ยามอาทิตย์อัสดง ท่านชายโจวหกกับท่านชายฉินวางถ้วยและตะเกียบลง พวกเขาหันไปมองจานที่กองไว้ด้านข้างและน้ำแกงที่กำลังเดือดอยู่ในหม้อ
“มันช่างน่าสนใจนัก” ท่านชายโจวหกกล่าว
“ดูเหมือนจะเป็นนักกวีเจ้าสำราญ” ท่านชายฉินหัวเราะ
“เพียงแต่ชื่อนี้ ตั้งได้ไม่ดีเท่าไร” ท่านชายโจวหกกล่าว “นางฟ้าผู้ผ่านมาอย่างนั้นหรือ เช่นนี้เรียกว่าชื่อได้หรือ ช่างน่าขันนัก”
บ่าวที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างหัวเราะออกมา
“ท่านชาย ผู้คนเล่าลือกันว่ามีนางฟ้าผ่านมาแล้วทิ้งสูตรอาหารนี้ไว้ให้ขอรับ” เขากล่าว “แต่ว่าเจ้าของร้านมิทันได้ถามชื่อ จึงนำชื่อนี้มาตั้งแทน”
ท่านชายโจวหกหัวเราะออกมา
“เมืองแห่งความปลิ้นปล้อน” เขาลุกขึ้นยืน
บ่าวช่วยพยุงท่านชายฉินลุกขึ้นแล้วพาออกไป
โถงด้านนอกผู้คนจอแจวุ่นวาย ต่างนั่งล้อมเตา กลิ่นหอมและไอน้ำของเนื้อที่โดนความร้อนโชยมา ยามออกมานอกร้านก็มีรถม้าวนเวียนไปมาตลอดไม่ขาดสาย
“ไม่มีที่นั่งแล้ว ไม่มีที่นั่งแล้ว” บ่าวหน้าร้านตะโกนไม่หยุด พลางรั้งลูกค้าที่มาใหม่ไม่ให้เข้าไปในร้าน “วันพรุ่งนี้ค่อยมาแต่เช้าก็แล้วกัน”
ธงที่อยู่หน้าร้านถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ อักษรตัวใหญ่เขียนว่าซุ้มนางฟ้า
“แม้แต่ชื่อร้านก็ยังเปลี่ยนใหม่ เพียงเพื่อให้เข้ากับอาหารจานใหม่ ถึงขนาดกับเปลี่ยนชื่อร้านที่บรรพบุรุษสืบทอดมาเชียวหรือ” ท่านชายโจวหกหัวเราะพลางส่ายหน้า ก่อนจะรับแส้ม้าแล้วขึ้นควบม้าไป“ใจของคนเราไม่รู้จักพอ จะโทษเขาก็คงมิได้” ท่านชายฉินพูดพลางหัวเราะ ชายหนุ่มแหงนหน้ามองธงราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะหันกลับมาควบม้าตามคุณชายโจวหกไป “ท่านชายหก อาหารรสชาติดีเช่นนี้ ข้าว่าน้องสาวเจ้าคงจะชอบแน่ หากข้าจะเชิญนางมาทานด้วยสักมื้อ นางน่าจะชอบใจใช่หรือไม่”
ท่าชายโจวกหกหันกลับมาพร้อมสายตาครุ่นคิด
“เจ้าคงไม่ได้ชอบนางเข้าแล้วจริงๆ ใช่ไหม” เขาถาม
เมื่อท่านชายโจวหกกลับถึงเรือน ฟ้าก็มืดจนต้องถือตะเกียงไว้ในมือแล้ว ชายหนุ่มเดินตรงไปที่เรือนของเฉิงเจียวเนียง
“ท่านชาย”
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคารวะด้วยท่าทีประหม่า
ตั้งแต่นายหญิงเฉิงเข้ามาอยู่ที่เรือนแห่งนี้ คนทั้งเรือนก็หวาดระแวงกันตลอดเวลา
วันแรกที่มาถึงก็ปล่อยให้ฮูหยินรอหนาวจนจะแข็งตายกว่าครึ่งค่อนวัน ท่านชายหกก็โวยวายว่าจะรับโทษเสียให้ได้ พอถึงตอนค่ำก็มาว่าบ่าวรับใช้หายตัวไปอีก วุ่นวายกันไปอยู่สามวันสามคืน…
แม่จ๋า เมื่อใดเรื่องพวกนี้จะจบสิ้นสักที
ท่านชายมาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีเรื่องวุ่นวายอะไรอีก…
แต่โชคยังดีที่ท่านชายโจวหกไม่ได้เดินเข้ามา เพียงแต่ยืนมองอยู่ที่หน้าประตูเรือน เอาแต่จ้องมองมาที่เรือนหลัก
ภายในห้องจุดเทียนอบอุ่น สะท้อนภาพเงาของคนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ท่าทางเหมือนกำลังเล่นหมากรุกอยู่ แต่ดูไปก็เหมือนกำลังพูดคุยหัวเราะกัน
“เจ้าไม่ต้องไปดูที่นั่นหรอก นางคงกลับบ้านเจ้าไปแล้วอย่างแน่นอน”
“ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรน่ะหรือ นั่นเป็นเพราะข้าอยากรู้ ฉะนั้นข้าเลยรู้ ส่วนเจ้าไม่อยากรู้ ฉะนั้นเจ้าจึงไม่รู้ มิใช่ว่าเจ้าคิดไม่ถึง”
“ชายหก เจ้ากับน้องสาวคนนี้ไม่สนิทกัน ห่างเหิน มิเคยได้ปรับความเข้าใจกัน เพราะเหตุนี้นางถึงได้เคารพเจ้า เชื่อฟังเจ้า หากเจ้ายังทำตัวไร้เหตุผลอยู่เช่นนี้จะหาทางออกได้อย่างไร”
เสียงของท่านชายฉินดังขึ้นข้างหู
ท่านชายโจวหกกำมือแน่นก่อนจะหันหลังเดินจากไป
บรรดาแม่นมที่เฝ้าประตูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อแลกเปลี่ยนยามตอนกลางคืนเรียบร้อย ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป
ผ่านไปได้เพียงครู่หน้าประตูก็ปรากฏเงาคนขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ท่าทางลับๆ ล่อๆ ราวกับกลัวจะมีผู้ใดมาเห็นเข้า
นายหญิง ท่านจะทานอันนี้หรือไม่เจ้าคะ ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ
นายหญิง ข้าเขียนแบบนี้ถูกหรือไม่เจ้าคะ
ปั่นฉินมองไปที่ภาพเงาสะท้อนของคนทั้งสองบนประตู มองเห็นฉากที่คุ้นเคย และบทสนทนาที่เคยพูดคุยกันมาก่อน
นางได้พบนายหญิงอีกครั้งแล้ว เพียงแต่คนข้างกายคนนั้นไม่ใช้นางอีกต่อไป
ปั่นฉินกัดผ้าเช็ดหน้าเพื่อกลั้นเสียงร้องไห้ สายตาพร่ามัว ฝ่ามือยันกำแพงเย็นเฉียบเพื่อพยุงตัว ไม่อยากเดินจากไป
“ใครอยู่ตรงนั้น”
แม่นมที่เฝ้าประตูสังเกตเห็นจึงตะโกนถามเสียงดัง
ปั่นฉินรีบหันหน้าหนีแล้ววิ่งหายไปในค่ำคืนอันมืดมิด
แม่นมถือตะเกียงออกไปดูหน้าประตู แต่กลับไม่พบผู้ใด มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดผ่าน
ไม่หรอกมั้ง เรื่องคนเป็นก็วุ่นวายพอแล้ว ยังจะมีผีโผล่เข้ามาอีกหรือ
นางสั่นไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะส่งเสียงหงุดหงิดแล้วรีบปิดประตูในทันใด
เมื่อยามฟ้าสาง ฮูหยินโจวนั่งรออยู่ตรงห้องโถงใหญ่สักพักหนึ่งแล้ว ในสุดก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงเดินออกมาจากห้อง
“เจียวเจียว ฮูหยินของใต้เท้าเชาเฟิงมาเชิญเจ้าด้วยตนเอง เจ้าไปดูสักหน่อยว่าลูกสาวของนางป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างรีบร้อน
เฉิงเจียวเหนียงหันกลับมามองแล้วนั่งลง
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นางไม่ทำความเคารพ ไม่กล่าวอรุณสวัสดิ์ แต่ก็ช่างเถิด นางคงไม่รู้มารยาทเหล่านี้หรอก
ฮูหยินโจวนั่งหลังตรง
“เพราะฉะนั้น ถึงได้เชิญเจ้าไปดูอาการ” ฮูหยินโจวกล่าวอย่างใจเย็น
“ไม่ไป” เฉิงเจียวเหนียงตอบพลางรับเอาน้ำที่สาวใช้ยื่นมาให้
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไป” ฮูหยินโจวถามกลับ
“แล้วเหตุใดข้าต้องไปด้วย” เฉิงเจียวเหนียงย้อนถาม
“เพราะเจ้ารักษาโรคได้ เจ้าเป็นหมอเทวดา” ฮูหยินโจวตอบกลับ
“ข้าไม่ใช่หมอเทวดา บางโรคข้ารักษาได้ แต่บางโรคข้าก็รักษาไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว แล้วค่อยๆ จิบน้ำอย่างช้าๆ
หมายความว่าอย่างไรกัน
“เจียวเอ๋อร์” ฮูหยินโจวขยับเข้ามาใกล้ แล้วเอื้อมมือมาแตะไปที่ไหล่ของเฉิงเจียวเหนียง “อย่าโกรธไปเลย”
เฉิงเจียวเหนียงวางแก้วน้ำลง
“ไม่ใช่” นางมองไปที่ฮูหยินโจว “คนที่โกรธ ไม่ใช่ข้า แต่เป็นพวกท่าน”
ฮูหยินกำลังจะพูดต่อ แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับลุกขึ้นแล้ว
“ฮูหยิน วันนี้นายหญิงของข้าจะไปจัดยาให้แก่นายใหญ่แห่งตระกูลเฉิน รบกวนท่านให้คนจัดเตรียมรถม้าให้ด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวพลางหันไปจับมือเฉิงเจียวเหนียงไว้
ให้ข้าไปจัดเตรียมรถม้าอย่างนั้นรึ
ฮูหยินโจวมองไปที่สาวใช้อย่างเกรี้ยวโกรธ
ข้าเป็นใคร!
เจ้าเป็นใคร!
แต่ก็ทำอะไรมิได้ จะไม่ยอมเตรียมรถม้าให้อย่างนั้นรึ จะไม่ให้นางไปรักษานายใหญ่เฉินอย่างนั้นรึ
คนอย่างข้าจะไม่ให้นางไปรักษานายใหญ่เฉินอย่างนั้นหรือ ข้ามิได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น!
“ว่าอย่างไรบ้าง” นายใหญ่โจวเดินวนไปมาอยู่ในเรือน รอจนใจจะขาดจึงรีบเอ่ยถามฮูหยินโจวที่เดินเข้ามา “ฮูหยินตระกูลอู๋ยังรออยู่ ให้นางรีบเก็บของแล้วตามไปเร็ว”
ฮูหยินโจวทำหน้าลำบากใจ
“รีบเร่งอะไรเล่า หากนางยอมไปก็ขอขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
“ทำไมหรือ” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นางไม่ไป” ฮูหยินโจวตอบอย่างโมโห
“ไม่ไปอย่างนั้นรึ” นายใหญ่โจวตกใจ นึกว่าตนฟังผิด “เหตุใดถึงไม่ไป”
“ก็นางบอกไม่ไป ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร” ฮูหยินโจวรู้สึกเหมือนโดนกลั่นแกล้ง “พวกเราจับนางมัดไปดีหรือไม่”
จะพาไปรักษาโรค ไม่ใช่จับไปขังคุกเสียหน่อย จับมัดไปเสียก็สิ้นเรื่อง
“นางคนระยำต่ำช้า” นายใหญ่โจวเข้าใจแล้วกัดฟันด้วยความโกรธแล้วเอ่ยออกมา
“เมื่อครู่ข้าได้บอกกับฮูหยินอู๋แล้วว่านางกำลังจะไปรักษานายใหญ่เฉิน วันนี้ตอบกลับเช่นนี้ แล้วพรุ่งนี้เล่า หากฮูหยินท่านอื่นมาอีกจะทำเช่นไร” ฮูหยินโจวกล่าว ก่อนจะนั่งลงเพราะรู้สึกว่าวันนี้แดดแรงนัก
นายใหญ่โจวก็รู้สึกกลุ่มใจไม่แพ้กัน แล้วจึงนั่นลงโดยไม่เอ่ยคำใด
นี่เป็นการรักษาโรค มิใช่เรื่องอื่นใด ทั้งตะคอก ทั้งด่าทอ ทั้งบีบบังคับ หากไปถึงแล้ว แม้จะรักษาได้ก็บอกรักษาไม่ได้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
“เดิมทีข้านึกว่าเชิญนางมาอยู่ที่บ้านจะเป็นเรื่องดีที่ฟ้าประทาน แต่นี่ใช่เรื่องดีหรือ ยามนี้ตระกูลเฉินก็จ้องจะจับผิด พอนายใหญ่เฉินอาการดีขึ้นมา นางก็จะพลอยมีชื่อเสียงไปด้วย พอถึงตอนนั้นก็มีคนมาที่จวนของมายิ่งขึ้น มาถึงก็มาหาพวกเรา พอมาหาพวกเราก็ถือว่าเป็นเรื่องของตระกูลโจว หากคนต่ำช้าอย่างนางปฏิเสธรักษาคนป่วยครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายผู้คนก็จะมาตำหนิตระกูลโจวเราได้! ” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางยกมือนวดขมับ
“แล้วจะให้ทำเช่นไร ไล่ออกไปงั้นหรือ” นายใหญ่โจวพูดอย่างโมโห
“ไล่ออกไป แล้วผู้คนจะมองตระกูลเราเช่นไร” ฮูหยินโจวกล่าว
นี่เรากลายเป็นอะไร ทั้งสายตาคนนอกและคนในก็มองเรามิใช่คนไปเสียแล้ว
เหตุใดเรื่องราวถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้
นายใหญ่โจวหน้าหงิก
“ตอนนี้จะทุบตีหรือดุด่าอะไรนางต่ำช้าผู้นี้ไม่ได้เลย ทำได้เพียงเลี้ยงดูนางให้ดี หากดูแลนางดี นางก็อาจจะตอบแทนพวกเราบ้าง” นายใหญ่โจวกล่าว
“คาดไม่ถึงว่าคนบ้าอย่างนางจะกลายเป็นแม่คุณทูนหัวของพวกเราไปเสียแล้ว” ฮูหยินโจวนั่งพิงโต๊ะไม้เตี้ย นวดศีรษะเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ลง “นี่มันเรื่องอะไรกัน! ”
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
นี่เราผิดพลาดตรงไหน
…………………………………………………………