บทที่ 116: กฎของยมโลก (3)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 116: กฎของยมโลก (3)

พรึ่บ…กลุ่มก้อนพลังหยินสีดำพุ่งไปยังจุดกำเนิดเสียงทันที สองนาที…สามนาที…สี่นาทีผ่านไป ในที่สุดฉินเย่ก็มาอยู่ตรงหน้าประตูของห้องห้องหนึ่งที่มีขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร

ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟขนาดเล็กหลอดหนึ่ง

และเพราะไม่มีประตู ฉินเย่จึงสามารถมองเห็นหลี่เจียนคัง ผู้ซึ่งกำลังสิ้นหวังยืนพิงกำแพงอยู่ได้อย่างชัดเจน ความว่าสิ้นหวังฉายชัดอยู่บนใบหน้าของชายวัยกลางคน

ทั่วทั้งห้องมืดไปหมด

ไม่ใช่แค่มืดสลัว ๆ แต่มันเป็นความมืด…ที่ทำให้รู้สึกกลัว

ผนังและพื้นห้องเต็มไปด้วยรอยคราบเลือดแข็งกรังที่กลายเป็นสีสนิมตามกาลเวลา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่า ทั้งหมดนี่จะเป็นเลือดของคนเพียงคนเดียวหรือสองคน จากสายตาฉินเย่คิดว่ารอยเลือดพวกนี้น่าจะมีอย่างน้อยสิบหรือ 20 คน!

โครงกระดูกสีขาวกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ บางชิ้นมีแม้กระทั่งเศษเนื้อติดอยู่ด้วย กระดูกบางส่วนถูกวางกองกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเหมือนกับภูเขาลูกเล็ก ๆ ในขณะที่กระดูกชิ้นอื่น ๆ ยังคงอยู่บนร่างกายอย่างสมบูรณ์ ด้วยแสงสลัว ๆ และริบหรี่จากหลอดไฟ ห้องตรงหน้านี้ดูเหมือนกับรังของสัตว์ประหลาดไม่มีผิด

แต่ทั้งหมดนี้ก็เทียบไม่ได้เลยกับโลงศพสีดำสองโลงที่วางอยู่ข้าง ๆ หลี่เจียนคัง

ด้านหน้าของโลงศพทั้งสองมีของเซ่นวางอยู่ หนึ่งในโลงศพมีภาพถ่ายขาวดำของหญิงสาววัยกลางคนถูกวางไว้อยู่จุดกึ่งกลางระหว่างเทียนทั้งสองเล่ม ในขณะที่อีกโลงหนึ่ง…ดูเหมือนว่าจะถูกปิดอย่างเร่งรีบ อันที่จริง ฝาโลงยังไม่ได้ถูกปิดอย่างเรียบร้อยด้วยซ้ำ

มันเหมือนกับว่า…ใครบางคนเพิ่งหนีออกไปจากในนั้น

โลงศพโลงนี้เองก็มีเทียนสองเล่มตั้งอยู่ตรงหน้า รวมไปถึงจานผลไม้สดใหม่ ตลอดจน…ภาพถ่ายขาวดำของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง

ในภาพนั้น ชายหนุ่มกำลังยิ้มอย่างมีความสุข

“จัดวางได้ไม่เลวเลย” ฉินเย่ลากกระบี่ปีศาจของเขาไปตามพื้นขณะที่เดินตรงไปที่โลงศพอย่างช้า ๆ หลี่เจียนคังที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งมายืนขวางอยู่ด้านหน้าของโลงอย่างบ้าคลั่ง “กะ แก…แกจะทำอะไร?!”

แต่ฉินเย่ก็ยังเตะร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปก่อนที่คนตรงหน้าจะเอ่ยจบ ร่างของหลี่เจียนคังกระแทกเข้ากับผนังราวกับลูกปืนใหญ่ ก่อนจะตกลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

“เจ้าคิดหรือว่าตัวเองจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้โดยที่ยังมีชีวิต?” ฉินเย่ไล่นิ้วไปตามกระบี่ปีศาจของตัวเอง

“ด้วยกฎของแดนมนุษย์ เจ้าอาจจะถูกตัดสินให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต แต่ข้า…ตัดสินด้วยความตาย”

ด้วยลูกเตะอันทรงพลังของฉินเย่ก่อนหน้านี้ หมวก แว่นกันแดด และหน้ากากของหลี่เจียนคังได้หลุดออกจากใบหน้า เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่ผอมซูบ หากบอกว่าเขามีเพียงผิวหนังที่หุ้มกระดูกเท่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง

ควบคู่กับริมฝีปากที่ซีดเซียวไร้สีเลือด สภาพของเขาในตอนนี้ดูเหมือนกับเขาเป็นปีศาจเจียงซือที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากสุสาน

ฉินเย่ไล่นิ้วไปตามโลงศพ แต่แล้วจู่ ๆ หลี่เจียนคังก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เขายกมือทั้งสองปิดหน้าพร้อมกับเริ่มสะอื้นตัวโยน “อย่าเปิดมัน….ขอร้องล่ะ…”

แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายนัก เขาปฏิบัติต่อเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายราวกับมันเป็นเพียงเสียงยุงที่น่ารำคาญเท่านั้น เขาหยิบรูปถ่ายขึ้นมา ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนโลง จากนั้นก็เตะมันอย่างแรง

คลิก….ทันทีที่มุมทั้งสี่ของฝาโลงเคลื่อนอยู่ในตำแหน่งที่พอดีกับส่วนที่เหลือของโลง เสียงล็อกก็ดังขึ้น ฉินเย่ตบลงบนฝาโลงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลี่เจียนคังยังคงสะอื้นไห้และซุกหน้าลงกับแขนของตัวเอง ขณะที่ฉินเย่เดินไปหาและนั่งยอง ๆ พร้อมกับถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคงสั่งทำมันขึ้นมาสินะ? แพงมากเลยใช่ไหม?”

หลี่เจียนคังเงยหน้าที่ซีดขาวของตัวเองและมองฉินเย่ด้วยแววตาที่ซับซ้อนทางอารมณ์ มันมีทั้งความสิ้นหวัง ความโล่งอก และความหวังในเวลาเดียวกัน เขาเอ่ยถามด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “คะ คุณ…คะ คือตัวอะไร?”

ทว่าทันใดนั้น หมัดอันทรงพลังพุ่งเข้าใส่หน้าของเขาก่อนที่เขาจะพูดจบ ชายวัยกลางคนล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง เส้นของความหวาดกลัวและตึงเครียดภายในจิตใจขาดผึง จนเขาเริ่มคร่ำครวญออกมาเสียงดัง

“ฮือออ…. อ๊ากกกกกกกก…”

ฉินเย่ปัดฝุ่นออกจากเครื่องแบบยมทูตของตนเอง พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “เจ้ารู้อะไรไหม…?”

“นอกจากหวังเฉิงห่าวแล้ว เจ้าเป็นมนุษย์เพียงอีกคนหนึ่งที่ได้เห็นข้าโกรธขนาดนี้”

“หากเจ้ายอมจำนนตั้งแต่แรก มันก็อาจจะยังพอบรรเทาผลที่จะตามมาได้สักเล็กน้อย แต่ช่างน่าเสียดายที่เจ้ากลับไม่ทำมัน เจ้ากลับเลือกที่จะก่ออาชญากรรมครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง และเลี้ยงสัตว์ประหลาดพวกนั้น” ฉินเย่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าปัญหาทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจากเจ้า จนกระทั่งข้าได้ไปพบกับตัวแทนจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลง…หลี่เฉิง…เขาตายแล้วใช่หรือไม่?”

“หลังจากที่หลี่เฉิงฆ่าแม่ของเขา เจ้าก็คงจะฆ่าเขาด้วยความโมโหสินะ?”

หลี่เจียนคังนอนอยู่บนพื้น หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างของตัวเองกำลังจะหายไปในอีกไม่กี่วินาทีนี้ ริมฝีปากของเขาสั่นเทาเล็กน้อย แต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

ฉินเย่ยืนอยู่ข้าง ๆ และเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “เจ้าฆ่าเขาสินะ? พลั้งมือฆ่าเพราะความโกรธอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเจ้า…จงใจกันแน่?”

เด็กหนุ่มหันไปมองเทียนที่ถูกจุดอยู่และภาพถ่ายขาวดำที่อยู่บนโลงก่อนจะถอนหายใจออกมา “คงไม่ได้ตั้งใจสินะ….”

“มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและยากที่จะเข้าใจอย่างแท้จริง” เสียงอาร์ทิสเอ่ยขึ้น

“ผะ ผมรักเขา” วินาทีนั้นเอง แม้ว่าหลี่เจียนคังจะยังนอนอยู่บนพื้นราวกับสุนัข เขาพึมพำออกมาว่า “ผะ ผมแค่…คะ แค่….อยากให้เขากลับตัว….อยากให้เขาเข้าใจ…”

“เพราะอย่างไรแล้ว…ครอบครัวเราก็เหลือกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น…”

“ตอนนั้นผมอารมณ์เสียมากเกินไป…ผมบีบคอเขาแล้วถามว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้…เขาไม่คิดเลยเหรอว่าเธอเป็นแม่ของเขา? แต่กว่าผมจะรู้ตัวว่าเขาไม่หายใจอีกต่อไป…มันก็สายเกินไปแล้ว…”

ฉินเย่แค่นหัวเราะอย่างดูถูก “ข้าอาจจะสามารถเห็นใจกับชะตากรรมของเจ้าได้หากมันไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่…เจ้าช่วยอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำลงไปหลังจากนั้นให้ข้าฟังทีจะได้หรือไม่?”

หลี่เจียงคังสะอื้นไห้อย่าเศร้าโศก แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำใดมาพูดได้

“เจ้าไม่เต็มใจจะพูดเรื่องนั้นอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเจ้ากำลังละอายใจเกินกว่าที่จะพูดมันออกมา? หรือว่าในที่สุดก็ค้นพบว่ามีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี’ อยู่ในตัว?” ฉินเย่เอ่ยอย่างเย้ยหยัน

“เจ้า…น่ากลัวว่าภูตผีที่ข้าเคยพบเจอมาเสียอีก”

กึกกึก!! ทันใดนั้นเอง โลงศพทั้งสองโลงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้น…เสียงเคาะฝาโลงรัว ๆ ก็ตามมา!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก… ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!

และตามมาด้วยเสียงแหบพร่าที่น่ากลัวดังขึ้น “เลือด…เนื้อ…”

“พ่อ… ผมหิวอีกแล้ว…”

ครืดดด….หลังจากเสียงเคาะก็มีเสียงที่คล้ายกับเสียงข่วนของแมวดังตามมาติด ๆ ราวกับว่าใครบางคนกำลังข่วนที่ฝาโลงศพจากด้านในไม่มีผิด

เปลวไฟจากเทียนวูบไหวไปมาอย่างรุนแรง ฉินเย่จำพึมพำเบา ๆ ว่า “ที่นี่เจ้ายังกล้าไม่พูดถึงมันอีกหรือไม่? ทำไมไม่ให้ข้าเตือนความจำของเจ้าดูล่ะ…”

“การเลี้ยงศพ” เขามองไปยังโลงศพด้วยสายตารังเกียจขณะที่เอ่ยต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใด แต่เจ้าก็ได้เก็บดวงวิญญาณของอดีตภรรยาและลูกชายของตัวเองเอาไว้…และเริ่มเลี้ยงดูพวกเขาในฐานะของซากศพ”

“ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าผิวของเจ้านั้นซีดขาวอย่างผิดปกติตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ภาวะการขาดเลือดอย่างรุนแรงสินะ? ไม่สิ…ในที่สุดข้าก็เข้าใจ…มันคงเป็นเพราะว่าเจ้าเลี้ยงศพพวกนี้ให้เป็นปีศาจเจียงซือด้วยเลือดเนื้อของตัวเอง”

เขาเปิดแขนเสื้อของหลี่เจียนคังออก อีกฝ่ายดิ้นรนเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมแพ้ไปทันทีที่ตระหนักได้ว่ามันไร้ประโยชน์

ข้อมือของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่มีทั้งลึกและตื้นอยู่บนนั้น

ฉินเย่ส่ายศีรษะ “ไม่…นั่นก็ไม่ใช่เหมือนกัน ที่นี่คงจะเป็นห้องเก็บของที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าด้วยสินะ? เจ้าให้อาหารให้ศพพวกนี้ด้วยปลาสด ๆ ตอนแรกใช่หรือไม่? ดูจากจำนวนก้างปลาที่เกลื่อนไปทั่วพื้นนี่…แต่ไม่นานเจ้าก็พบว่าพวกมันไม่ชอบเนื้อปลาเลยสักนิด พวกมันต้องการเพียงเลือดและเนื้อของมนุษย์เท่านั้น ข้าพูดถูกหรือไม่?”

“หลังจากนั้นไม่นานเจ้าก็ตระหนักได้ว่าวิธีของตัวเองนั้นไม่ยั่งยืน และจำเป็นจะต้องหาแหล่งเลือดและเนื้อที่มากกว่านี้ แล้วเจ้าทำอย่างไร? เจ้าก็คิดหาวิธีขึ้นมาวิธีหนึ่ง”

ฉินเย่มองหลี่เจียนคัง แต่ชายในวัย 40 ปีหลบตาราวกับกลัวว่าฉินเย่จะสามารถมองลึกเข้าไปในส่วนลึกและมืดที่สุดในจิตใจของตัวเองได้ ฉินเย่จับเข้าที่กรามของอีกฝ่ายแน่นและบังคับให้สบตากับตน

แววตาของหลี่เจียนคังไหววูบอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขาไม่กล้า เขาไม่อยากมอง และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะมองด้วย

บาปที่เขาได้กระทำลงไปนั้นมากมายเกินไป มือทั้งสองข้างของเขาเปื้อนเลือดไปแล้ว และเขาก็มาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับแล้วเช่นกัน

“เจ้าเล่าเรื่องของตัวเองให้กับคนอื่น ๆ ฟัง…และเริ่มหาเหยื่อเหล่านั้นเข้ามาในรังนี้ภายใต้ข้ออ้างในการกำจัดปีศาจและปัดเป่าภูตผี บางทีตอนแรกเจ้าอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปีศาจเจียงซือนั้นกินแต่เนื้อและเลือดของมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น…เมื่อเหยื่อที่เป็นมนุษย์คนแรกมาถึง เจ้ากลับมองดูเขาถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ โดยภรรยาและลูกชายของเจ้าเอง!!”

“นี่ไม่ใช่ห้องเก็บของของเจ้าอีกต่อไป แต่มันคือโรงเชือด! เจ้าเป็นมนุษย์แต่กลับกระทำตนเยี่ยงผีสาง”

เปลือกตาของหลี่เจียนคังสั่นระริกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่เขายังคงเงียบสนิท

ฉินเย่ลากอีกฝ่ายไปยังมุมหนึ่งราวกับเศษผ้าขี้ริ้วและตะคอกเสียงเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเดาเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”

“ตั้งแต่ที่ข้าออกไปจากบ้านของเจ้าในครั้งนั้น ข้าก็สงสัยมาตลอดว่าเหตุใดเจ้าถึงกลัวสิ่งเหล่านี้”

“และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้าบังเอิญเจอกับตัวแทนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลง ข้าถึงเข้าใจว่าเจ้าจงใจหลอกล่อผู้คนให้เข้ามายังเขตไล่ล่าแห่งนี้ เหยื่อทุกคนของเจ้าล้วนถูกรายงานว่าหายตัวไป นั่นทำให้ข้าตระหนักได้ว่าลึกลงไปในใจของข้า ข้าถามตัวเองมาตลอดว่าเจ้ากำลังขอความช่วยเหลือ หรือแค่กำลังหา…อาหารอยู่กันแน่?”

เสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ จากบริเวณไหล่ของฉินเย่ “เจ้าใจร้ายยิ่ง”

“เจ้ากรีดหัวใจของเขาช้า ๆ แม้ว่าเจ้าจะไม่ฆ่าเขาในตอนนี้ แต่เขาก็ต้องฆ่าตัวตายในภายหลังเป็นแน่” อาร์ทิสเอ่ย

“เขารักครอบครัวของตัวเอง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเลี้ยงภรรยาและลูกชายของตัวเอง ถึงขั้นยอมทิ้งทุกสิ่งในเวลาต่อมา และเริ่มธุรกิจขายปลาเพียงเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กับลูกชายของตัวเอง ลูกชายคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา แต่การมีชีวิตอยู่มันเหนื่อยเกินไปสำหรับเขา”

“และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจที่จะหลอกล่อเหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ามายังใจกลางของเขตไล่ล่าเมื่อเขาพบว่าตัวเองต้องการเลือดและเนื้อสด ๆ มากกว่านั้นอย่างนั้นหรือ? ผู้คนมากกว่า 30 ชีวิตต่างต้องตาย…เพียงเพื่อที่จะเป็นอาหารให้กับครอบครัวของเขาอย่างนั้นหรือ? มันต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน? แปดเดือน? หรือครึ่งปี?”

“เขาตัดสินใจที่จะไม่ให้ความร่วมมือกับหน่วยสอบสวนพิเศษ นั่นก็เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถเปิดโปงความจริงของเรื่องนี้ได้ มันเพราะเหตุใดกันล่ะ?”

“เพราะว่าเขากลัวอย่างไรล่ะ เขารู้จักภรรยาและลูกชายของตัวเองดีเกินไป ต่อให้ทั้งคู่จะเป็นเจียงซือก็ตาม ข้าว่าตอนที่หน่วยสอบสวนพิเศษมาถึงที่นี่ ภรรยาและลูกชายของเขาคงจะหายใจถี่ขึ้น หรืออาจจะมีปฏิกิริยาที่ไม่ปกติ มันจึงทำให้เขาพบว่าแขกเหล่านี้มีเจตนาที่ไม่ดีต่อครอบครัวของตัวเอง นั่นคงจะเป็นเห็นผลที่ทำให้เขาไม่เคยจ้างหน่วยสอบสวนพิเศษเลย”

ภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ

เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ หลี่เจียนคังนอนอยู่บนพื้นโดยยกมือทั้งสองข้างปิดหน้า หลายวินาทีต่อมา เสียงสำลักอากาศก็ดังขึ้นตัดผ่านความมืดและความเงียบสงัด

เพียงเวลาไม่นาน เสียงสำลักก็เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นไห้ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโหยหวนพร้อมกับน้ำมูกและน้ำตาที่ไหลออกมา

“อ๊ากกกก…..” ชายวัยกลางคนร้องออกมาอย่างปวดร้าว หลี่เจียนคังยกมือกุมหัวของตัวเองและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “ฮืออออ ฮึก ฮืออออ……”

หลังจากร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลาสามนาทีเต็ม เขาก็หันไปหากองกระดูกสีขาวที่พื้นและโค้งคำนับโดยเอาหน้าผากแตะพื้น “ขะ ขอ…ขอโทษ…ขอโทษจริง ๆ!!!!”

“ขอโทษ… ผมขอโทษ ผมขอโทษ! ขอโทษ….ฮือออออ ฮือออออ!”

การกระทำของเด็กหนุ่มได้กรีดแทงหัวใจของเขาอย่างแท้จริง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขายังทุกข์ไม่พออย่างนั้นหรือ?

สิ่งนี้กระชากเหตุผลของเขาและทำให้หลี่เจียนคังเสียสติ แต่ในวินาทีแห่งความบ้าคลั่งนั้น มันกลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

“ใครอนุญาตให้เจ้ารู้สึกโล่งใจ?” ฉินเย่มองชายวัยกลางคนที่ยังคงโค้งคำนับโครงกระดูกตรงหน้าและกัดฟันกรอด “อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ถ้าแดนมนุษย์ไม่สามารถมอบความยุติธรรมให้กับเรื่องนี้ได้ ข้าจะเป็นผู้ตัดสินเอง!”

“สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือชีวิตของคน 30 ชีวิต…เจ้าหลอกล่อให้พวกเขาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เพียงเพื่อเป็นอาหารของปีศาจในโลง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มีวิญญาณมากกว่า 30 ตนอยู่ที่นี่ และพวกเขาต้องก็กำลังจ้องมองทุกการกระทำของเจ้าอยู่? ความดีและความชั่วจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม นี่คือเจตจำนงของสวรรค์ ลองถามตัวเองดูว่าเจ้ามีสิทธิ์อะไรมารู้สึกโล่งใจในการกระทำของตัวเอง?”

ฉินเย่มองเห็นพวกเขา

เขามองเห็นคนเหล่านั้นได้ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ

ร่างวิญญาณมากกว่า 30 ร่างลอยอยู่เหนือกองกระดูกสีขาวพวกนั้น มีทั้งนักพรต พระภิกษุสงฆ์ แม่ชี ร่างทรง และยังมีแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ขั้นยมเทพสี่ตนจากหน่วยสอบสวนพิเศษด้วย วิญญาณทุกดวงจ้องมองหลี่เจียนคังก้มหน้าคำนับพวกตนด้วยใบหน้าเย็นชา

เป็นสีหน้าที่ไร้ซึ่งความปรานีใด ๆ อีกต่อไป

เมื่อฉินเย่กวาดสายตาไปยังวิญญาณเหล่านั้น ที่กำลังมองกลับมาที่เขาเช่นกัน จากนั้น วิญญาณทั้งหมดโค้งคำนับเขาอย่างเคารพ