ตอนที่ 105 ราคาต้องจ่ายของการกินคนเดียว

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

สีสวย กลิ่นหอมยิ่งกว่า!

กลิ่นหอมข้าว กลิ่นหอมสดชื่นของลูกบัว ความหวานข้นของพุทราจีน  กลิ่นของวัตถุดิบมากกว่าสิบแปดอย่างโชยมา แต่ฟางเจิ้งกลับดมแยกออกมาได้อย่างละเอียด! หลังรวมกันแล้วยังกลายเป็นกลิ่นหอมสดชื่นพิเศษ ดมไปจะช่วยให้กระปรี้กระเปล่า รู้สึกสบายอย่างยิ่ง!

“ดี ดี ดี!” ฟางเจิ้งแค่มองกับดมก็มั่นใจแล้วว่านี่คือของชั้นดีที่สุดในโลกมนุษย์!

ตอนนี้เองบนบ่าฟางเจิ้งมีเงาเล็กๆ พุ่งกระโจนไปยังโจ๊กล่าปา ฟางเจิ้งไหวตัวทันคว้าไว้ เป็นกระรอก!

เจ้าตัวน้อยถูกจับไว้ แถมยังไม่พอใจ เอาแต่ดิ้นไปมา ทำท่าทางเหมือนกับว่า ‘ถ้านายไม่ให้ฉันกิน ฉันจะสู้กับนายสุดชีวิต!’

ฟางเจิ้งมองค้อนเจ้าตัวน้อยแวบหนึ่ง “นี่ นายยังกล้าโวยวายใส่เจ้าอาวาสอีกนะ? เชื่อไหมว่าฉันจะขังนาย?”

เจ้าตัวน้อยไม่ยอม เอาแต่ร้องจี๊ดๆ

ฟางเจิ้งลูบหัวโล้น “กินเมล็ดสนไปสองเมล็ดแล้วยังจะกินโจ๊กล่าปาของอาตมาอีกเหรอ? คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองไปรึเปล่า? นายอยากกินก็ได้ แต่รออาตมาชิมเสร็จก่อน จากนั้นถึงตานาย”

“จี๊ดๆๆ…”

“ไม่เอาเหรอ? ถ้าอย่างนั้นขังนาย!” พูดจบก็วางกระรอกลงบนฐานเตา ควานหาหม้อใหญ่มาครอบกระรอกเอาไว้! “จะแย่งอาหารอาตมา? พิจารณาตัวเองก่อนเถอะ!”

ฟางเจิ้งจัดการเจ้าตัวน้อยแล้วก็ก้มหน้าเตรียมจะดื่มโจ๊ก พอก้มหน้าเขาก็หน้าคล้ำ! โจ๊กล่ะ? โจ๊กล่ะ? โจ๊กล่ะ?!

ฟางเจิ้งหันไปมองก็เห็นก้นหมาป่าเพิ่งวิ่งออกจากประตูห้องครัว!

“อยากตายรึไง เอามา คืนอาตมา! เย็นวันนี้ฉันจะกินเนื้อสุนัข!” ฟางเจิ้งโกรธแล้ว ระวังป้องกันขโมยอย่างดี! ขวางขโมยน้อยได้แล้ว แต่กลับถูกหมาป่าเดียวดายชิงไปในช่วงที่เขาทะเลาะกับกระรอก! สายฟ้าผ่าลงมาข้างหลัง ฟางเจิ้งชินแล้วจึงไม่สนใจ!

ฟางเจิ้งถือไม่กวาดไล่ตามไป…หมาป่าเดียวดายเห็นดังนั้นก็วิ่งหนีสุดชีวิต เรื่องที่มันทำในวันนี้มันรู้ว่าต้องอนาถา แต่คิดถึงรสชาติโจ๊กล่าปาแล้วจึงไม่สำนึกเสียใจ! รสชาติ! อร่อยกว่าเนื้อ! อร่อยกว่าข้าวผลึก! อร่อยกว่าอะไร!

“หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่หยุด เย็นนี้อย่าหวังได้กินข้าว!” ฟางเจิ้งไล่ตามหมาป่าเดียวดายไม่ทัน เลยพูดข่มขู่

หมาป่าเดียวดายเห่าสองที

“นี่! นายยังอยากขึ้นสวรรค์งั้นเหรอ? กินข้าวสามมื้อยังไม่อิ่ม? ได้ จะให้นายอดข้าวสามวัน! พรุ่งนี้อาตมาจะหุงโจ๊กล่าปาจำนวนมาก แต่ไม่มีส่วนของนาย!” ฟางเจิ้งกล่าว

หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นก็นึกถึงรสชาติแสนอร่อยนั้น ขาอ่อนยวบหยุดลงทันที จากนั้นส่ายหาง แลบลิ้นเดินก้าวสั้นและเร็วกลับมา ทำท่าทางก้มหน้าลงแสดงความเคารพอีก เป็นการประจบสอพลอ ขณะเดียวกันยังเห่าไม่หยุด

“เพี๊ยะๆๆๆ!” ฟางเจิ้งกระหน่ำไม้กวาดลงไป แต่หมาป่าเดียวดายหนังหนา ฟางเจิ้งก็ทำใจออกแรงตีมันหนักๆ ไม่ลง ดังนั้นเจ้านี่จึงไม่เจ็บเลย แค่กระโดดอยู่กับที่เหมือนกับกระต่าย ซ้ำยังเห่าราวกับกำลังอธิบายบางอย่าง

“หึ! นายแค่อยากชิมรสชาติเหรอ ชิม! ชิม?! ชิมคำเดียว นายกินโจ๊กชามใหญ่ขนาดนั้นหมด? ยั้งใจไม่ไหว? ยั้งไม่ไหวยังกล้าชิมอีกนะ? คอยดูเถอะ! เย็นวันนี้ไม่ต้องกินข้าว!”

ฟางเจิ้งรู้แล้วว่าภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ความรุนแรงไม่ได้ ตีหมาป่าเดียวดายไม่เจ็บ กลับกันไม้กวาดใกล้จะพังแล้ว เขาปวดใจ ในวัดมีไม้กวาดไม่กี่อัน หักอันหนึ่งก็เสียไปอันหนึ่ง!

ดังนั้นหมาป่าเดียวดายจึงรอดไป สะบัดหางหัวเราะเหอะตามตูดฟางเจิ้ง กินก็กินไปแล้ว ถูกตีก็ไม่เป็นไร…

ขณะเดียวกันเกิดเสียงแก๊งดังขึ้น กระรอกพลิกชามใหญ่วิ่งออกมา เห็นชามเล็กถูกหมาป่าเดียวดายกินจนหมดก็โกรธจนร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด แต่มันที่ไม่ยอมยังคงพุ่งไปยังข้างชามเล็กนั้น แต่ก็ต้องตกใจระคนดีใจ ในนั้นยังมีลูกบัวอีกเม็ด! เจ้าตัวเล็กตาเปล่งประกาย ตื่นเต้นจนวิ่งวนรอบชามเล็กสามรอบ ร้องจี๊ดๆ เหมือนกำลังเฉลิมฉลองบางอย่าง จากนั้นเตรียมเริ่มมื้ออาหาร!

เจ้าตัวเล็กกระโดดขึ้นเตรียมจะกิน!

แต่ว่า!

วิ้ง!

แสงทองวูบผ่าน ชามหายไป!

“จี๊ด!” เจ้าตัวน้อยร้องอย่างเศร้าสร้อยด้วยสีหน้าโกรธ

ปัง!

หัวมันดิ่งลงชนเข้ากับฐานเตา เจ้าตัวน้อยกุมหัว โกรธร้องเสียงดัง! กระโดดไปบนพื้น คว้าหินก้อนเล็กวางท่าเหมือนจะออกไปฆ่าเพื่อล้างแค้น

แต่พอออกประตู ก็เห็นฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดายกลับมาแล้ว

“นี่ๆ เจ้าตัวน้อย ทำไมทำท่าทางเหมือนจะฆ่าคนอย่างนั้นล่ะ ในมือถืออาวุธอีก ทำไม จะก่อกบฏรึไง?” ฟางเจิ้งเห็นกระรอกน้อยเงยหน้าเชิดอกขึ้น มือถือก้อนหิน วางมาดจะสู้กับใครสักคนก็เลยหัวเราะ

กระรอกได้ยินดังนั้นก็โกรธร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด กระโดดไปมากับที่ ทำท่าทางโกรธจนจะเป็นบ้า

“เอาเถอะ นายอย่าโกรธอาตมาเลย อาตมาก็ไม่ได้กินโจ๊กเหมือนกัน เจ้านี่กินหมดแล้ว ถ้านายไม่พอใจก็ซัดเต็มที่ ถ้ามันกล้าสวนกลับอาตมาจะช่วยนายจัดการมันเอง” ฟางเจิ้งกล่าว

พอกระรอกได้ยินก็หันหน้าไปจ้องหมาป่าเดียวดาย

หมาป่าเดียวดายมองฟ้า ทำเป็นไม่รับรู้อะไร

“จี๊ดๆๆ!” หลังกระรอกมั่นใจแล้วว่าฟางเจิ้งหนุนหลังจึงกระโดดพุ่งเข้าไปด้วยแรงวัว ขว้างหินก้อนเล็กพุ่งทะยานเข้าไป แต่ว่า…หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่กับพื้น กำลังเกาอย่างเอ้อระเหย ส่วนแรงของกระรอก? ไม่รู้สึก…

แต่ไม่นานนักหมาป่าเดียวดายก็เอ้อระเหยไม่ได้

เริ่มกินอาหารแล้ว ฟางเจิ้งย้ายโต๊ะเขียนอักษรไปไว้หลังลาน หลังจากโต๊ะตัวนี้ถูกยกขึ้นเขามาก็ไม่ได้เอาลงไป ถือว่าให้ฟางเจิ้งไปเลย

ตอนนี้ฟางเจิ้งเป็นคนที่มีโต๊ะกินข้าวแล้ว

เขานั่งอยู่ข้างๆ กระรอกนั่งอยู่บนโต๊ะ ถือก้อนข้าวหนึ่งก้อน ฟางเจิ้งกินข้าวผลึก ดื่มน้ำบริสุทธิ์ด้วยท่าทีสุขสบาย

กระรอกก็เลียนแบบท่าทางเหมือนกัน ทำริมฝีปากขมุบขมิบ

หมาป่าเดียวดายยืนเหมือนคนอยู่ข้างๆ โต๊ะ สองอุ้งมือเกาะขอบโต๊ะ แลบลิ้น ทำหน้ากระหาย แต่ฟางเจิ้งกับกระรอกเมินเฉย

“โฮ่งๆ…”

“นายกินโจ๊กไปแล้วนี่จะกินอะไรอีก? วันนี้จะสั่งสอนให้นายรู้กฏของวัดเรา! การขโมยกินมันน่าละอาย!” ฟางเจิ้งกล่าว

กระรอกก็พูดด้วยสองประโยค แม้หมาป่าเดียวดายจะไม่เข้าใจ แต่ก็แสดงท่าทีของตนอย่างชัดเจน

หมาป่าเดียวดายหันหน้าวิ่งไปอีกทาง ถ้าไม่เห็นใจก็ไม่เป็นทุกข์

ทว่า…

“แจ๊บๆ…”

ฟางเจิ้งกินไปพลางขยับปากดังแจ๊บๆ ไปพลาง ทั้งยังตะโกนตลอดเวลา “หอมจริงๆ หอม!”

กระรอกก็ทำเกินไปเหมือนกัน หยิบก้อนข้าวขึ้นมานั่งบนหัวหมาป่าเดียวดาย ไม่ยอมกิน แต่เป่าไปทางหมาป่าเดียวดาย กลิ่นหอมข้าวผลึกโชยไปยังจมูกมัน ทำเอาหมาป่าเดียวดายสะบัดหน้า! กระรอกจึงเปลี่ยนทิศทางการเป่า…

เห็นเจ้าสองคนนี้ทะเลาะกันฟางเจิ้งจึงหัวเราะ

ฟางเจิ้งกินเสร็จก็ถือว่าลงโทษหมาป่าเดียวดายจอมตะกละได้แล้ว เลยเคาะโต๊ะ “นายไม่กินจริงๆ เหรอ?”

หมาป่าเดียวดายเงยหน้าขึ้นเห็นว่าในชามใหญ่กระถางดอกไม้ของมันมีข้าวเพิ่มมา! มันที่เมื่อครู่ยังหงอยเหงาเศร้าซึมพลันวิ่งมากินข้าวอย่างมีความสุข ส่วนความไม่พอใจที่ถูกแกล้งเมื่อครู่ลืมไปนานแล้ว

ตกดึง เที่ยงคืน ในที่สุดฟางเจิ้งก็ได้รับแจ้งเตือนจากระบบ

…………………