บทที่ 709 เจ้าหัวโตขี้กร่าง

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 709 เจ้าหัวโตขี้กร่าง โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อพลังจิตฟื้นกลับมาได้เล็กน้อย หลิงม่อก็รีบสับเปลี่ยนมุมมองสายตาทันทีอย่างไม่รีรอ

ถึงแม้จะอดทนใช้พลังสับเปลี่ยนมุมมองสายตาได้ไม่ถึง 2 วินาที แต่หลิงม่อก็ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็นแล้ว

หลังจากซอมบี้ตัวหนึ่งที่กำลังกระโจนเข้ามาทางเย่เลี่ยนถูกโจมตีปลิวออกไป จู่ๆ ซอมบี้อีกตัวที่กำลังจะพุ่งเข้ามาพลันชะงัก และทำท่าเหมือนลังเล…

ความกลัวที่เกิดจากการตอบสนองทางสัญชาตญาณของมัน บ่งบอกว่าเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งกำลังเริ่มอ่อนประสิทธิภาพลงช้าๆ และในอีกมี่กี่นาที พวกเย่เลี่ยนก็จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากเหล่านั้น

ความจริง ตอนที่หลิงม่อล่อเจ้า “วิกผม” ออกมาจากในห้างฯ ผลกระทบที่เกิดจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งก็เริ่มอ่อนลงแล้ว แต่สาเหตุที่ทำให้ผลกระทบนั้นหยุดลง ก็ยังเป็นเพราะการตายของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้มันก็ยังคงหลั่งของเหลวหนืดนั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกกว่ากระบวนการเลี้ยงเหยื่อในครั้งนี้จะสิ้นสุดลง

“ฮั่ก…ฮั่ก…”

สวี่ซูหานยืนพิงกำแพง สองมือยกขึ้นปิดหู พลางหอบหายใจระรัว

ในตอนแรกที่พวกซอมบี้กรูกันเข้ามา สิ่งที่เธอรู้สึกนั้นยังคงเหมือนกับคนทั่วไป นั่นคือเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและลนลาน

แต่เมื่อการเข่นฆ่าเริ่มขึ้นพร้อมกับเวลาที่เดินไป เธอก็ค่อยๆ ค้นพบว่าตัวเองไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว กลับกัน เธอเริ่มรู้สึกเลือดในกายเดือดพล่าน…

เสียงกระดูกหัก เสียงเลือดพุ่งดังอยู่ในสมองของเธอไม่หยุด สิ่งเหล่านี้กระตุ้นเธอให้ฮึกเหิม เธอถึงขั้นเริ่มจินตนาการอย่างควบคุมไม่ได้ ว่าถ้าหากเป็นตัวเองที่กำลังฉีกทึ้งร่างกายของซอมบี้พวกนั้น จะรู้สึกดีขนาดไหนกันนะ?

เส้นเลือดใต้ผิวหนังเต้นตุบตับอย่างบ้าคลั่ง เธอได้ยินกระทั่งเสียงเลือดไหลเวียนผ่านเส้นชีพจรตรงลำคออย่างชัดเจน…

แต่เมื่อเธอยกมือขึ้นจับลำคอตัวเอง จู่ๆ เธอกลับได้สติกลับมาทันที

สร้อยคอของเธอล่ะ…

ใช่แล้ว สร้อยถูกหลิงม่อเอาไปเป็นของมัดจำแล้ว…

“ใช่แล้ว เราจะกลายร่างไม่ได้เด็ดขาด…”

สวี่ซูหานเพิ่งจะได้สติกลับคืนมาด้วยความหวาดกลัว ก็ได้ยินเสียงซน่าน่าบอกว่า “เธอตั้งสติหน่อย อย่าลืมสิ่งที่ฉันเคยบอกเธอ”

เธอเงยหน้ามองซย่าน่า แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะเห็นดวงตาประหลาดที่มีม่านตาสีแดงข้างดำข้างของเธอ

แต่เมื่อเวลาเดินต่อไปเรื่อยๆ จากวินาทีเป็นนาที ถึงแม้เธอจะปิดหู และไม่หันไปมองภาพการเข่นฆ่ากันพวกนั้น แต่เสียงไหลเวียนของเลือดในร่างกายก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว หัวใจก็เต้นแรงราวกับจะกระเด้งออกมาทางลำคอให้ได้!

แต่ในเสี้ยววินาทีที่เธอคิดว่าตัวเองคงอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้น เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองสงบลงตั้งแต่แต่เมื่อไหร่รู้…

เธอค่อยๆ หันหน้าไปมองทางพวกเย่เลี่ยนช้าๆ

ทำไมซอมบี้พวกนั้นถึงน้อยลงล่ะ..

ซอมบี้ที่อยู่ไกลๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เข้ามาอีกแล้ว…

ตรงกันข้าม พวกมันกลับรักษาระยะห่างจากพวกเย่เลี่ยน ราวกับหวาดกลัวมาก…

“เกิดอะไรขึ้น?” สวี่ซูหานถามเสียงสั่น

พวกเย่เลี่ยนเองก็หันมามองหน้ากัน ถึงแม้พวกเธอจะเป็นหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อ แต่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์เหมือนหุ่นซอมบี้ตัวเล็ก พวกเธอแค่รักษาสายสัมพันธ์ทางจิตกับหลิงม่อเอาไว้ตลอดเท่านั้น

เมื่ออยู่ในอาณาเขตแพร่เชื้อของเชื้อไวรัสคลุ้มคลั้ง พวกเธอย่อมต้องถูกคลอบงำอย่างช้าๆ

ทว่าถีงอย่างไรก็เป็นถึงซอมบี้ระดับสูง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ตอนนี้พอประสิทธิภาพของเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งอ่อนลง พวกเธอจึงรับรู้ได้ในทันที

“การต่อสู้อันวุ่นวายเมื่อกี้มีสิ่งผิดปกติ” ซย่าน่าพูดขึ้น

เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินเองก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่พวกเธอสองคนบอกไม่ถูกว่ามันไม่ปกติอย่างไร จึงทำได้เพียงพนักหน้าอย่างเห็นด้วย

ซย่าน่าหันไปมองที่ทางเดินพนักงาน แล้วบอกว่า “พี่หลิง…พวกเรารีบไปเร็ว!”

เธอพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วจากนั้นก็ควงเคียวดาบวิ่งใส่เหล่าซอมบี้ที่ขวางหน้าทันที

เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินเองก็ไม่ถามอะไร พวกเธอรีบวิ่งตามไปติดๆ เหมือนเข้าใจสิ่งที่เธอพูดแล้ว

มีเพียงสวี่ซูหานที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นอย่างงุนงง กว่าจะได้สติก็ผ่านไปหลายวินาทีแล้ว “ตกลงหมายความว่าไงกันแน่ ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยนะ นี่…”

“จึ๊ก”

หลิงม่อหยิกเจ้าแมงกะพรุนในมือดูหนึ่งครั้ง แล้วก็พบว่าโครงสร้างในร่างกายของมันไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก

หลังจากที่มั่นใจว่าพวกเย่เลี่ยนหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากแล้ว หลิงม่อก็คลายใจลง และในขณะเดียวกับที่กำลังพักฟื้น เขาก็ทำการสำรวจเจ้าแมงกะพรุนตัวนี้ไปด้วย

พอถูกหลิงม่อกำไว้ในมือ เส้นหนวดนิ่มๆ เหล่านั้นของแมงกะพรุนก็ข่วนฝ่ามือของหลิงม่อเบาๆ ทว่าพฤติกรรมอย่างนี้ของมันกลับไม่เหมือนกำลังขัดขืน และมันก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากที่หลิงม่อจับมันไว้

“ในเมื่อกระโดดออกมาหาอาหารกินเองได้ ก็แสดงว่าวิวัฒนาการมาถึงขั้นที่มีสัญชาตญาณการกินรแล้วสินะ” หลิงม่อพลิกตัวมันไปมาหนึ่งรอบ แต่ก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าเจ้าสิ่งนี้ได้กลายเป็นหน่ออ่อนที่มีสติปัญญาแล้วหรือยัง……

“แต่ดูเหมือนมันจะจำเราได้แล้ว…ในเมื่อมีความสามารถในการจดจำระดับแรก ก็คงถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ได้แล้วล่ะมั้ง…”

ยากที่เชื่อจริงๆ ว่าเมื่อก่อนเจ้าสิ่งนี้เคยเป็นอวัยวะมาก่อน หลิงม่อคิดว่าสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด คือมันเป็นสิ่งที่มีชีวิตด้วยตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก ดังนั้นเมื่อมันหลุดพ้นจากเจ้าบ้าน มันจึงเริ่มวิวัฒนาการและกลายพันธุ์ด้วยตัวของมันเอง เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

หลิงม่อเคยใช้พลังงานทางจิตของตัวเองเลี้ยงมันมา 2 – 3 ครั้ง ซึ่งนั่นอาจทิ้งร่องรอยหรือสัญลักษณ์บางอย่างไว้ในช่วงระยะแรกของวิวัฒนาการ…

เขาลองยกแมงกะพรุนขึ้นมาตรงหน้า พร้อมกับลองควบคุมพลังจิตที่เพิ่งฟื้นกลับมาบางส่วน

เส้นหนวดของมันกระเพื่อมเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่เจ้าแมงกะพรุนก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของหลิงม่อ

หลิงม่อจึงลองแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาจากดวงแสงแห่งจิตเส้นหนึ่ง แล้วแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าเจ้าแมงกะพรุนเหมือนเป็นเหยื่อล่อดูอีกครั้ง

เจ้าแมงกะพรุนเริ่มหมุนตัวตาหนวดสัมผัส ร่างกายสีแดงเลือดของมันเริ่มพองขึ้น ดูท่าทางเหมือนกำลังร้อนรน…หมายถึงถ้าหากมันมีอารมณ์ล่ะก็นะ

ทว่าผ่านไปสิบกว่าวินาที มันก็ยังไม่เคลื่อนไหวมากไปกว่านี้

“ถึงจะไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะวิวัฒนาการไปเป็นแบบไหน…แต่ดูเหมือนตอนนี้เราจะได้ของดีแล้วแฮะ…” หลิงม่อจ้องเจ้าแมงกะพรุนอย่างพึงพอใจ แล้วหันไปมองเจ้า “วิกผม” ที่กำลังถูกไฟเผา

ขนาดสัตว์กลายพันธุ์ยังวิวัฒนาการออกมาได้น่ากลัวขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตลึกลับอย่างเจ้านี่อาจจะมีวิวัฒนาการที่น่ากลัวกว่านี้ก็ได้…

และการที่ทำให้มันเชื่อฟังได้โดยที่ไม่ต้องใช้พลังจิตควบคุม ก็ถือเป็นครั้งแรกของหลิงม่อที่ทำอย่างนี้ได้

ตอนแรกเขายังเอาแต่จ้องเจ้าแมงกะพรุนอย่างประหลาดใจอยู่ แต่เจ้าแมงกะพรุนกลับดูเหมือนเหนื่อยแล้ว มันจึงค่อยๆ หดเส้นหนวดกลับไป และนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนฝ่ามือของหลิงม่ออีกครั้ง

แต่หลิงม่อกลับรู้สึกได้ว่าร่างกายของมันยังคงสั่นกระเพื่อมอยู่ ราวกับว่ามันกำลังย่อยสลายสิ่งที่ดูดกลืนเข้าไป

“หวังว่าหลังวิวัฒนาการจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ” หลิงม่อพลิกมือยัดเจ้าแมงกะพรุนเข้าไปในกระเป๋าเป้ แต่ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืน การเคลื่อนไหวของเขากลับชะงักค้างไป

“ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวซักที ที่แท้พวกแกก็ไม่ได้ฆ่ากันเองหรอกหรอ? น่าแปลกจริงๆ…ฉันไม่รู้ว่ายัยพวกเดียวกันนั่นมันยังไง แต่หลังจากถูกเร่งให้วิวัฒนาการแล้วก็ยังอดทนไว้ได้…ไม่ถูกๆ บางทีอาจเป็นเพราะแกหนีมาที่นี่?”

ทันใดนั้น เสียงพูดด้วยโทนเสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้นที่ข้างหลังหลิงม่อ

สีหน้าของหลิงม่อซีดเผือดทันที เขาไม่ได้วู่วามขยับตัวทันที

เขาจ้องเงาร่างที่พาดยาวมาด้านหน้า สายตาพลันฉายแววเยือกเย็น

อวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยมา นั่นแสดงว่าเจ้าของเสียงพูดประหลาดนี้ลักลอบเข้ามาโดยไม่ให้พวกเธอรู้ตัว

และการที่รอดพ้นจากสายตาของพวกเธอมาได้…แสดงว่าอย่างน้อยเจ้าของเงาร่างนี้ก็ต้องมีระดับสูงกว่าซอมบี้ชนชั้นสูง…

“ฮ่าๆๆๆๆ! ไม่คิดเลยว่าเจ้านี่จะถูกแกฆ่าตายซะแล้ว?” จู่ๆ เงาร่างนั้นก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น และ “เจ้านี่” ที่มันพูดถึง แน่นอนว่าหมายถึงเจ้า “วิกผม” ที่ถูกเผาอยู่บนพื้นนั่น

“ร้ายกาจจริงๆ! เมื่ออยู่ต่อหน้ามันพวกฉันไม่มีปัญญาแม้แต่จะสู้กับมัน ขนาดมันซ่อนตัวอยู่ตรงไหนพวกฉันก็ยังไม่รู้เลย พอเข้าไปใกล้หน่อยมันก็รู้ตัว จากนั้นก็จะเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นบ้าขึ้นมา…”

ถึงแม้น้ำเสียงจะกระด้างแข็ง แต่ฟังจากสิ่งที่พูดก็รู้ว่าแล้วเงาร่างนี้กำลังตื่นเต้น “ตอนแรกฉันก็แค่อยากให้พวกแกฆ่ากันเอง แล้วค่อยโผล่มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตอนที่พวกแกสู้ไปด้วยหนีไปด้วย…พูดตามตรงฉันไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าพวกแกจะหามันเจอ หรือถึงจะหาเจอ แค่ทำมันบาดเจ็บได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว…”

“ที่แท้พวกมนุษย์ชั้นต่ำก็ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้…ฮ่าๆๆ…”

หลิงม่อจดจ้องเงาดำบนพื้นอยู่ตลอดเวลา ศีรษะขนาดใหญ่ของมันดูโดดเด่นสะดุดตามาก

เจ้านี่ก็คือซอมบี้ที่วางแผนให้พวกเขาเข้ามาติดกับดักยากล่อมประสาทนั่นเอง…

ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดไว้แล้ว ว่าผู้ที่วางแผนเรื่องนี้อาจเป็นซอมบี้ แต่สติปัญญาของซอมบี้หัวโตตัวนี้สูงเกินความคาดหมายของหลิงม่อไปมาก

ยืมดาบฆ่าคน ถือโอกาสจับปลาในตอนที่น้ำขุ่น…ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดของซอมบี้เพียงตัวเดียว!

เหมือนที่ซอมบี้ตัวนี้ไม่คาดคิดว่าเจ้า “วิกผม” จะถูกมนุษย์คนหนึ่งฆ่าตาย ตอนนี้หลิงม่อก็กำลังรู้สึกทึ่งและรู้สึกแปลกใหม่กับความคิดของซอมบี้ตัวนี้เช่นกัน

“ดูจากความสามารถในการอำพรางกายของมัน จะหวังแค่ขอให้มันมีวิวัฒนาการด้านสติปัญญาอย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว…” ตอนนี้สิ่งที่หลิงม่อกำลังทำ เป็นเพียงการถ่วงเวลาเท่านั้น

“ไฟใกล้จะดับแล้ว!”

เจ้าหัวโตตะโกนเสียงดัง

หลิงม่อไม่ได้เบนสายตาออกไป ตอนนี้เขากำลังควบคุมพลังจิตที่เพิ่งฟื้นกูกลับมาได้เล็กน้อยให้รวมตัวกันเป็นหนวดสัมผัส

ทันทีที่เจ้าหัวโตขยับเขยื้อน เขาก็จะลงมือทันที

“ไป เก็บไอ้ก้อนแดงๆ นั่นมาให้ฉัน” คำพูดประโยคนี้ ทำเอาหลิงม่อแทบสำลักน้ำลายตัวเอง

“อย่ามัวแต่อึ้ง เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ”

หลิงม่อแววตาเย็นเยียบ บ้าชิบ ดันเป็นซอมบี้ขี้กร่างด้วยสิ

—————————————————————————–