บทที่ 114 ขุนนางผู้โหดเหี้ยม

คู่ชะตาบันดาลรัก

เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ “ข้าน้อยเองก็ไม่อยากเชื่อ ราชวงศ์ก่อนได้ถูกกวาดล้างไปแล้วเมื่อสี่สิบปีก่อน สายเลือดราชวงศ์นี้ไม่เหลืออยู่แล้ว…หรืออาจเกิดความผิดพลาด ต้องให้พวกเขาตรวจสอบดูอีกครั้ง”

กล่าวจบเจี่ยงเหวินเฟิงก็นำคำสารภาพออกไป

เสียงจากการสอบสวนโดยใช้เครื่องมือทรมานดังลอดมาจากห้องข้างๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีแรง เสียงเบาเกินไปหรือเขาฟังไม่ชัดกันแน่

ฉีตงจวิ้นอ๋องเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ

อีกด้านหนึ่งเสียงของเจียงจ้านดังขึ้นเป็นเสียงตะโกนต่อเนื่องที่ฟังดูน่าสังเวชมาก

บุตรชายของเขา! ตอนเล็กๆ เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากเพื่อเป็นการปกป้องตนเองเขาจึงตามใจบุตรชายของตน ปล่อยให้กินดื่มเที่ยวเล่นสนุกสนานจนกลายเป็นคนเจ้าสำราญขนานแท้

เขาเคยลำบากซะที่ไหนล่ะ! เจอแบบนี้เขาจะทนได้อย่างไร

แล้วยังอู่อี้ผู้นั้นอีกจะไปเป็นทายาทที่หลงเหลือของราชวงศ์ก่อนได้อย่างไร เขาติดตามตนมาตั้งนาน สิบปีเห็นจะได้…ตอนนั้นเขาเกือบไม่ได้รับตำแหน่งจวิ้นอ๋องแล้วเป็นเพราะบิดาของเขาจึงไม่มีผู้ใดกล้ามาทำงานให้จวนอ๋อง มีเพียงอู่อี้ที่อาสาโดยสมัครใจ…

เดี๋ยวก่อน…เหตุใดอู่อี้ถึงได้อาสาโดยสมัครใจล่ะ ในตอนนั้นเขาอยู่ในช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์มาก ถึงแม้จะถูกลดขั้น แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ

ผู้ที่สอบขุนนางผ่านได้ในครั้งแรกนั้นเดิมทีมีน้อยมาก หลายคนต้องสอบแล้วสอบอีก อู่อี้ในตอนนั้นก็อายุสามสิบปีแล้ว ถือเป็นอายุที่กำลังดี…

ฉีตงจวิ้นอ๋องยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวายใจ

ยาคายความลับนั้นเขารู้จักดี มันเป็นสิ่งที่หวงเฉิงซือสร้างขึ้นเป็นของที่หายากมาก มีเพียงนักโทษที่สำคัญมากเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ เมื่อทานสิ่งนี้เข้าไปแล้ว จากมีสติจะกลายเป็นมึนงง การควบคุมตนเองจะต่ำลงราวกับตกอยู่ในความฝัน ถามอะไรก็ตอบหมด

คำสารภาพที่มาจากการใช้ยานี้ไม่มีทางเป็นเท็จได้เลย อู่อี้เป็นทายาทที่หลงเหลือของราชวงศ์ก่อนจริงหรือ แล้วที่เขามาอยู่ข้างกายตนนั้นเพื่ออะไรกัน

เพื่อต้องการให้ตนก่อการกบฏแล้วอาศัยโอกาสนี้โค่นตนงั้นหรือ

ฉีตงจวิ้นอ๋องยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เหงื่อบนศีรษะของเขาก็ยิ่งไหลลงมาไม่หยุดมากเท่านั้น แผ่นหลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างรวดเร็ว

ณ ห้องข้างๆ เจี่ยงเหวินเฟิงนั่งจิบชาอยู่กับเหลยหง

ห่างออกไปสองจั้ง  อู่อี้ถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ สะโพกและต้นขาของเขามีเลือดไหล เขาสลบไปแล้ว

เหลยหงมองไปแล้วถามว่า “ใต้เท้า แบบนี้จะดีหรือขอรับ”

“ดีไม่ดี ลองก่อนแล้วจะรู้” เจี่ยงเหวินเฟิงจิบชาอย่างใจเย็น

“นายท่านสามเสียชีวิตแล้ว เราทำได้แค่เริ่มต้นจากจุดนี้เท่านั้น อู่อี้ผู้นี้ก็ไม่ได้กล้าหาญอะไร ตอนแรกถูกสงสัยว่าทำการทุจริตด้วยซ้ำถึงได้รีบมาอยู่ข้างกายฉีตงจวิ้นอ๋องก่อนเรื่องแดงออกมา การทรมานที่โหดร้ายที่สุดคงมีประโยชน์กับคนอย่างเขามากที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตามถึงทำให้ฉีตงจวิ้นอ๋องตกใจกลัวได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอันใดแน่ชัดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลงมือกับเขา”

เหลยหงยิ้ม “เขาเองก็ไม่ใช่คนกล้าหาญเช่นกัน แค่เจียงซื่อจื่อรักษาอาการป่วยอยู่ห้องข้างๆ ก็ทำให้เขากลัวอย่างกับอะไรดี โชคดีที่ใต้เท้าเชิญหมอชื่อดังมาฝังเข็มเพื่อรักษาอาการป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “อย่างไรพวกเขาก็เป็นจวิ้นอ๋องกับซื่อจื่อ พวกเราไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้”

ทางด้านเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องการทรมาน สาดน้ำใส่ท่านอู่จนเขาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ

ไม่รอให้เขาได้สติ เจี่ยงเหวินเฟิงยกมือขึ้น “ลงมือต่อได้”

“ขอรับ!” เจ้าหน้าที่ผู้มีใบหน้าดุร้ายตอบรับเสียงดังแล้วหยิบแผ่นไม้ขึ้นมา

อู่อี้ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง

ในตอนนี้เขามองสุภาพบุรุษอย่างเจี่ยงเหวินเฟิงไม่ต่างจากผู้พิพากษาผีห่าซาตานทั้งหลายในยมโลก เขาเข้ามาโดยไม่ถามไถ่อะไร แต่สั่งให้ลงโทษเขาเลย เขาตะโกนบอกว่าตนเองมีชื่อเสียงคุณงามความดี จากนั้นก็มีคนโยนเอกสารเก่าชุดหนึ่งที่ด้านบนสุดเขียนว่าคดีทุจริตเมื่อสิบปีก่อน

อู่อี้รู้สึกร้อนตัวและรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้ ตอนนั้นเขารีบถอนตัวอย่างรวดเร็วแล้วเข้าจวนจวิ้นอ๋อง ทางนั้นก็ไม่ตรวจสอบอะไรและปล่อยเรื่องนี้ไป

อู่อี้น้ำมูกน้ำตาไหล

เจี่ยงเหวินเฟิงเป็นชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่มิใช่หรือ ชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ผู้ใดมีลักษณะเช่นนี้กัน ไม่สอบสวนคดี แต่ลงโทษเลย

จะเรียกว่าเป็นขุนนางผู้เที่ยงธรรมได้อย่างไร เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นขุนนางผู้โหดเหี้ยม!

หลังจากสั่งลงโทษเสร็จ ด้านนอกก็มีคนนำของว่างมาให้พวกเขา เครื่องเคียงสดๆ ที่ผัดจนชุ่มไปด้วยน้ำมัน ไก่ตัวอวบอ้วนตุ๋นในความร้อนกำลังดี หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงส่งกลิ่นหอมทานคู่กับข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จร้อนๆ แล้วยังมีสุราไหเล็ก…

อู่อี้ที่ทานไปแค่อาหารไหว้จืดๆ เมื่อตอนกลางวันไปท้องร้องขึ้นมา ถึงจะเจ็บสะโพก แต่ก็ไม่สามารถห้ามความอยากอาหารได้!

ทางด้านเจี่ยงเหวินเฟิงกับเหลยหงกำลังชนถ้วยกันแล้วทานไปคุยไป

“พ่อครัวจากร้านจุ้ยเซียนโหลวฝีมือดีจริงๆ! เนื้อทำได้ดีมาก มันแต่ไม่เลี่ยน หอมและอร่อย”

“ไก่เองก็ไม่เลว ทั้งนุ่มทั้งหอม”

“มาๆๆ ดื่มสุรากัน นี่เป็นของล้ำค่าจากร้านจุ้ยเซียนโหลว ร้อยตำลึงยังได้แค่ไหเล็กขนาดนี้”

อู่อี้น้ำลายไหลไม่หยุด

ในตงหนิงมีร้านอาหารมากมาย แต่ที่เขาชอบมากที่สุดคือฝีมือการทำอาหารของร้านจุ้ยเซียนโหลว รสฝีมือของพ่อครัวในจวนอ๋องไม่ถึงขั้นนั้นจนเขาต้องไปที่นั่นทุกๆ สองวันเพื่อไปกินของอร่อย

ยังมีไหสุราที่มีชื่อว่าน้ำตาดอกสาลี่อีก รสชาติกลมกล่อม แต่น่าเสียดายที่แพงเกินไป เขาไม่สามารถดื่มบ่อยได้ ซื้อมาหนึ่งไหต้องจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อบรรเทาความตะกละของเขา…

อู่อี้กำลังนึกถึงรสชาติอาหารที่เขาติดใจอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียง ‘ป้าบ’ ดังขึ้น และเลือดที่ไหลออกจากสะโพกอีกครั้งปลุกให้เขาตื่นจากจินตนาการ

“อา!” อู่อี้ส่งเสียงกรีดร้องน้ำมูกน้ำลายพุ่งออกมา

กลิ่นของสุราและอาหาร ความเจ็บปวดบนร่างกายทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น

“ใต้เท้าๆ!” อู่อี้ร้องอุทาน “ข้ายอมแล้วๆ!”

ทางด้านเจี่ยงเหวินเฟิงยังคงกินไม่สนใจอะไร

“ใต้เท้า! เรื่องทั้งหมดในจวนจวิ้นอ๋องไม่มีเรื่องใดที่ข้าน้อยไม่รู้ ใต้เท้า! ข้าน้อยยินดีที่จะสารภาพ!”

“ใต้เท้าไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด!”

เจี่ยงเหวินเฟิงทานข้าวอย่างเชื่องช้า แม้แต่เมล็ดข้าวที่ขอบชามยังไม่ให้เหลือ เขาดื่มน้ำแกงในชามช้าๆ ก่อนที่จะวางชามตะเกียบลง

“ทานข้าวต้องใส่ใจ” เขาพูดกับเหลยหงที่ลอบมองอู่อี้อยู่บ่อยๆ “หากอาหารไม่ย่อยจะเจ็บท้องเอาได้”

“ที่ใต้เท้ากล่าวมาก็ถูกขอรับ” เหลยหงดูรับฟังคำสั่งสอนจากเขามาก

ทางด้านอู่อี้กำลังกรีดร้องเสียงแหบในที่สุดเขาก็เห็นเจี่ยงเหวินเฟิงวางชามและตะเกียบลงแล้วเดินมาทางนี้ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต

“ใต้เท้า! ข้าน้อยยินดีสารภาพ ข้าน้อยจะบอกเรื่องที่รู้ทั้งหมด! ได้โปรดใต้เท้าให้โอกาสข้าน้อยได้ชดใช้ความผิดด้วยเถิดขอรับ!”

“ชดใช้ความผิดงั้นหรือ มองโลกสวยงามเกินไปแล้ว ทางฝั่งตระกูลหมิงเองก็รู้ไม่น้อยไปกว่าท่าน ข้าไม่ได้ต้องการคำสารภาพของท่านเพียงผู้เดียวเสียหน่อย”

อู่อี้รีบตอบ “ยุ้งฉางในวัดเป่าหลิงข้าน้อยเป็นคนจัดการเองขอรับ เรื่องนี้ตระกูลหมิงไม่มีทางรู้! ใต้เท้าได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยด้วยเถิด!”

พอได้ยินประโยคนี้เจี่ยงเหวินเฟิงลอบสบตากับเหลยหงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ ข้าอารมณ์ดีพอจะมีเวลาฟังท่านชั่วคราว”

“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้าขอรับ!” อู่อี้ซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก

ฉีตงจวิ้นอ๋องที่อยู่ห้องข้างๆ ได้ยินไม่ค่อยชัด แต่ประโยคที่พูดออกมาเสียงดังว่า ‘ข้ายอมแล้ว’ กลับชัดเจน

จากนั้นห้องข้างเคียงก็เงียบลง เขากลับยิ่งตื่นตระหนกและคำสารภาพก่อนหน้านี้ก็ย้อนกลับมาอยู่ต่อหน้าเขาไม่หยุด

ทายาทที่หลงเหลือของราชวงศ์ก่อน!

เขาถูกหลอกแล้ว!

อู่อี้สารภาพขนาดนี้แล้วเขาจะเดินไปทางไหนได้อีก พอนึกถึงหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องลูกพี่ลูกน้องของตนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้โครงกระดูกของเขาถูกฝังอยู่ที่ใด! ตายทั้งครอบครัว หรือว่าตนจะมีจุดจบเช่นนั้นด้วย

ในขณะที่จิตใจกำลังสับสน เขาก็เห็นเจี่ยงเหวินเฟิงเดินกลับมา

…………………………………………….