ตอนที่139 ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่139 ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์

หัวหน้าคณะอาจารย์อีกคนได้ยินแบบนั้นจึงได้กล่าวย้ำเพิ่มเติมไปว่า

“คุณพูดมาก็ถูก อาจารย์ฉีเป็นที่นิยมมากในหมู่เด็กนักศึกษา ซึ่งนี่…ก็พิสูจน์แล้วว่าเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์”

รองหัวหน้าคณะอาจารย์กัวที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวเสริมขึ้นอีกแรง

“ถึงใบวุฒิการศึกษาจะเป็นปัญหาก็จริง แต่ปัญหาข้อนี้ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ซะทีเดียว ดังนั้นในความคิดของผม เราไม่ควรไปกระตุ้นเด็กนักศึกษาให้เกลียดมหาวิทยาลัยโดยไม่จำเป็น”

เมื่อเห็นว่ามีผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยถึงสามคนที่เห็นด้วยกับการเชิญฉีเล่ยกลับมาสอน ตาแก่ซงที่เข้าร่วมฟังการหารือด้วยก็ถึงกับกังวลใจขึ้นมาทันที

แต่ถ้ากลับลำไปเชิญไอ้เด็กไร้สัมมาคาราวะนั่นกลับมาสอนจริงๆ นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองหรอกเหรอ? อีกอย่าง ในวันที่ฉีเล่ยสอนวันสุดท้ายนั้น เขาเองก็ได้พูดกระแนะกระแหนแดกดันชายหนุ่มไปตั้งมากมาย

อีกทั้งในการสอนวันสุดท้ายของฉีเล่ย เขาเองก็ได้พูดกับทุกคนอย่างไม่แยแสและเย่อหยิ่งที่ต้องถูกไล่ออก

ตาแก่ซงต้องการรักษาหน้าตาและศักดิ์ศรีของตนเองไว้ ภายในใจลึกๆจึงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากประการแรกตรงหน้าเขาเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่โตของมหาวิทยาลัยทั้งนั้น เขาเองเป็นเพียงแค่อาจารย์แก่ๆคนหนึ่ง จะมีสิทธิ์มีเสียงอะไร และประการที่สอง สาเหตุที่กลุ่มนักศึกษาแสดงท่าทีต่อต้านรุนแรงขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาด้วย ถ้าตอนนั้นเขาไม่ไล่เด็กนักศึกษาออกจากคลาสแบบนั้น เรื่องราวก็คงจะไม่บานปลายขนาดนี้แน่ สุดท้ายแล้วเขาจึงทำได้เพียงแค่นั่งหุบปากฟังนิ่งๆเท่านั้น

ซีลู่เฉิงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงพูดต่อว่า

“งั้นผมขอเลื่อนการหารือเรื่องนี้ออกไปก่อนก็แล้วกัน จะให้ตัดสินใจดำเนินการทันทีโดยไม่ไตร่ตรองก็คงจะไม่ได้ ยังไงผมก็ขอกลับไปคิดทบทวนดูก่อน”

หลังจากที่ทุกคนเดินออกไปแล้ว ซีลู่เฉิงก็จัดการปิดประตูห้องทำงานของตนเอง ก่อนจะเดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมากดโทรหาเลขหมายที่คุ้นเคย

หลังจากที่อีกฝ่ายกดรับสายแล้ว ซีลู่เฉิงก็ได้กล่าวขึ้นด้วยความละอายใจว่า

“รัฐมนตรีหม่าครับ ตอนนี้เกิดปัญหาในที่ค่อนข้างจัดการได้ยากขึ้นแล้วครับ…”

“มีคนเข้ามาขอร้องแทนอีกแทนงั้นเหรอ? ซีลู่เฉิง แรงกดดันแค่นี้คุณต้องทนให้ไหว เป็นถึงหัวหน้าคณะอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน ต้องรู้จักหัดรับผิดชอบต่ออนาคตของนักศึกษามากกว่านี้”

“รัฐมนตรีหม่า มีคนจากหน่วยงานรัฐแทบทุกฝ่ายที่แห่กันเข้ามาออกหน้าแทนเขา ถ้าเรื่องนี้แดงขึ้นมา การจะปิดปากของคนพวกนั้นให้หมดมันแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วที่สำคัญ นักศึกษาพวกนั้นก็ไม่เต็มใจที่จะเรียนต่อเช่นในมหาวิทยาลัยเช่นกันกันถ้าไม่มีฉีเล่ย?”

“ไม่เต็มใจเรียนงั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ นี่ผมเองก็ได้พยายามรับสมัครอาจารย์ใหม่เข้ามาสอนวิชานี้หลายคนแล้ว แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนถูกนักศึกษากลุ่มนี้ขับไล่ไปจนไม่มีเหลือ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นก่อนที่ฉีเล่ยจะเข้ามาสอนอีกนะครับ! แล้วตอนนี้…ฉีเล่ยถูกไล่ออกไปแล้ว พวกนักศึกษาก็ยิ่งพยศกันไปใหญ่”

ซีลู่เฉิงได้แต่ทำสีหน้าหนักอกหนักใจ หากไม่ใช่เพราะหัวเรือใหญ่ระดับรัฐมนตรีหม่าออกคำสั่งการเอง มีหรือที่เขาจะทนให้เด็กนักศึกษากลุ่มนี้ถอนหงอกอยู่ได้

“ไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้มันยังไง! จงใจสร้างปัญหาให้กับทางมหาวิทยาลัยชัดๆ กล้าดียังไงถึงกับมาเที่ยวไล่ครูบาอาจารย์แบนี้ ส่วนคุณเองก็จะนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ ไม่คิดที่จะทำอะไรเลยงั้นเหรอ?

ซีลู่เฉิงได้แต่ตอบกลับด้วยสีหน้าขมขื่นใจ

“ผมเคยทำแล้วครับ ผมเคยขู่เด็กๆพวกนั้นไปแล้วรอบหนึ่ง แต่…แต่ก็ไม่ได้ผลเลยครับ”

ปรากฏว่าเช้านี้ อาจารย์วิชา’การวินิจฉัย’คนใหม่ที่เขาเพิ่งจะรับเข้ามา ก็โดนกลุ่มนักศึกษาขับไล่ออกไปอีกแล้ว เพื่อที่จะพยายามซื้อใจเด็กนักศึกษาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ซีลู่เฉิงถึงกับลงทุนไปเชิญอดีตหัวหน้าภาคสาขาแพทย์แผนจีนจากมหาวิทยาลัยในเครือให้มาสอนด้วยตนเอง คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งวงการนี้อีกคนเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้น…นักศึกษากลุ่มนี้กลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

เมื่อพบว่าอาจารย์คนใหม่ถูกไล่ตะเพิดออกไปอีกครั้ง ซีลู่เฉิงถึงกับตกใจจนแทบหัวใจวาย เขาโกรธจัดจนคิดอะไรไม่ออก วิ่งบุกเข้าไปถึงห้องเรียนพร้อมกับร้องตะโกนขู่ลั่นว่า ใครก็ตามที่กล้าสร้างปัญหาอีกจะต้องโดนไล่ออก และให้พ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษาในทันที

แต่ใครจะไปคิดว่า กลับมีเด็กสาวร่างสูงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเขา พร้อมกับร้องตะโกนท้าทายกลับอย่างไม่เกรงกลัว

“หนูเป็นหัวโจกที่ไล่อาจารย์ใหม่ออกไปเองค่ะ ถ้าข้องใจอะไรก็เชิญไล่หนูออกได้เลย”

คงจะพอทำเนาหากมีเพียงเด็กสาวคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่กล้ายืนขึ้นท้าทายเขา แต่ที่ไหนได้หลังจากที่เด็กสาวคนนี้พูดจบ นักศึกษาทั้งหมดในห้องต่างก็พากันลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างก็เสนอตัวให้ทางมหาวิทยาลัยขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด นับรวมแล้วก็เป็นร้อยชีวิตได้

หลังจากที่ซีลู่เฉิงได้รายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังแล้ว ปลายสายก็พลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

กระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ อีกฝ่ายจึงได้พูดขึ้นมาว่า

“เรื่องแบบนี้ คุณน่าจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาเองได้”

ซีลู่เฉิงรีบเอ่ยปากขอโทษ น้ำสียงอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้

“ผมต้องขอโทษจริงๆครับรัฐมนตรีหม่า”

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย เขาจึงต้องกดวางสายทิ้งไป

……………

ฉีเล่ยเพิ่งกลับมาถึงบ้านสกุลหลี่พอดี และทันทีที่เขาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น หลังจากจ้องมองหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยบนหน้าจอด้วยความสงสัยเล็กน้อย ฉีเล่ยก็กดรับสาย

ปลายสายมีเสียงหญิงสาวดังขึ้นว่า

“สวัสดีค่ะ อาจารย์ฉี ดิฉันเองค่ะ เสมียนในห้องพักอาจารย์ เสี่ยวเกอ จำได้รึเปล่าค่ะ?”

“โอ้? เสี่ยวเกอเองเหรอ? ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะครับ”

ความประทับใจแรกเห็นของเขาที่มีต่อเสี่ยวเกอนั้นค่อนข้างดีไม่น้อย ขณะที่อาจารย์แพทย์แผนจีนในห้องพักอาจารย์ต่างจับกลุ่มกันนินทาผู้คน กลับมีเพียงเสมียนสาวตัวน้อยเท่านั้นที่ไม่เข้าร่วมวงสนทนาด้วย ตรงกันข้าม เธอมักจะส่งรอยยิ้มสดใสให้กับทุกคนเสมอ และไม่เคยพูดนินทาใครเลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวเกอเอ่ยปากพูดต่อทันที

“อาจานย์ฉีค่ะ คือว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีขอให้ดิฉันโทรหาคุณเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญน่ะค่ะ”

มีหรือที่ฉีเล่ยจะไม่รู้เท่าทันว่ามันคือเรื่องอะไร เขาแสยะยิ้มบางแล้วแสร้งทำเป็นเอ่ยถามราวกับคนใสซื่อ

“เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?”

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีบอกกับดิฉันว่า เขาต้องการให้อาจารย์ฉีกลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยตามเดิมค่ะ ส่วนรายละเอียดนอกเหนือจากนั้นดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อาจารย์ฉีคะ ไม่ทราบว่าบ่ายสามวันนี้ว่างไหมคะ? ถ้าไม่ติดขัดอะไร รบกวนอาจารย์ฉีมาพบหัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่มหาวิทยาลัยหน่อยจะได้มั๊ยคะ?

“ผมไม่สะดวกใจที่จะไปครับ เหตุผลข้อแรก ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะผมถูกไล่ออกจากการเป็นอาจารย์ของทางมหาวิทยาลัยแล้ว จะให้กลับเข้าไปพบหัวหน้าคณะอาจารย์แบบนั้นคงจะไม่สนิทใจเท่าไหร่ เหตุผลข้อที่สอง ผมไม่ใช่อาจารย์ และผมก็ไม่มีแม้แต่ใบวุฒิการศึกษา โดยหลักแล้ว ภายใต้กฎระเบียบของทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งที่มีชื่อเสียงแบบนี้ จะให้ผมฝ่าฝืนกฏระเบียบไปสอนนักศึกษาได้ยังไงล่ะครับ?”

“อาจารย์ฉี…นี่หมายความว่ายังไงคะ?”

ฉีเล่ยหยุดนิ่งเม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มกว้างตอบกลับไปว่า

“อย่างที่บอกเลยครับ ผมไม่กล้าแบกหน้าไปที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ ถ้าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีอยากจะคุยกับผมจริงๆ ก็ให้เขามาหาผมที่บ้านก็แล้วกัน”

“โอ้? ได้เลยค่ะอาจารย์ฉี เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีทราบค่ะ”

ตู๊ด….

ซีลู่เฉิงถึงกับสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินคำรายงานของเสี่ยวเกอ เขาแทบจะโยนกระติกน้ำร้อนตรงหน้าที่เพิ่งซื้อมาทิ้งลงกันพื้น เขาทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดใจในเวลาเดียวกัน หลังจากนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในห้องทำงานคนเดียวจนถึงบ่ายสอง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ รีบลุกขึ้นคว้ากุญแจรถบนโต๊ะแล้วเดินลงอาคารไปอย่างรวดเร็ว

รถแล่นเข้ามาหยุดอยู่หน้าบ้านสกุลหลี่ แต่ถึงอย่างนั้นซีลู่เฉิงก็ยังไม่กล้าเข้าไปอยู่ดี

อีกอย่าง ก่อนจะเข้าไปเขาก็ต้องแจ้งกับคนรับใช้ในบ้านถึงจุดประสงค์ที่มาก่อนอยู่ดี แล้วจะให้เขาบอกว่าอะไร? ‘อ่อ…ผมมาขอโทษลูกน้องที่เคยทำตัวไม่ดีไว้ครับ’ อย่างนี้น่ะเหรอ?

ยิ่งไปกว่านั้น คิดเหรอว่าคนอย่างฉีเล่ยจะยอมให้หน้าเขา? ทันทีที่พบหน้า ฉีเล่ยคงจะพูดจาถากถางเขาไม่หยุดแน่! ถึงตอนนั้น เขาคงไม่เหลือหน้าให้แบกกลับออกมาได้อีกกระมัง?

ก่อนหน้านี้ฉีเล่ยเคยพูดว่าอะไรนะ?

หมอนั่นบอกว่า ชีวิตตัวเองไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินทอง แล้วเงินเดือนจากการเป็นอาจารย์ก็แค่เศษเงินเท่านั้น

ในเมื่อรวยขนาดนั้น แล้วจะมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือทำไม?

สู้ไปทำตัวเป็นเซเลปใช้ชีวิตหรูหรา หรือไม่ก็ไปเป็นดาราเดินเฉิดฉายในงานสังคมเล่นดีกว่าไหม?

แล้วถ้าอยากจะเป็นอาจารย์ทั้งทีก็ช่วยทำตัวให้ไม่มีปัญหาจะได้ไหม? ไม่ใช่พอเข้ามาได้ไม่กี่วันก็เที่ยวสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนอื่นไปทั่วแบบนี้ จริงไหม?

“เอาล่ะ! ฉันมาที่นี่เพื่อขอโทษอาจารย์สุดที่รักของนักศึกษาทุกคน!”

ซีลู่เฉิงบอกกับตัวเอง เขาพยายามฝืนยิ้มอย่างสุดสุดกำลังขณะเดินลงจากรถ ก่อนจะตรงเข้าไปกดกริ่งหน้าบ้านทันที

“สวัสดีค่ะ? ไม่ทราบมาหาใครคะ?”

สาวใช้วัยกลางคน ซึ่งเป็นแม่บ้านประจำของหลี่ฮั่วเฉินเป็นคนเดินออกมาต้อนรับพร้อมกับเอ่ยถาม

ซีลู่เฉิงยิ้มตอบทันทีว่า

“สวัสดีครับ อาจารย์ฉีอยู่ที่นี่รึเปล่าครับ?”

“โอ้? ใช่คนที่มีนัดกับคุณฉีวันนี้รึเปล่าค่ะ?”

“ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ซีลู่เฉิงครับ”

เมื่อได้โอกาสซีลู่เฉิงจึงรีบชิงแนะนำตัวขึ้นทันที ภายในใจลึกๆเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ต้องมีแม่บ้านมายืนตั้งคำถามตนเองแบบนี้

แม่บ้านกล่าวตอบเพียงแค่ว่า

“รอสักครู่นะคะ คุณฉีกำลังพักผ่อนอยู่ชั้นบน เดี๋ยวดิฉันต้องขึ้นไปถามก่อนค่ะ”

ซีลู่เฉิงแทบอยากจะเดินกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปจากที่นี่ทันที

ฉีเล่ยมันจะหยิ่งจองหองมากเกินไปแล้ว! นี่มันคิดว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีรึไง? ถึงได้ต้องมีพิธีรีตองขนาดนี้?

หลังจากยืนรออยู่หน้าประตูบ้านได้ราวห้านาที แม่บ้านคนนั้นก็วิ่งลงไปเปิดประตูออโต้หน้าบ้านให้ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอประทานโทษที่ให้รอนานนะคะ คุณฉีเชิญให้คุณเข้าพบที่ห้องรับแขกได้เลยค่ะ”

ซีลู่เฉิงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง พร้อมกับเดินตามแม่บ้านที่เดินนำไปล่วงหน้า พอเข้าไปถึงภายในบ้านก็พบว่าฉีเล่ยกำลังเล่นเกมมือถืออยู่อย่างสนุกสนาน ซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่เหอจื่อแนะนำให้เขาเล่น เธอยังบอกอีกว่า นี่เป็นเกมที่นักศึกษาทุกคนในคลาสกำลังนิยมกันอย่างมาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากได้ฟังเหอจื่อพูดเขาก็รีบกดดาวน์โหลดทันที หลังจากสมัครเขาก็เริ่มแอดกลุ่มนักศึกษาเป็นเพื่อนในเกม และพบว่าแต่ละคนมีแรงค์ประจำตัวระดับแพลตตินั่มทั้งนั้น บางคนก็ถึงกับอยู่ในแรงค์ไดมอนทีเดียว

ส่วนเขาน่ะเหรอ? ไม่มีแรงค์! ซึ่งเขายอมไม่ได้!

แต่หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป ประกอบกับความตั้งใจจริงจัง ในที่สุดเขาก็สามารถไต่ขึ้นมาอยู่ในระดับแพลตตินั่มได้อย่างไม่ทันตั้งตัว ซึ่งนั่นทำให้ฉีเล่ยมีความสุขอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีได้มายืนรออยู่หน้าประตูห้องรับแขกแล้ว เขาก็เอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันที

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่เห็นจะต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้นี่ครับ มีธุระอะไรก็โทรหาผมได้ ไม่เห็นจะต้องเดินทางมาด้วยตัวเองแบบนี้เลย?”

ซีหลู่เฉิงฝืนยิ้ด้วยใบหน้าแข็งทื่อพร้อมตอบกลับไปว่า

“แหะ แหะ มาเองมันดูจริงใจกว่าน่ะ…”

ภายในใจของเขาถึงขั้นสาปแช่งก่นด่าฉีเล่ยอยู่เงียบๆ

‘ไอ้เวร! แล้วใครกันที่บอกให้ฉันมา? พูดยังกับว่าฉันเต็มใจอยากจะมาตายล่ะ? ถ้าแกไม่ขอให้ฉันมาหาแบบนี้ มีเหรอฉันจะเสียเวลาถ่อมาถึงที่นี่!?’

ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์!