะ–”
ฮู่หลิงเอ๋ออยากจะอยู่ชมดูละครต่อ แต่นางถูกจับไปวางไว้บนหลังกิเลนมังกรและพาตัวไปโดยฉินมู่ ทิ้งไว้แต่เจียงเหมี่ยวกับฉินอวี้บนป้อมปราการเมือง
“จ้าวลัทธิ ข้ายังอยากอยู่ดูว่าพวกเขาจะคบหาสมาคมกันอย่างไรต่อ!”
ฮู่หลิงเอ๋อเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเหลียวคอของนางกลับไปมอง ฉินอวี้และเจียงเหมี่ยวยังคงยืนหันหน้าเข้าหากันโดยไร้คำพูด
………….