ตอนที่ 117 ได้สติหลังจากตกใจกลัว

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านถึงลงมาเจ้าคะ?” ม่านเหอมองดูเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แต่งตัวเรียบง่ายเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ จึงเข้าไปทักทายทันที แน่นอนว่าไม่ลืมมองค้อนใส่จื่อหลัว

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว หากนอนต่อไปจะขึ้นราได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยิ้ม ตราบใดที่สุขภาพของนางฟื้นตัว ย่อมจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด…ถ้าไม่มีความมั่นใจอย่างนี้ นางคงไม่หาเหาใส่หัวตัวเองหรอก! กระนั้นซั่งกวนเจวี๋ยดูเหมือนจะตื่นตระหนก ห้ามไม่ให้นางออกไปจากห้องแม้แต่ก้าวเดียวโดยเด็ดขาด นับประสาอะไรจะให้นางลงมาชั้นล่าง ในระหว่างวันเขายุ่งกับเรื่องต่างๆ มากมาย หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมาเป็นเพื่อนนางเป็นครั้งคราว และคอยจับตาดู ไม่ยอมให้นางทำอะไร เมื่อซั่งกวนเจวี๋ยกลับมา จึงส่งมอบให้ซั่งกวนเจวี๋ย

ในช่วงสองวันนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้กลับไปที่เรือนไร้เดี่ยว แต่เขายังจำได้ว่าเคยสัญญากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ จะให้นางไว้ทุกข์กับแม่บุญธรรมเป็นเวลาร้อยวัน ทั้งยังพิพักพิพ่วนว่านางตกน้ำ ร่างกายจะไม่ฟื้นตัว แม้จะได้แนบชิดกับหญิงงามผุดผ่องมีกลิ่นหอมจรุงใจ ที่เขามักจะจูบและลูบไล้อย่างควบคุมไม่ได้ แต่ยับยั้งไว้ได้ทันในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่สุดเสมอ…ด้วยเหตุนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยจึงอารมณ์แปรปรวนอย่างเห็นได้ชัดในไม่กี่วันนี้ พวกม่านเหอรู้ดีอยู่เต็มอกว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างลับๆ พูดกันว่าเขารู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ยิ่งกังวลกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์

สองสามวันนี้เป็นวันสิ้นเดือน ในหมู่บ้านมีร้านค้าต่าง ๆ นอกจวนยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง และมีการออกงานสังคมบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในตอนเที่ยงซั่งกวนเจวี๋ยให้คนส่งข้อความมาบอกว่าจะกลับดึก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีใจลิงโลด หลังจากรอให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไปก็รีบลงไปข้างล่างเพื่อสูดอากาศหายใจ

“แต่นายน้อยได้สั่งกำชับ…” ม่านเหอก็รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ทว่าก็ทนไม่ได้ที่หวงฝู่เยวี่ย เอ้อและลูกชายเป็นห่วงอยู่ พวกนางจึงไม่กล้าจะผ่อนคลายแต่อย่างใด

“ข้าจะนั่งที่เรือน รอท่านพี่กลับมา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ถึงความลำบากใจของม่านเหอ และไม่อยากทำให้นางอึดอัดใจ เพียงแค่พูดว่า “ให้จื่ออวิ๋นชงชาให้ข้าสักกา!”

“สะใภ้ใหญ่ ท่านยังทานยาอยู่ ดื่มชาไม่ได้นะเจ้าคะ!” ม่านเหอทำหน้าเจื่อนทันที ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ขมขื่นมากกว่านางด้วยซ้ำ

“ก็ได้…” แล้วทอดถอนใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เซียงชุ่ยเตรียมผลไม้เชื่อมสักสองสามอย่าง เมื่อยาเคี่ยวเสร็จแล้วก็ยกเข้ามาได้เลย!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอผ่อนหายใจเบาๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พาจื่อหลัวออกไปทันที กลัวว่าจะมีอีกคนหนึ่งกระโดดออกมาขัดขวาง

“คุณหนู ท้องฟ้าเพิ่งมืด ถ้าไปตอนนี้อาจจะถูกจับได้!” ชุนเยี่ยนมองดูสือหย่าฉีที่เปลี่ยนไปใส่ชุดดำอำพรางตัวอย่างเป็นห่วง พันแส้รอบเอว แล้วสวมเสื้ออ๋าวชายสั้นกับกระโปรงไว้ข้างนอกชุดดำ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านางจะทำอะไร

“ข้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้!” สือหย่าฉีได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วหลังจากทราบข่าวว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะกลับดึก โอกาสนี้ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนสร้างขึ้นมาไม่ง่ายเลย นางแน่ใจมากว่าสตรีทั้งสองคนนั้นจะไม่เสี่ยงเพราะเข้าตาจน แต่นางแตกต่าง นางต้องคว้าโอกาส เวลาใกล้จะหมด นางไม่มีทางหนีทีไล่ให้พิจารณาแล้ว

“แต่ว่า…” ชุนเยี่ยนเฝ้าดูสือหย่าฉีบรรจุโอสถพิษร้ายแรงใส่ห่อ ครั้นรู้ว่าสือหย่าฉีตั้งใจแน่วแน่ จึงทำได้เพียงพูดว่า “คุณหนูระวังตัวด้วย ถ้ามีใครมาล่ะก็ข้าจะจัดการเต็มที่นะเจ้าคะ”

“ไม่ต้อง เจ้าเก็บของไว้ หากมีคนถามก็บอกว่าเราเตรียมจะออกเดินทางในวันมะรืนนี้ ข้ารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จึงออกไปเดินเล่น!” สือหย่าฉีพูดสั่งการพลางส่ายศีรษะ นางเชื่อว่าเรือนทางใต้มีคนเฝ้าจับตาดูพวกนางแล้วแน่นอน จึงไม่จำเป็น ต้องปกปิด สิ่งที่นางต้องการคือกำจัดผู้คนในระหว่างทางไปเรือนมีคู่ หาสถานที่ถอดเสื้ออ๋าวชายสั้นและกระโปรงออก แล้วแอบเข้าไปในเรือนมีคู่

“เจ้าค่ะ คุณหนู!” ชุนเยี่ยนมองดูสือหย่าฉีออกไปอย่างเปิดเผย แล้วสงบสติอารมณ์ เริ่มเก็บสัมภาระจริงๆ

ในระหว่างทางหลบหลีกสาวใช้ที่สะกดรอยตามสองคนออกไปได้อย่างชาญฉลาด สือหย่าฉีมาถึงเรือนมีคู่อย่างราบรื่น ถอดเสื้ออ๋าวชายสั้นและกระโปรงออก ห่อด้วยถุงผ้าหนังที่เตรียมมาแล้วซ่อนไว้ในพุ่มดอกไม้ คลุมหน้า กระโดดตัวเบาเข้าไป

“สะใภ้ใหญ่ อากาศค่อนข้างเย็น ท่านควรสวมเสื้อคลุมนะเจ้าคะ!” เสียงของสาวใช้คนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหูของสือ

หย่าฉีซึ่งเตรียมจะกระโดดขึ้นไปบนชายคาเรือน ดวงตาของนางสว่างวาบ จึงไปซ่อนตัวที่พุ่มดอกไม้ แล้วแอบดอดเข้าไปตามเสียงที่แว่วมา ยามนี้นางต้องขอบคุณเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ปลูกดอกถานฮวาไว้เป็นจำนวนมากในเรือนมีคู่ และเป็นดอกถานฮวาที่เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์

“อืม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของจื่อหลัว หยัดกายขึ้นสวมเสื้อคลุม แต่เสียงของใบไม้ไหวดังสวบสาบที่อยู่ไม่ไกลทำลายอารมณ์ของนางที่ผ่อนคลายอย่างไม่ต้องสงสัย

“สะใภ้ใหญ่?”  จื่อหลัวรู้ดีที่สุดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงร้องออกมาด้วยความสับสนและเป็นกังวลอยู่บ้าง

เป็นสือหย่าฉีใช่ไหม? หรือเป็นเพราะตระกูลซั่งกวนยื่นคำขาดสุดท้าย ให้พวกนางออกไปในเร็ววันนี้ แล้วรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยกลับดึก จึงถือโอกาสมาที่นี่? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเรื่อยเปื่อยแวบหนึ่ง เพราะอยู่ในลานบ้าน นอกจากจื่อหลัวก็มีเพียงติงเอ๋อร์ที่รอรับใช้อยู่ข้างๆ แต่ติงเอ๋อร์ไม่ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใดๆ

“เจ้าไปเรียกเซียงเสวี่ยมา ข้ามีเรื่องจะถามนาง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้ม ตัดสินใจว่าครั้งนี้จะต้องสอนบทเรียนที่น่าจดจำให้กับผู้มาเยือนเสียบ้าง มิฉะนั้นนางอย่าได้คิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย!

“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยปรากฏตัวพร้อมกับรอยยิ้มแป้น ถือจานขนมที่ทำสดใหม่ไว้ในมือ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ยาใกล้จะเสร็จแล้ว เซียงชุ่ยทำขนมดอกกุหลาบให้ท่านเป็นพิเศษ เดี๋ยวให้ท่านกินแกล้มระงับกลิ่นยานะเจ้าคะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกินยา? สือหย่าฉีรู้สึกว่าโอกาสเช่นนี้หายากจริงๆ ตราบใดที่เทยาในซองนี้ที่อยู่ในอ้อมอกใส่ในยาของนางเท่านี้ก็เสร็จแล้ว!

“แล้วเหตุใดเจ้าไม่ถือโอกาสยกยามาด้วย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เล่นเหมาทำเสียคนเดียว เจ้าต้องวิ่งไปอีกเที่ยว แล้วยกยามาอีกสินะ”

“แต่ยายังไม่เย็นอีกหรือ?” เซียงเสวี่ยสะดุ้งเบาๆ เรื่องยกยาจื่อหลัวเป็นคนทำเองมาตลอด

“ไม่เป็นไร ยกมาทั้งร้อนๆ ข้าอยากดื่มร้อนๆ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยิบตาให้นาง แม้เซียงเสวี่ยจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็รู้ว่าต้องมีเหตุผลสำหรับเหตุการณ์นี้ จึงจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“ดื่มยาแล้วข้าอยากอาบน้ำ จื่อหลัวเจ้าไปเตรียมตัวก่อนเถอะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดกับจื่อหลัวทั้งที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ติงเอ๋อร์ เจ้าไปทำความสะอาดห้องอาบน้ำก่อน รอเซียงเสวี่ยกลับมา แล้วข้าค่อยไป!”

“สะใภ้ใหญ่ บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ!” ติงเอ๋อร์ทำตัวดีรู้งานรู้การมาตลอด ไม่เคยพูดมาก นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชมชอบนางมากขึ้นเรื่อยๆ จึงพามาอยู่ข้างกายด้วย

“สะใภ้ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” จื่อหลัวถามอย่างเป็นห่วง นางจงใจไล่ติงเอ๋อร์ไป แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะปกปิดไว้ดีมาก แต่นางขยิบตาให้เซียงเสวี่ยนั้นก็ถูกจื่อหลัวจับได้

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เบื่อกับการก่อกวนที่ไม่สิ้นสุดเสียที!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้น มองไปที่เงาทมิฬของร่างที่ยื่นออกมาบนพื้นซึ่งเห็นนางยืนขึ้นอย่างตื่นตัว หากไม่เป็นการเปิดเผยความลับที่นางเป็นวรยุทธ์ นางจะดึงอีกฝ่ายออกมาได้อย่างแน่นอน แต่…นางยิ้มอย่างเย็นชาราวกับว่ายังมีวิธีจัดการที่ดีกว่าการจับนางออกมา

“สะใภ้ใหญ่ ยามาแล้ว ระวังลวกมือนะเจ้าคะ!” เซียงเสวี่ยเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว วางถ้วยยาบนถาดในมือลง จื่อหลัวเอียงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ค่อนข้างแปลกใจที่นางใช้ฝาปิดจริงๆ

“ข้าดูหน่อยสิ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกฝาขึ้น ใช้นิ้วแตะถ้วยยาเบาๆ จู่ๆ นัยน์ตาก็เบิกกว้าง ชื่นชมความฉลาดของเซียงเสวี่ยจริงๆ…ถ้วยยานี้ถูกอุ่นให้ร้อนขึ้น ยาต้มที่อยู่ข้างในจะต้องร้อนมากแน่!

หดมือเล็กน้อย ยกถ้วยยาขึ้นโดยมีแขนเสื้อกั้นไว้ ไม่สนใจดวงตาที่เบิกกว้างของจื่อหลัวและรอยยิ้มที่เข้าใจในฉับพลันของเซียงเสวี่ย แล้วขว้างออกไปอย่างชำนาญมาก ถ้วยยาวาดเป็นเส้นโค้งที่สมบูรณ์แบบในอากาศ ตกเข้าไปในพุ่มดอกถานฮว าอันล้ำค่าของนาง ไม่มียาสักหยดในนั้นไหลออกมา…

“นี่…นี่…” ในที่สุดจื่อหลัวก็มีปฏิกิริยา นางรู้ความลับมากมายของเจ้านาย แต่ไม่คาดคิดว่านางจะยังมีทักษะเช่นนี้ จึงยิ่งไม่เข้าใจว่านางทำไปเพื่ออะไรกันแน่

“โอ๊ย!” สือหย่าฉีถูกลวกจนอดส่งเสียงไม่ได้ แต่นางก็ไม่กล้าจะขยับ นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือมีใครพบเห็นเข้า แต่นางได้แต่หวังว่าคนผู้นี้จะไม่เข้ามา แล้วจับกุมนาง

“เสียงอะไร?” แม้แต่จื่อหลัวก็ยังได้ยินเสียงที่ลอยมาจากสายลมอย่างชัดเจน สีหน้าของนางเปลี่ยนไป ไม่นึกเลยว่าจะมีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ในพุ่มดอกไม้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องไม่หวังดีแน่ๆ

“เป็นหนูเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยยิ้มกริ่มแล้วคว้าจื่อหลัวไว้ ไม่ให้นางไปดูมูลเหตุ จื่อหลัวไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ถ้าคนผู้นั้นมาทำร้ายอย่างรุนแรง มันคงแย่!

“หนูหรือ?” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างลังเล นางได้ยินเสียงของคนอย่างแจ่มชัด และเสียงของถ้วยยาที่ตกกระทบพื้นนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนกับตกลงพื้น แต่เหมือนตกไปโดนคน

“ใช่ เป็นหนู!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเงาทมิฬอย่างเย็นเยียบซึ่งเอาแต่กรีดร้องและเขยื้อนตัวครู่หนึ่งแต่ไม่ขยับอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกทนไม่ไหวและสงสารอยู่บ้าง ท่านป้าที่บุกเข้าไปในตระกูลซั่งกวนหลายครั้งในปีนั้นก็ถูกจับด้วยหรือไม่? นางในตอนนั้นจะเป็นเหมือนกันไหม ถึงแม้นจะได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว แต่ระงับความเจ็บปวดไว้ กัดฟันแน่นกรอด หวังว่าจะไม่ถูกใครจับได้?

“สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงรู้สึกตะลึงงัน ทำไมจู่ๆ ก็เกิดเศร้าใจขึ้นที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในดวงตา? นางไม่อยากปล่อยหนูตัวนี้ที่กระโดดลงมาในเรือนมีคู่อีกต่อไปแล้ว!

“ข้าคิดถึงท่านป้า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเซียงเสวี่ยเข้าใจสิ่งที่นางพูดว่าสื่อถึงอะไรได้ เซียงเสวี่ยก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าโม่อวี๋ฮวนเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวนแบบไหน แต่ก็รู้ด้วยว่านางเคยลอบสังหารซั่งกวนฮ่าวหลายครั้งทว่าไม่สำเร็จ

“สะใภ้ใหญ่ เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ภัยจะถึงตัวนะเจ้าคะ!” เซียงเสวี่ยเตือนเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่จะถูกใครโน้มน้าวหรือหว่านล้อมได้ง่ายดายนัก

“นางเป็นแค่หนู จะไม่มีวันกลายเป็นเสือได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อสู้อยู่พักใหญ่ระหว่างปล่อยและไม่ปล่อยวาง ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรากลับกันเถอะ! เดี๋ยวทำความสะอาดที่นี่ด้วย!”

“สะใภ้ใหญ่ ท่านคิดทบทวนอีกครั้งนะเจ้าคะ!” เซียงเสวี่ยกลัวว่านางจะกังวลจึงพูดว่า “ข้าสัญญาว่าจะไม่ทิ้งร่องรอย!”

“มีบางอย่างเมื่อทำไม่ได้ก็จะทำไม่ได้ตลอดไป มิฉะนั้นยามที่คิดจะหยุดก็จะพบว่าเริ่มผิดพลาด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัว นางรู้ว่าเซียงเสวี่ยมีโอสถแปลกพิสดารอยู่ในมือมากมาย ในนั้นก็มีผงโอสถสลายกระดูกอันน่าสยดสยอง แต่การฆ่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่นางอยู่ในอารมณ์ที่อึดอัดมาก และไม่สามารถปริปากได้

“เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยไม่กล้าพูดอะไรแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลมแรงไปหน่อย เรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”

เพื่อยืนยันว่าผู้หญิงที่น่ากลัวคนนั้นได้จากไปแล้ว สือหย่าฉีก็รีบหนีออกจากเรือนมีคู่ ถือเสื้ออ๋าวชายสั้นและกระโปรงไว้ในอ้อมแขนแล้วมุดไปหลังพุ่มไม้และรีบไปเรือนทางใต้ จากนั้นก็มุ่งตรงกลับห้อง

“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” ชุนเยี่ยนมองสือหย่าฉีที่หน้าซีดเผือดและเป็นกังวล พูดอย่างกลุ้มใจว่า “จะถูกจับได้หรือไม่?”

“เร็ว เอายาทาน้ำร้อนลวกมา!” สือหย่าฉีตัดแขนเสื้อด้วยกรรไกรอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นแขนทั้งสองข้างที่ถูกลวกจนพุพอง ตอนนี้นางแค่โชคดี เคราะห์ดีที่ไม่โดนลวกใบหน้า มิฉะนั้นนางจะทนไม่ไหวจนต้องวิ่งกระเจิง ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จะไม่ไว้ชีวิตนางอย่างแน่นอน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” ชุนเยี่ยนหยิบยาทาน้ำร้อนลวกออกมา เห็นบาดแผลนั้นก็สะดุ้งตกใจ ไม่เข้าใจว่าสือหย่าฉีได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร

“เจ้าไม่ต้องถาม!” สือหย่าฉีรับยาขี้ผึ้งมา แล้วพูดด้วยความเจ็บปวดว่า “มีที่ท้ายทอยและด้านหลังด้วย เจ้าใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าแล้วทายา!”

ชุนเยี่ยนตัดเสื้อผ้าของสือหย่าฉีออกจากกัน มีแผลพุพองที่ท้ายทอยและด้านหลังซึ่งน้อยกว่าที่แขน แต่บาดเจ็บสาหัสกว่า แล้วอดถามด้วยความร้อนใจไม่ได้ว่า “ใครลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้?”

“เจ้าไม่รู้จะดีที่สุด!” สือหย่าฉีนึกถึงน้ำในอ่างครั้งที่แล้วนั้น นึกถึงคำพูดแปลกๆ ของจื่ออวิ๋น นึกถึงการลองหยั่งเชิงซ้ำ แล้วซ้ำเล่าของนางและเหตุการณ์ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกลงไปในน้ำอย่างประหลาด จากนั้นก็คิดถึงที่สาวใช้คนนั้นพูดว่าจะไม่ทิ้งร่องรอย…ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ถ้าไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ใครรู้ใบหน้าที่แท้จริงของนาง นับประสาอะไรกับชีวิตของนาง เกรงว่าจะไม่เหลือแม้แต่ซาก ที่แท้การอยู่ใกล้ความตายนั้นช่างน่ากลัวเสียจริง!

“คุณหนู เราจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ!” ชุนเยี่ยนฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไรอีก

“พรุ่งนี้ไปอำลาสะใภ้ใหญ่ แล้วออกจากตระกูลซั่งกวนในวันมะรืนนี้!” สือหย่าฉีกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย อย่าก้าวเข้ามาในตระกูลซั่งกวนเด็ดขาด!”

——————-