บทที่ 137 ไม่ให้คุณมา คุณก็จะมาให้ได้!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

“ผมบอกไม่ให้คุณมา คุณก็ยังจะมาอีก!”

“ถ้าฉันไม่มาแล้วคุณจะทำยังไงล่ะ?”

……

……

แผนกฉุกเฉินก็มีเพื่อนเก่าแก่เช่นกัน ตอนที่ปู่หวังเดินถือไม้เท้าเข้ามาที่ประตูตึกแผนกฉุกเฉิน เสี่ยวหลินก็พูดยิ้มๆ ว่า “คุณปู่ คุณมาอีกแล้ว!”

ปู่หวังหัวเราะ “มาแล้วๆ”

หัวหน้าพยาบาลเข้ามาช่วยประคองด้วยตัวเอง “คุณปู่หวัง วันนี้ไม่สบายตรงไหนหรือคะ?”

คุณปู่หวังยังไม่ทันพูด เสียงไอระลอกหนึ่งก็ดังขัดคำพูดเขาเอาไว้ ไออยู่นานจนหายใจไม่ทัน เถียนเซียงหลานจึงรีบตบหลังให้เขาเบาๆ ทั้งยังช่วยลูบหน้าอกให้ด้วย จึงทำให้ลมหายใจของเขาสงบขึ้น

คุณปู่หวังทอดถอนใจ จากนั้นจึงพูดยิ้มๆ ว่า “เมื่อคืนผมไอหนัก ไอจนรู้สึกแปลกๆ ตรงหัวใจ พอตอนเช้าก็รีบมาที่นี่เลย ผมไปลงทะเบียนก่อนนะครับ”

ตอนนี้เพิ่งเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่า แผนกฉุกเฉินยังไม่ได้แลกเวร เหล่าเฉินที่เป็นเวรตอนกลางคืนยังทำงานอยู่ คนที่เป็นเวรเช้าก็ยังไม่มา แต่เฉินชางชินกับการมาโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้ว

เพิ่งเดินเข้าประตูมาก็เห็นคุณปู่หวังแล้ว เขาจึงยิ้มเข้าไปทักทาย กล่าวอรุณสวัสดิ์ไปคำหนึ่ง

ถึงที่นี่จะเป็นโรงพยาบาล และเขาก็รู้ว่าคุณปู่หวังเป็นคนไข้ แต่พอเจอหน้ากันแล้วคงไม่อาจทักทายว่า “ทำไมไม่สบายล่ะครับ?” ได้หรอก

คุณปู่หวังเห็นเฉินชางก็ยิ้มตอบ “เสี่ยวเฉิน มาเช้าขนาดนี้เลยหรือ”

ตอนนี้เฉินชางมองคุณปู่หวังอย่างจริงจัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย

วันนี้คุณปู่หวังดูสีหน้าไม่ค่อยดีนะ?

อาการกำเริบอีกแล้วหรือ?

“คุณปู่หวังครับ คุณไม่สบายตรงไหน? อาการกำเริบอีกแล้วหรือ?”

คุณปู่หวังมีชื่อว่าหวังเหม่าเกิน เป็นชายชราที่มีนิสัยทะนงตัวหัวแข็ง พักอยู่ที่หอพักของโรงเลื่อยไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลอันดับสอง ตอนยังหนุ่มเป็นหัวหน้างานมาทั้งชีวิต มีทักษะในการพูดคุยสั่งงาน พอแก่แล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ แต่ตอนเป็นหัวหน้างานตอนหนุ่มๆ เขาสูบบุหรี่จัด ทำให้เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[1]

ถ้าใช้คำพูดของคุณปู่หวังมาพูดก็คือ “เป็นหัวหน้างานมาชั่วชีวิตก็สะสมอาการป่วยมาชั่วชีวิต!”

คุณปู่หวังชอบหัวเราะเสียงดัง ทั้งๆ ที่ป่วย แต่รอยย่นที่มุมปากก็ยังเคล้าไปด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี

เฉินชางนับถือผู้สูงอายุเช่นนี้มากจริงๆ ทุกครั้งที่เจอกัน เขาจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสะอ้านและกางเกงสแล็คที่รีดจนเรียบ รองเท้าหนังสีน้ำตาลหยาบ ทั้งสะอาดและดูดี

ชายชราคนนี้เป็นแขกประจำของแผนกฉุกเฉิน ตอนที่เฉินชางเพิ่งมาทำงานที่โรงพยาบาลอันดับสองยังต้องถามทางอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองปี ชราชราคนนี้ เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็จะมาครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มาซื้อยาให้ตัวเองก็มาซื้อยาให้ลูกชาย และที่ต้องมาแผนกฉุกเฉิน ก็เพราะทุกครั้งที่เขามาซื้อยา จะชอบมาตอนกลางคืน ซึ่งแผนกผู้ป่วยนอกปิดไปแล้ว

ชายชรายังไม่ทันพูดอะไรก็ไอขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากไอเสร็จก็เริ่มหอบหายใจ

“ฟู่…ฟ่…ฟู่…”

ชายชราพยายามหายใจสุดชีวิต สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง ลมหายใจกระชั้นถี่รุนแรง!

เฉินชางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เสี่ยวหลิน พาไปที่ห้องสังเกตอาการ ให้ออกซิเจนด้วย”

คุณปู่หวังเป็นผู้ป่วยเก่าแก่ ทุกครั้งที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เฉินชางแทบจะท่องประวัติผู้ป่วยของเขาได้หมดแล้ว บนสมุดประวัติการรักษาของคุณปู่หวังก็เป็นลายมือเฉินชางทั้งหมด สองปีมานี้คุณปู่หวังเปลี่ยนสมุดไปแล้วสองเล่ม

อาการป่วยของเขาชัดเจนมาก เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังกำเริบฉับพลัน แล้วยังมีโรคปอดอื่นๆ…

สำหรับผู้ชายชราอายุแปดสิบกว่าปี ทุกครั้งที่อาการกำเริบก็เท่ากับอาการทวีความรุนแรงขึ้นอีกระดับหนึ่ง จนเฉินชางเริ่มกังวลแล้วว่าคุณปู่ที่สะอาดเนี้ยบคนนี้จะมาได้อีกกี่ครั้ง?

เสี่ยวหลินทำกราฟหัวใจ วัดความดันเลือดและวัดค่าออกซิเจนในเลือดให้คุณปู่อย่างคุ้นเคย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่คิดค่าใช้จ่าย

“หมอเฉินคะ ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแค่แปดสิบค่ะ…” เสี่ยวหลินมองคุณปู่หวังด้วยความกังวล เอ่ยเบาๆ

เฉินชางพยักหน้า ความจริงไม่ต้องตรวจเขาก็รู้

ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำขนาดนี้ แสดงว่าผู้ป่วยทนมานานแล้ว หากเป็นคนอื่นคงแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง แต่ชราคนนี้กลับทำเพียงหรี่ตามองเขาขณะที่ใส่เครื่องให้ออกซิเจนอยู่

เฉินชางรู้สึกเสียใจจริงๆ…ทุกครั้งที่คุณปู่หวังมา เขาจะกังวลเสมอ

นี่เป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียวที่หัวหน้าพยาบาลเถียนเซียงหลานผู้คอยดูแลเรื่องการเงินหลับตาข้างลืมตาข้าง ไม่ว่าจะเครื่องให้ออกซิเจนของเขาก็ดี จะทำกราฟหัวใจก็ดี…ทุกอย่างไม่คิดค่าใช้จ่าย

ตราบใดที่แผนกฉุกเฉินหาเงินมาอุดช่องโหว่นี้ได้ เถียนเซียงหลานก็จะไม่พูดอะไร

โบราณว่าเจ็บป่วยมานานจนกลายเป็นหมอเสียเอง คุณปู่หวังก็เช่นกัน เขาถอดหน้ากากออกซิเจนออก พูดอย่างมั่นใจว่า “หมอเสี่ยวเฉิน…ตรวจวิเคราะห์ก๊าซในหลอดเลือดแดง[2]เถอะครับ วิเคราะห์ก๊าซในเลือดสักหน่อย อย่างอื่นไม่ต้องตรวจแล้ว”

เฉินชางพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้พูดโน้มน้าวอะไรมาก เพราะเขารู้ว่าคำพูดโน้มน้าวเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไร

ความจริงชายชราที่ดูภูมิฐานและทะนงตนคนนี้ต้องแบกรับภาระไม่น้อยเลย

เงินที่ได้หลังจากเกษียณซึ่งดูผิวเผินเหมือนจะเยอะ แต่มันไม่พอและไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับการดำรงชีวิตของเขา ค่าใช้จ่ายจึงกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา

เฉินชางหยิบสมุดบันทึกการรักษาขึ้นมาตามขั้นตอน เดินไปข้างๆ คุณปู่หวัง “คุณปู่ครับ อาการของโรคนี้คุณคงรู้ดีแล้ว และผมก็อธิบายความอันตรายของมันให้คุณฟังมาตลอด อย่างเช่นอาการช็อค…หมดสติหรือตาย คุณจะเซ็นชื่อปฏิเสธการตรวจตรงนี้หรือเปล่าครับ?”

คุณปู่หวังยิ้ม รับปากกามาเซ็นชื่อด้วยอาการมือสั่นพลางพูดว่า “ผมเซ็นชื่อมาครึ่งชีวิตแล้ว คิดไม่ถึงว่าแก่แล้วยังหนีไม่พ้นโชคชะตาแบบนี้อีก ฮ่าๆ…”

เพื่อนผู้ป่วยด้วยกันและพยาบาลที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะไม่ได้ เป็นคนแก่ที่มีเอกลักษณ์จริงๆ แล้วยังเป็นคนแก่ที่ทะนงตนมากด้วย

เขาเคยพูดคำเย่อหยิ่งเหล่านั้นกับเฉินชางไม่ใช่แค่ครั้งเดียว “ลูกชายผมนอนเป็นอัมพาตติดเตียงมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยเป็นแผลกดทับ!”

ทั้งยังเคยพูดกับเขาอย่างภาคภูมิใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียวว่า “เมื่อวานลูกชายบอกกับผมว่า หนังสือที่เขาเขียนมีคนอ่านแล้ว แล้วยังชมเขาด้วย จริงสิ…เขาลงบนเว็บไซต์ฉีเตี่ยน[3]อะไรนั่น ของเครือเท็นเซ็น บริษัทนั่นมีมูลค่าทางการตลาดหลายพันล้านเลย!”

ชายชราคนนี้มีลูกชายที่ยอดเยี่ยมอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาเป็นอัมพาตจากภาวะเส้นเลือดในสมองตีบมาสิบกว่าปีแล้ว ส่วนภรรยาของลูกชายก็พาลูกไปอยู่ที่อเมริกา กลับมาน้อยครั้ง บางทีชายชราคงไม่รู้ว่าพวกเขาหย่ากันแล้ว และบางทีอาจจะรู้แต่ไม่อยากพูด…เฉินชางไม่เคยเห็นลูกสะใภ้ของเขากับหลานของเขามาก่อนเลย

แต่ชายชรากลับบอกเฉินชางด้วยความภาคภูมิใจว่า

“หลานของผมได้รับสืบทอดจากผมไปเต็มๆ เขาฉลาดมาก ได้ยินว่าตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาลัย MIT อะไรนั่นเลยนะครับ!”

จู่ๆ ผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นว่า “คุณปู่ คุณเป็นปอดอุดกั้นเรื้อรังมานานกี่ปีแล้วครับ? ทำไมไม่ไปแอดมิทที่แผนกทางเดินหายใจล่ะครับ?”

คุณปู่หวังยิ้ม “ภรรยาของผมต้องคอยอยู่ดูแลลูกชายที่บ้าน ผมเลยแอดมิทไม่ได้ ถ้าแอดมิทก็ไม่มีใครมาดูแลผม”

ทุกครั้งที่ชายชรามา เถียนเซียงหลานจะดูแลอย่างใส่ใจ มีพยาบาลน้อยคอยวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง

คุณปู่หวังมองไปที่เถียนเซียงหลาน พูดยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวเถียน ตอนแรกผมอยากจับคู่คุณกับลูกชายของผม ยังดีที่เด็กคนนั้นตาไม่มีแววเอาซะเลย ไม่งั้น…ครอบครัวของผมคงต้องรบกวนคุณไปตลอด!”

ตอนอายุห้าสิบกว่าปี คุณปู่หวังเป็นโรคถุงลมโป่งพอง พออายุหกสิบก็เกษียณจากงานจึงมักมาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ตอนนั้นเถียนเซียงหลานยังเป็นพยาบาลน้อยคนหนึ่ง แต่คุณปู่หวังกลับชอบเธอเป็นพิเศษ อยากจับคู่เถียนเซียงหลานกับลูกชายให้ได้

น่าเสียดายที่ลูกชายของเขารสนิยมสูง ไม่สนใจเถียนเซียงหลานที่เป็นแค่พยาบาลน้อยในแผนกฉุกเฉิน

เถียนเซียงหลานยิ้ม “คุณปู่หวัง คุณพูดจาส่งเดชอีกแล้วนะคะ”

คุณปู่หวังหัวเราะเสียงดัง มองไปยังกำแพงรอบๆ ของแผนกฉุกเฉิน จู่ๆ ก็ถอนใจ “โรงพยาบาลอันดับสองเก่าๆ ในสมัยก่อน ตอนนี้ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เห็นอีกกี่วัน!”

หวังเหม่าเกินทำใจเรื่องอาการป่วยของตัวเองได้นานแล้ว หากไม่ใช่เพราะเป็นห่วงภรรยาและลูกชาย เขาคงไปนานแล้ว!

แต่ว่า…เขายังไม่กล้าจากไป เพราะที่บ้านยังมีภรรยาและลูกชายที่ต้องพึ่งเงินผู้สูงวัยของเขา ดังนั้นต่อให้ยากลำบากแค่ไหนเขาก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!

คุณปู่หวังมาที่นี่ได้ครึ่งชั่วโมง หญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในแผนกฉุกเฉิน เห็นนางพยาบาลเข้าพอดี “คุณพยาบาลหลิน หวังเหม่าเกินอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ?”

เสี่ยวหลินยิ้ม “อยู่ค่ะ อยู่ที่ห้องสังเกตอาการ กำลังให้ออกซิเจนอยู่”

หญิงชราได้ยินดังนั้นก็กล่าวขอบคุณแล้วเดินไปยังห้องสังเกตอาการ

คุณปู่หวังกำลังสูดออกซิเจน ก็เห็นภรรยาก็ตำหนิไปทันที “ผมไม่ให้คุณมา คุณก็ยังจะมาอีก!”

หญิงชราถลึงตาใส่เขา “ฉันจะวางใจเรื่องคุณได้หรือ? ถ้าคุณสุขภาพดี ฉันก็จะไม่มาหรอก!”

ในใจของคุณปู่หวังพลันอ่อนยวบ ถอนใจออกมาเบาๆ “คุณมาแล้วลูกจะทำยังไง?”

หญิงชรานั่งลงข้างเตียงกุมมือเหล่าหวังด้วยความปวดใจ “ถ้าฉันไม่มาแล้วคุณจะทำยังไงล่ะคะ!”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันป้อนซุปไข่ให้เขากินแล้วถ้วยหนึ่ง ดูแลเขาเข้าห้องน้ำ ช่วยพลิกตัวตบหลังให้เขาแล้ว…”

หญิงชราพูดอย่างละเอียด ตั้งแต่ว่ากินข้าวไปเท่าไหร่ ปัสสาวะไปเท่าไหร่ กระทั่งตบหลังไปกี่ครั้ง มีน้ำไหลออกมาหรือไม่…

คุณปู่หวังมองหญิงชราตรงหน้าที่เป็นคู่ชีวิตของตน ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เส้นผมหงอกขาว ร่างกายเริ่มโรยรา เขาอดถอนใจไม่ได้ ลำบากเธอแล้ว ที่รักของฉัน เมื่อคิดถึงตรงนี้ลุงหวังก็ยิ้ม “ที่รัก!”

หญิงชราหันมา “อะไรคะ?”

คุณปู่หวังยิ้ม “ตอนเที่ยงพวกเรากินเกี๊ยวกันไหม? ผมจะไปซื้อเนื้อมาเอง”

หญิงชราถลึงตาใส่ “เนื้อหมูโลละสี่สิบหยวนไปแล้ว จะกินเนื้ออะไรอีก ถ้ามีเงินซื้อเนื้อก็เอาไปซื้อยาให้คุณเพิ่มอีกสองกล่องยังจะดีซะกว่า!”

คุณปู่หวังพูดต่อ “ถ้างั้นพวกเรากินเกี๊ยวผักกันก็ได้ อีกเดี๋ยวผมจะไปซื้อแครอท!”

……

……

เฉินชางกำลังยืนเตรียมของอยู่ที่ห้องสังเกตอาการ แต่ว่า…กลับถูกบทสนทนาของคู่รักชราที่อายุเกินแปดสิบไปแล้วคู่นี้ทำเอาสะเทือนใจ…

ชายชราดูเหมือนกำลังตำหนิบ่นว่า แต่ก็รักใคร่ใส่ใจที่สุด หญิงชราดูเหมือนกำลังโกรธ แต่ก็เป็นภรรยาที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันตลอด

ท่ามกลางชีวิตอันยากลำบาก คนแก่ทั้งสองถือไม้เท้าสองด้าม ประคับประคองกันเดินไปเบื้องหน้า ไม่หวาดกลัวต่อความตาย

“ผมไม่ให้คุณมา คุณก็ยังจะมาให้ได้!”

“ถ้าฉันไม่มาแล้วคุณจะทำยังไงล่ะ?”

สองประโยคนี้เฉินชางลืมไม่ลงไปชั่วชีวิต นี่อาจเป็นบทสนทนาที่กินใจคนที่สุดในชีวิตของเฉินชางแล้ว ดีกว่าคำสาบานว่าจะรักกันตราบฟ้าดินสลายอะไรนั่น ดีกว่าคำพูดสะเทือนฟ้าสะเทือนดินใดๆ…

เฉินชางหันไป มองผู้สูงวัยทั้งสองอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่

เพราะเขาช่วยอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเขาทำได้เพียงมองเหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป

[1] โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) คือ โรคปอดชนิดเรื้อรังอย่างหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีพยาธิสภาพของถุงลมโป่งพองหรือหลอดลมอักเสบเรื้อรังเกิดร่วมกัน

[2] ตรวจวิเคราะห์ก๊าซในหลอดเลือดแดง (Arterial Blood Gas analysis ; ABG) หมายถึง การเจาะหลอดเลือดแดงเพื่อการตรวจวิเคราะห์ก๊าซต่างๆ ในหลอดเลือดแดง

[3] เว็บไซต์ฉีเตี่ยน เป็นเว็บอ่านนิยายของจีน