ตอนที่ 107 ห้องหนังสือ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ห้องหนังสือของโจวเจิ้นไม่ใหญ่มากนัก เป็นห้องโล่งที่กั้นเป็นสองห้องด้วยฉากกั้นลวดลายรอยน้ำแข็งร้าว ทางด้านทิศตะวันตกเป็นห้องชั้นใน วางเตียงเคลือบเงาขนาดเล็กตัวหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้สองสามตัว และที่วางเท้า ทั้งหมดล้วนแต่เป็นพื้นที่สำหรับพักแรมเป็นการชั่วคราวของโจวเจิ้น ทางด้านทิศตะวันออกเป็นพื้นที่สำหรับอ่านเขียนหนังสือ มีโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ต้นสาลี่ทั้งชิ้นวางเอาไว้อยู่กลางห้อง รอบๆ ห้องวางชั้นหนังสือที่สูงถึงเพดาน ข้างหน้าต่างวางตั่งหลัวฮั่นเอาไว้ตัวหนึ่ง

 

 

ตอนที่โจวเสาจิ่นเดินเข้าไป โจวเจิ้นกำลังนั่งนั่งชงชาอยู่บนตั่งหลัวฮั่น

 

 

“เจ้ามาแล้ว!” เขายิ้มพลางส่งเสียงทักทายบุตรสาว แล้วชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามตนเองพลางเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือชาหลูซานอวิ๋นหลินที่ข้านำมาจากเจียงซี เจ้าลองชิมดู!”

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ยิ้มพลางโค้งคำนับให้บิดา แล้วนั่งลงตรงข้ามกับบิดา

 

 

โจวเจิ้นยื่นจอกจื่อซา จอกหนึ่งให้แก่นาง

 

 

โจวเสาจิ่นมองดูน้ำชาสีใส สูดกลิ่นอันหอมตลบอบอวลราวกับดอกหลานเข้าไป แล้วลองจิบชิมดูหนึ่งคำ กลิ่นหอมหวานของชาที่อบอวลอยู่ในปากช่างละมุนยิ่งนัก จนอดชื่นชมไม่ได้ว่า “ชาดีเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเจิ้นยิ้มออกมา แล้วรินชาอีกจอกให้แก่นาง

 

 

โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกว่าไม่ถูกต้องเท่าใดนัก รีบเดินไปหยิบกาต้มน้ำ พลางกล่าวว่า “ให้ข้ารินให้เถิดเจ้าค่ะ!”

 

 

“ไม่ต้องๆ” โจวเจิ้นยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “ในห้องนี้ไม่มีผู้อื่น ข้าเป็นบิดาของเจ้า ระหว่างพวกเราพ่อลูกไม่จำเป็นต้องถือสาเรื่องพวกนี้”

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย

 

 

โจวเจิ้นจึงยอมให้นางรินน้ำชาให้

 

 

โจวเสาจิ่นรินน้ำชาให้บิดาไปสองสามจอก

 

 

โจวเจิ้นเอ่ยชมว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็ชงชาด้วย” เข้าใจว่าบุตรสาวคนเล็กคงฝึกมาจากตระกูลเฉิง จึงไม่ได้สนใจเท่าใดนัก

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่อาจอธิบายให้ฟังได้เช่นกัน

 

 

หลังจากดื่มชาไปสองสามจอก โจวเจิ้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “จดหมายที่เจ้าเขียนมาหาข้าฉบับนั้น เป็นเพราะค้นพบว่าแม่ของเจ้าเคยหมั้นหมายกับตระกูลเฉิงใช่หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจกลัวจนมือสั่น น้ำชาเกือบจะหกกระเซ็นลงบนมือ

 

 

โจวเจิ้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่ากลัวเลย ข้าไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวโทษเจ้า เจ้าทำได้ดีมาก เมื่อมีเรื่องอะไร ก็ไม่หลงเชื่อคำพูดของผู้อื่นอย่างงมงาย หรือซักไซ้ไถ่ถามไปทั่ว แต่เขียนจดหมายมาถามข้าแทน”

 

 

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ

 

 

หากว่าไม่ได้ใช้ชีวิตมาสองชาติ นางจะต้องหลงเชื่อถ้อยคำบอกเล่าของเฉิงลู่แล้วเป็นแน่

 

 

โจวเจิ้นกล่าวว่า “กล่าวไปกล่าวมา เรื่องนี้ก็ล้วนแต่เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ปล่อยให้พวกเจ้าพี่น้องรั้งอยู่ในตระกูลเฉิงตั้งแต่เล็กจนโต คงได้รับความทุกข์ใจมาไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่ข้าไม่มีกำลังพอที่จะดูแลพวกเจ้าพี่น้องได้จริงๆ และก็ไม่อยากแต่งหญิงสาวสักคนเข้าบ้านมาแบบส่งๆ ถ้าหากนางเพิกเฉยต่อการอบรมสั่งสอนพวกเจ้า ต่อให้ข้าเสียใจไปก็คงจะทำอะไรไม่ทันเสียแล้ว ขอเพียงเจ้าไม่โกรธแค้นข้าอยู่ในใจก็พอแล้ว!”

 

 

“ไม่เลยเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรีบเอ่ยแย้ง “ข้าไม่เคยโกรธแค้นท่านพ่อเลยสักครั้ง ข้ารู้ดีว่าท่านพ่อฝากฝังพวกเราให้ท่านยายเลี้ยงดูก็เป็นการดีสำหรับพวกเราเจ้าค่ะ”

 

 

แม้นเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในชาติก่อน นางก็ไม่เคยโกรธแค้นที่บิดาทิ้งนางไว้กับตระกูลเฉิงจนโตเลย

 

 

นางรู้ดีถึงความทุกข์ยากลำบากของบิดา ทั้งยังเข้าใจความรู้สึกของบิดาด้วยเช่นกัน

 

 

ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติต่อบุตรสาวที่ภรรยาคนก่อนทิ้งเอาไว้อย่างดีเช่นที่มารดาผู้ให้กำเนิดนางกระทำได้ หากบิดาแต่งงานใหม่ ฮูหยินคนใหม่ก็จะเป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ที่เป็นหน้าที่ของภรรยาภายในเรือน เขาไม่สามารถเฝ้าดูภรรยาคนใหม่ได้ตลอดเวลา อายุของพวกนางก็ยังน้อย หากว่ามารดาเลี้ยงมีจิตใจบิดเบี้ยว ก็ง่ายที่จะเลี้ยงดูพวกนางอย่างไม่เป็นธรรม ซ้ำยังสามารถปิดบังทำให้เขาจับผิดไม่ได้ ดังนั้นบิดาจึงยินดีให้พวกนางสองพี่น้องต้องทนทุกข์สักหน่อยดีกว่ายอมให้พวกนางสองพี่น้องไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินลึกและอ่อนต่อโลก หลังจากแต่งงานไปแล้วก็ถูกผู้คนเหยียบย่ำ

 

 

ดังนั้นตอนที่นางกล่าวว่า อยู่บ้านนี่ดีจริงๆ นั้น พี่สาวถึงได้กล่าวว่า นานๆ ทีนอนตื่นสายบ้างก็พอได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน เกรงว่าจะถูกให้ท้ายจนกลายเป็นคนไม่มีระเบียบวินัยได้ ขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่พูดคุยกับพี่สาวในช่วงเช้าให้บิดาฟัง ยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านดูสิเจ้าคะ ท่านพี่เองก็เข้าใจความทุกข์ใจของท่านเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

 

การที่พวกบุตรสาวเข้าอกเข้าใจทำให้โจวเจิ้นรู้สึกปวดแปลบอยู่ในใจ สักพักใหญ่ถึงจะเก็บอารมณ์เอาไว้ได้ กล่าวขึ้นว่า “อันที่จริงที่ข้ากลับมาคราวนี้ หลักๆ คือปรารถนาจะคุยกับเจ้าเรื่องแม่ของเจ้า”

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ

 

 

โจวเจิ้นพยักหน้าพลางกล่าว “ข้ารู้ หากว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าคงจะไม่เขียนจดหมายถึงข้าเป็นการเฉพาะเป็นแน่ และคงไม่กล่าวถึงบ้านหลังเก่าของตระกูลจวงที่ตั้งอยู่ที่ถนนกวนเจียขึ้นมา หลังจากนั้นข้าก็ได้ส่งคนไปสอบถามหม่าฟู่ซานเช่นกัน เขาเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังหมดแล้ว ทั้งเรื่องที่ว่าเจ้าทราบเกี่ยวกับบ้านหลังเก่าที่ถนนกวนเจียได้อย่างไร รวมถึงเรื่องที่ว่าเจ้าใช้เขาไปสืบเรื่องของตระกูลเฉิงได้อย่างไร และเรื่องที่เจ้าใช้กล ‘ซื้อกระดูกด้วยทองพันชั่ง’ จนสามารถตามหาบ่าวที่เคยรับใช้ท่านตาของเจ้าจนพบ…”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว

 

 

นางคิดว่าตนลอบกระทำการอย่างเป็นความลับดีแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหม่าฟู่ซานกลับนำเรื่องที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ล้วนเล่าให้บิดาฟังทั้งหมดแล้ว

 

 

“ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ…” นางกล่าวพึมพำ

 

 

“ข้ารู้” น้ำเสียงของโจวเจิ้นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่งขึ้น กล่าวว่า “เรื่องราวในปีนั้น ข้าทราบเป็นอย่างดี หลังจากที่ท่านตาของเจ้าให้แม่ของเจ้าหมั้นหมายกับข้าแล้ว แม่ของเจ้าเขียนจดหมายมาให้ข้าฉบับหนึ่ง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นทั้งหมดให้ข้าฟัง นางยังกล่าวเอาไว้ในจดหมายอีกว่า นางคิดว่าตัวเองไม่ผิด หากว่าข้ารับไม่ได้ ก็ใช้โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้แต่งงานกันนี้ ยกเลิกการหมั้นหมายเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า ตอนนั้นพี่สาวของเจ้าก็ยังเล็กอยู่ ข้าไม่คิดจะแต่งงานใหม่เร็วขนาดนี้ พอได้ยินท่านแม่ของเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาเล็กน้อย จึงหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนตระกูลกู้ และได้พบแม่ของเจ้า…”

 

 

อยู่ๆ เขาก็ชะงักงัน แววตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

 

 

บิดาคงจะนึกถึงภาพความทรงจำตอนที่ได้เจอมารดาเป็นครั้งแรกขึ้นมากระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นทั้งเห็นใจและอิจฉา

 

 

เห็นใจที่มารดาจากโลกนี้เร็วเกินไป และอิจฉามารดาที่ต่อให้ไม่อยู่แล้ว แต่ในใจของบิดาก็ยังคงมีนางอยู่ไม่เสื่อมคลาย

 

 

นางไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา ด้วยเกรงว่าจะรบกวนความทรงจำของบิดา

 

 

ผ่านไปสักพัก โจวเจิ้นถึงได้สติกลับมา มองไปยังโจวเสาจิ่นยิ้มๆ อย่างเขินอายเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นว่า “แม่ของเจ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจงดงาม ซื่อสัตย์ และจริงใจ แต่ก็เป็นผู้ที่ไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอีกเช่นกัน เรื่องที่ขอทานชราผู้นั้นกล่าวมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง แต่แม่ของเจ้าไม่เคยกระทำผิดต่อผู้ใดเลย หากว่าในภายหลังมีคนกล่าวหาว่าแม่ของเจ้าเป็นคนผิด เจ้าอย่าได้รู้สึกเกรงกลัว เพียงยืดหลังตรงและโต้แย้งกลับไปอย่างมั่นใจก็พอ”

 

 

ขอบตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นมาทันที

 

 

ได้รับการปกป้องจากผู้อื่นเช่นนี้…ช่างรู้สึกดียิ่งจริงๆ!

 

 

“ข้ารับทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางสะอึกสะอื้นเอ่ยตอบไปอย่างห้ามไม่อยู่ “ข้าจะไม่ให้ผู้ใดมาทำลายชื่อเสียงอันดีงามของท่านแม่ของข้าได้เจ้าค่ะ”

 

 

“ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว!” โจวเจิ้นมองดูบุตรสาวอย่างพึงพอใจยิ่ง ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหามาจากที่ไหนมาให้นาง พลางกล่าว “มีบางคนกระทำผิดแล้ว ไม่เพียงไม่รู้จักสำนึกผิด ในทางกลับกันยังรู้สึกว่าทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของผู้อื่น เป็นผู้อื่นที่ดูถูกเหยียดหยามเขา เป็นผู้อื่นที่รังเกียจคนยากไร้และหลงใหลในความร่ำรวย แสวงหาแต่ความสำราญ มักใหญ่ใฝ่สูง…คนประเภทนี้ เจ้าอย่าได้กล่าวอะไรกับเขาเลย แม้นเจ้าจะอธิบายให้เขาฟังเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี อยู่ให้ห่างคนเช่นนี้ไว้ก็พอ เข้าใจหรือไม่”

 

 

ท่านพ่อกำลังกล่าวถึงเฉิงไป่อยู่กระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด

 

 

สีหน้าของโจวเจิ้นผ่อนคลายลงมาอย่างชัดเจน

 

 

โจวเสาจิ่นจึงทำใจกล้ากล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ หลังจากที่ท่านพี่ออกเรือนไปแล้ว ข้าอยากจะติดตามไปอยู่กับท่านด้วย ได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

โจวเจิ้นค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ทำไมหรือ เจ้าอยู่ที่ตระกูลเฉิงมีเรื่องให้รู้สึกอึดอัดใจหรือ”

 

 

“เปล่าเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่ชายลู่…ดูเหมือนจะเกลียดชังข้ายิ่งนัก…ยามที่เขาพบเจอข้า ก็ดูเหมือนจะปฏิบัติกับข้าอย่างดียิ่ง ทว่ายามที่ไม่มีผู้ใด กลับกระทำไม่ดีกับข้า…แต่หากท่านต้องการถามถึงรายละเอียดว่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องบ้าง ก็ดูเหมือนจะไม่มีอีกเช่นกัน ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงความรู้สึกของข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ…”

 

 

นางไม่อาจเล่าเรื่องราวในชาติก่อนออกมาได้ อีกทั้งในชีวิตนี้เฉิงลู่ก็เพียงแสดงท่าทีกำกวมต่อนาง ไม่เพียงพอจะเป็นหลักฐานแต่อย่างใด นางจึงได้แต่กล่าวถ้อยคำอย่างคลุมเครือเท่านั้น

 

 

เนื่องจากบิดาห่วงใยนางกับพี่สาวมากขนาดนี้ ย่อมไม่อาจนั่งดูอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจได้อย่างแน่นอน

 

 

เป็นไปตามคาด โจวเจิ้นได้ยินแล้วก็เปลี่ยนสีหน้า ขบคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวว่า “พูดจาแปลกๆ อย่างคลุมเครือเล็กน้อย พอได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ ทว่าคนอื่นฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรใช่หรือไม่”

 

 

“ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ” วัตถุประสงค์ของโจวเสาจิ่นคือให้โจวเจิ้นไปสืบหาว่าก่อนที่เฉิงไป่จะเสียชีวิตได้กล่าวอะไรหรือสั่งการอะไรกับเฉิงลู่ไปบ้าง เพราะเหตุนั้นเฉิงลู่ถึงได้เกลียดชังนางขนาดนี้ “จึงไม่รู้ว่าจะเล่าให้พวกท่านฟังอย่างไรดีเจ้าค่ะ”

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” โจวเจิ้นสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตากลับเยือกเย็นเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง เจ้าอย่าสนใจอีกเลย”

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถึงเรื่องที่ว่าจะติดตามไปอยู่กับบิดาขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นข้าไปอยู่ที่เมืองเป่าติ้งด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“เพียงเพราะเรื่องนี้อย่างเดียวหรือ” โจวเจิ้นกล่าวขึ้นอย่างตรึกตรอง “ท่านยายของเจ้า…หรือท่านป้าใหญ่ของเจ้าดีต่อเจ้าหรือไม่”

 

 

“ดียิ่งเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างจริงใจ “ทำเสมือนกับเป็นหลานสาวและบุตรสาวแท้ๆ ก็ไม่ปาน ครั้งก่อนตอนที่ท่านป้าใหญ่ไปร่วมเลี้ยงของตระกูลกู้ที่ซอยเหมยฮวา ยังพาข้ากับท่านพี่ไปด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเจิ้นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ยิ้มพลางกล่าว “หากว่าเหตุผลเพียงเพราะเฉิงลู่ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนติดตามไปอยู่กับข้าขนาดนั้น!”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ

 

 

โจวเจิ้นขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าทราบถึงสถานะของตระกูลเฉิงในหมู่บัณฑิตแห่งเจียงหนานหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเจิ้นหัวเราะขึ้นมา เรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง พึมพำกล่าวว่า “ซอยจิ่วหรูในอดีตมีเพียงสองจวน จวนหลักคือเฉิงฝู่ ส่วนจวนรองคือเฉิงปี้ เฉิงฝู่มีบุตรชายสามคน โดยมีเฉิงจื้อเป็นบุตรชายคนโต เฉิงเลี่ยเป็นบุตรชายคนรอง และเฉิงเจ๋อเป็นบุตรชายคนที่สาม ในบรรดาบุตรชายทั้งหมดนั้น บุตรชายคนโตและคนรองถือกำเนิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียม ส่วนบุตรชายคนที่สามถือกำเนิดจากอนุ ส่วนเฉิงปี้ของจวนรองมีบุตรชายสองคน โดยมีเฉิงคานเป็นบุตรชายคนโต กับเฉิงกังบุตรชายคนรอง ในบรรดาบุตรทั้งสองเฉิงกังกำเนิดจากอนุ…

 

 

…เฉิงจื้อบุตรชายคนโตของจวนหลักเป็นทั่นฮวาคนสุดท้ายของราชวงศ์ก่อน ในรัชกาลขององค์ฮ่องเต้เลี่ย เขาเป็นบัณฑิตในสำนักฮั่นหลิน ดำรงตำแหน่งเป็นสิงเหรินซือ ผู้เป็นหัวหน้าควบคุมพิธีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เมื่อครั้งที่เมืองจิงเฉิงถูกข้าศึกบุกยึด ก็เป็นเขาที่แบกหามองค์ฮ่องเต้เลี่ยไว้บนหลังแล้วหลบหนีออกจากเมืองจิงเฉิง และเป็นเขาที่บัญชาการราชองครักษ์ร่วมกับจอมทัพหลินเทียนเต๋อผู้ร่วมสถาปนาเมืองในรัชสมัยนั้นโดยผ่านศึกนองเลือดร่วมกันมาหลายครั้งหลายครา พิทักษ์องค์ฮ่องเต้เลี่ยมุ่งไปทางตอนใต้ ต่อมาองค์ฮ่องเต้เลี่ยได้รับการต้อนรับจากซิ่นอ๋อง ก่วงอ๋องและเว่ยอ๋องที่เฉวียนโจว และได้สถาปนาราชวงศ์ ‘เสียงซิ่ง’ ขึ้นมา เฉิงจื้อได้รับแต่งตั้งเป็นอัครเสนาบดี ต่อมาภายหลังฝ่ายขององค์ฮ่องเต้เลี่ยถูกล้อมโจมตีที่หน้าผาหยาซาน ซิ่นอ๋องกับเว่ยอ๋องทรงเสด็จสวรรคตลงในสมรภูมิรบ ส่วนก่วงอ๋องกลับทรงลักลอบเปิดประตูต้อนรับกองทัพอันเกรียงไกรของราชวงศ์ปัจจุบัน เฉิงจื้อแลเห็นว่ายากที่จะปกป้องคุ้มกันองค์ฮ่องเต้และราชบัลลังก์เอาไว้ได้ จึงกราบทูลให้ฮ่องเต้เลี่ยทรงปลิดชีพพระองค์เอง ทว่าองค์ฮ่องเต้เลี่ยกลับทรงไม่กล้า เขาจึงกระโดดลงทะเลไปพร้อมกับองค์ฮ่องเต้เลี่ยและจบชีวิตลง”

 

 

โจวเสาจิ่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

แม้นจะใช้ชีวิตมาสองชาติ ทว่านางกลับไม่เคยได้ยินเรื่องราวในอดีตส่วนนี้ของตระกูลเฉิงมาก่อนเลยสักครั้ง

 

 

แต่เมื่อขบคิดดูแล้วเรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์ในราชวงศ์ก่อน จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย

 

 

หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูล?

 

 

ไม่ถูกต้อง!

 

 

หากว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้ล่ะก็ องค์ฮ่องเต้ไท่จู่ก็คงยึดทรัพย์สินของตระกูลเฉิงและฆ่าล้างยกตระกูลไปแล้ว จะรอมาจนถึงตอนนี้ได้หรือ

 

 

โจวเสาจิ่นอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เรื่องที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ”

 

 

นี่เป็นเหตุการณ์ในปฏิทินเก่าเมื่อร้อยปีก่อน อีกทั้งบุตรสาวถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอของเรือนชั้นใน ส่วนใหญ่จึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

“เป็นเรื่องจริง” โจวเจิ้นพยักหน้า พลางกล่าว “ภายหลังราชวงศ์ต่อมาได้แก้ไขเรียบเรียงประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ข้าได้ยินท่านลุงใหญ่จิงของเจ้าเล่าว่า องค์ฮ่องเต้ได้รับสั่งให้กรมพิธีการกับสำนักฮั่นหลินเริ่มทำการเขียนเรียบเรียงประวัติศาสตร์ใหม่ โดยเขียนบรรยายเกี่ยวกับเฉิงจื้อว่าเป็น ผู้รอบรู้การเมืองและประวัติศาสตร์ สุขุมรอบคอบและเชาว์ปัญญา ภักดี กล้าหาญและมากด้วยคุณธรรม

 

 

บรรยายไว้สูงส่งขนาดนี้เชียวหรือ

 

 

นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นเบิกตากว้าง

 

 

โจวเจิ้นกล่าวอีกว่า “ในเวลานั้นเฉิงเลี่ยบุตรชายคนรองของตระกูลเฉิงจวนหลักมียศเป็นจวี่เหริน ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองจิงเฉิงกับพี่ชาย อายุเพียงสิบแปด สิบเก้าปี ครั้นได้ยินข่าวคราวที่ฝ่ายราชวงศ์ปัจจุบันบุกโจมตีเมืองหลวง ก็อาสาเข้ารวมกองทัพฝ่ายต่อต้านที่หวังชิงเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นผู้จัดตั้งขึ้น หลังจากที่เมืองจิงเฉิงถูกข้าศึกยึดครอง เขากับเฉิงจื้อผู้เป็นพี่ชายคุ้มกันองค์ฮ่องเต้เลี่ยลงไปทางตอนใต้ แล้วสู้รบจนสิ้นลมหายใจที่หน้าผาหยาซาน”

 

 

ทั้งสองพี่น้องต่างพลีชีพที่หน้าผาหยาซาน!

 

 

โจวเสาจิ่นตกตะลึงและถามขึ้นว่า “ในตอนนั้นเฉิงจื้อแต่งงานแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นบุตรของเขา…”

 

 

แววตาของโจวเจิ้นหมองลงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เฉิงจื้อมีบุตรชายสามคนและบุตรสาวสองคน ตอนที่เมืองจิงเฉิงถูกโจมตีนั้น ฮูหยินเฉิงพาบุตรชายหญิงหลบหนีไปจนถึงถงโจว ทว่ากลับพบกับกองทัพใหญ่ของฝ่ายราชวงศ์ปัจจุบันที่ไล่กวาดล้างฝ่ายขององค์ฮ่องเต้เลี่ยโดยบังเอิญ มิหนำซ้ำยังมีคนลอบแจ้งเบาะแสของพวกนางให้อีกฝ่าย เมื่อฮูหยินเฉิงรู้ว่าตนหมดหนทางหนีแล้ว จึงต้องการพาบุตรชายหญิงไปจบชีวิตลงด้วยกัน แต่มีบ่าวผู้ซื่อสัตย์นามว่าฉินต้าที่ไม่ยอมให้เฉิงจื้อไร้ทายาทสืบสกุล จึงลักลอบสลับตัวบุตรชายคนสุดท้องของตนกับเฉิงเป้ยบุตรชายคนสุดท้องของเฉิงจื้อ เฉิงจื้อถึงได้มีผู้สืบสายเลือดหลงเหลือสืบต่อมา!”

 

 

………………………………………………………………………..