เวลาผ่านไปเรื่อยๆจิงจิงก็ยังไม่มา
“ประธานเชี่ยน หรือเขาจะมาไปตั้งนานแล้ว ขึ้นรถไปกับพ่อแม่แล้วหรือเปล่า?”
เสี่ยวเชี่ยนมองป้ายบอกรอบรถของสถานีแล้วส่ายหน้า
“เป็นไปไม่ได้ รถรอบที่พวกเขานั่งตั้งแต่เริ่มตรวจตั๋วจนถึงตอนนี้พวกเราอยู่ตลอด ถ้ามาไงก็ต้องเห็น”
“เดี๋ยวประตูจะปิดแล้วทำไมยังไม่มากันอีกล่ะ?”
พนักงานประกาศผ่านโทรโข่งว่ากำลังจะปิดประตู ห้ามผู้โดยสารผ่านแล้ว
ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งมาสามคน ฉิวฉิวเห็นแล้วก็ตื่นเต้น
“มาแล้ว”
“ชู่ว”
ครอบครัวจิงจิงทั้งสามคนวิ่งหอบกันมา จิงจิงสวมเสื้อคลุมกันลมตัวยาว แม่ของเธอหยิบตั๋วออกมา แล้วทั้งสามคนก็เข้าไป ขณะที่กำลังจะเดินต่ออยู่ๆจิงจิงก็หยุด
“มีอะไรเหรอ?” แม่จิงจิงถามลูกสาว แต่กลับเห็นลูกสาวถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นชุดกระโปรงที่เพิ่งซื้อมา
อากาศแบบนี้ใส่ชุดกระโปรงมีแต่จะหนาวตาย การกระทำของเธอได้ดึงดูดสายตาของคนแถวนั้น
สาเหตุที่ทั้งสามคนมาสายก็เพราะอยู่ๆจิงจิงก็บอกว่าจะซื้อกระโปรง ไม่ซื้อก็จะไม่ไปไหน
แม่จิงจิงไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวถึงทำแบบนั้น รีบเอาเสื้อคลุมกลับให้ลูกสาว แต่ก็ถูกจิงจิงถอดออก
เธอยืนอยู่ตรงนั้นหนึ่งนาทีเต็มๆ สายตาทอดยาวไปไกล ดูเหม่อลอย ไม่รู้จะทำอย่างไร
เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ เธอรู้แค่ว่ามีเสียงดังมาจากจิตใต้สำนึกว่าควรทำแบบนี้ คล้ายกับมีคนอยากเห็นเธอใส่กระโปรง
ฉิวฉิวพอเห็นภาพนั้นก็น้ำตาไหล
แม้แต่เสี่ยวเชี่ยนก็นึกไม่ถึง มีแบบนี้ด้วยเหรอ
เธอแน่ใจว่าการรักษาของเธอนั้นสำเร็จ จิงจิงลืมเรื่องราวไปได้เยอะมาก แต่ทำไมก่อนไปถึงได้ทำอะไรที่ดูขัดกันแบบนี้?
“ลูกสาวแม่ เดี๋ยวเป็นหวัดเอานะ รีบใส่เสื้อเถอะ” แม่จิงจิงเอาเสื้อคลุมให้เธอ จิงจิงลูบน้ำตาบนใบหน้าแล้วถามด้วยความสงสัย
“หนูเป็นอะไรไป?”
ทำไมในใจรู้สึกเหมือนทำอะไรหล่นหาย
ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้ลาใครไป
ทำไมถึงอยากใส่กระโปรงมายืนตรงนี้ คล้ายกับว่าเธอมีนัดที่สวยงามกับฤดูร้อน
“ใครจะไปรู้ล่ะลูก รีบไปเถอะ รถจะออกแล้ว”
จิงจิงหันไปดูผู้คนที่กำลังรอรถเป็นครั้งสุดท้าย อยากตามหาความทรงจำที่หายไป แต่ใบหน้าของแต่ละคนนั้นดูไม่คุ้นเลยสักนิด เธอจำไม่ค่อยได้ว่าช่วงไม่กี่เดือนมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กลับรู้สึกราวกับว่าหลังจากที่เธอขึ้นรถแล้ว เธอก็จะจากกับบางอย่างไปตลอดกาล
เมื่อจิงจิงหายไปจากตรงทางเข้า เมื่อเสียงของรถไฟดังขึ้น บางสิ่งบางอย่างก็ได้จบสิ้นลงแล้ว แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับยังหลงเหลืออยู่
ฉิวฉิวใส่แว่นกันแดดไม่ให้เสี่ยวเชี่ยนเห็นดวงตาที่ร้องไห้ ภาพเมื่อครู่ทำให้เขาซึ้งใจมาก
“สมองของคนมีความซับซ้อนมาก ถึงสาขาที่ฉันเรียนจะมีมานานแล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างยังวิจัยออกมาไม่ได้ทั้งหมด ก็เหมือนกับท่าทางของจิงจิงเมื่อกี้ มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ฉันก็ตอบไม่ได้”
เสี่ยวเชี่ยนเห็นแล้วยังรู้สึกว่าแปลกมาก
บางสิ่งบางอย่างก็ใช้วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้
ก็เหมือนกับหลังจากที่เธอรักษาให้หูเหม่ยจิ้งเสร็จแล้วเธอได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่าขอบคุณ ใครจะกล้าฟันธงได้ว่า มันเป็นอาการหูแว่วหลังจากที่เธอสะกดจิตให้คนอื่นแล้วเข้าสู่สภาวะถูกสะกดจิตเสียเอง หรือว่า…
ก็เหมือนกับหลังจากที่จิงจิงลืมฉิวฉิวแล้ว ยังจำเรื่องสัญญาที่จะใส่กระโปรงได้
สภาพอากาศที่หนาวขนาดนี้กลับเลือกใส่ชุดแบบนี้จะต้องเป็นเพราะความคิดบางอย่างในจิตใต้สำนึกเป็นตัวกระตุ้นอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับฉิวฉิว บางทีคำปลอบโยนทั้งหลายอาจไม่มีค่า ความรู้สึกที่เขาได้มีให้จิงจิงไม่ได้สูญเปล่า เพราะจิงจิงก็คงมีความรู้สึกดีดีให้เขาเช่นกัน
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ทุกอย่างได้กลายเป็น ‘อดีต’
“ต่อให้พวกเราไม่มีอนาคต แต่ได้รู้ว่าเขามีชีวิตที่ดีฉันก็มีความสุขแล้ว ประธานเชี่ยน เธอว่าต่อไปเขาจะมีชีวิตที่ดีไหม?”
ฉิวฉิวถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยเสียงขึ้นจมูก
“ฉันวิเคราะห์จากการกระทำของเขาเมื่อครู่ มันจะต้องเกิดจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวสั่งการแน่นอน เข้าใจได้ว่ามันคือการเสียดายที่ต้องจากนายไป หรืออาจจะมองได้ว่าจิตใต้สำนึกได้บอกลาอดีตของตัวเอง แต่ไม่ว่าที่เขาทำนั้นจะเพื่อใคร เขาก็ได้เดินออกมาจากอดีตแล้ว ดังนั้นนายก็สบายใจได้แล้ว ในอนาคตผู้หญิงคนนี้จะต้องมีชีวิตที่ดีแน่”
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนได้วิเคราะห์จากมุมมองของจิตแพทย์แล้วก็มองฉิวฉิวที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เห็นแล้วก็สงสาร
“ฉิวฉิวต้องการให้ฉันปลอบไหม?”
“ไม่เป็นไร ฉันยังไหว กลับไปเสียใจไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดีขึ้น อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันอกหัก ชินแล้ว”
ฉิวฉิวกำมาชิมาโร่ที่อยู่ในมือแน่น ลาก่อน สาวน้อยที่น่ารัก ขอให้ในอนาคตไม่มีคนทำร้ายเธออีกนะ
“จะว่าไปนายก็แอบคล้ายแม่ฉันนะ—เดี๋ยว อย่ามองฉันแบบนั้น ฉันไม่ได้จะบอกว่านายเหมือนผู้หญิง ฉันหมายความว่าความรักของนายครั้งนี้คล้ายกับแม่ฉันในตอนนี้เลย”
คนที่มีความบกพร่องในกระบวนการรับรู้ทางเพศจะถือมากเวลามีคนมาบอกว่าเหมือนผู้หญิง อย่างเช่นการพูดกับฉิวฉิวว่า ‘นายดูเหมือนผู้หญิง’ ก็เหมือนกับไปพูดกับอวี๋หมิงหลางว่า ‘นายน่ะไม่เอาไหนเรื่องอย่างว่าเลยนะ’ ร้ายแรงพอกัน
“หืม? แม่เธอก็เหมือนกับฉันเหรอ? ชอบผู้หญิงเหมือนกัน?” ฉิวฉิวพอได้ยินแบบนั้นสมองก็ตื่นทันที
“ไม่ใช่ แม่ฉันชอบผู้ชาย แต่ฉันไปเตือนแม่ว่าเขาไม่เหมาะกับผู้ชายคนนั้น นายกับจิงจิงฉันก็เคยเตือนก่อนหน้านี้—ฉิวฉิว นายผิดหวังหรือเปล่า?”
เรื่องบางเรื่องดูเหมือนคำพูดกับการกระทำสวนทางกัน หากวิเคราะห์ดูสักหน่อยก็จะพบว่าเกี่ยวข้องกันจริงๆ
“ฉันไม่ผิดหวัง ฉันไม่เคยเสียใจที่ได้ชอบผู้หญิงคนหนึ่งอย่างจริงจัง ฉันมีความสุขในช่วงเวลานั้น และก็ทะนุถนอมความรู้สึกที่ได้ชอบคนๆหนึ่ง ต่อให้พวกเราไม่มีอนาคตร่วมกัน แต่ฉันก็ไม่เคยเสียใจที่ได้ทำมันลงไป ผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยชอบฉันจริงจังหมดทุกคน ถึงจะไม่มีสักคนที่มีวาสนาร่วมกันให้เดินถึงฝั่งฝัน แต่ฉันเชื่อว่าหากมีจิตใจที่มองในแง่ดี สักวันหนึ่งฉันก็จะได้เจอคนที่เขารอฉันอยู่”
“ฉิวฉิว ฉันอยากบอกนายเรื่องหนึ่ง”
“อะไรเหรอ?”
“ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวตัดสินว่าคนสองคนจะคบกันได้หรือไม่ไม่ใช่อุปสรรค ไม่ใช่ความลำบาก รวมถึงเรื่องความบกพร่องทางด้านการรับรู้เรื่องเพศแบบที่นายคิดมาตลอดด้วย เรื่องพวกนั้นมันไม่ใช่เลย”
“แล้วอะไรล่ะที่ใช่?”
“ความลึกซึ้งของความรัก ความรักต้องอยู่เหนือทุกสิ่งจนทำให้ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น ถ้ายอมแพ้จะมาบอกว่าเพราะอุปสรรคเยอะไม่ได้ บอกได้แค่ว่าเพราะยังรักไม่มากพอ”
คนเราเปลี่ยนแปลงกันทุกวัน เรื่องเล็กๆก็อาจส่งผลต่อนิสัยและกระบวนการรับรู้ได้ อดีตคิดว่าถูกแต่ในอนาคตอาจคิดว่าไม่ถูกก็เป็นได้ สาเหตุที่เธอทดสอบความรักวัยบั้นปลายของแม่ก็เพราะสาเหตุนี้
ปัญหาทุกอย่างล้วนไม่ใช่ปัญหา อย่างเดียวที่เป็นปัญหาก็คือความรักที่มีไม่มากพอ ถ้ารักกันไม่มากพอแล้วจะมีทำไม ความกลุ้ม90%ของคนเราล้วนมาจากตัวเองเป็นคนก่อ
“นั่นสิ ฉันต้องฮึดให้ได้ หวังว่าอีกหน่อยจะได้เจอกับผู้หญิงที่รักฉันยอมรับฉันได้ จริงสิประธานเชี่ยน ความรักของแม่เธอสุดท้ายผลเป็นไงเหรอ?” ฉิวฉิวถาม