ภาคที่ 2 บทที่ 125 ล่วงหน้า

มู่หนานจือ

เจียงเจิ้นหยวนได้ยินก็อึ้งไป และเอ่ยว่า “เป่าหนิง หรือว่าเจ้าถูกใจจินเซียว…”

บิดาของจินเซียวเป็นแม่ทัพไท่หยวน ตัวจินเซียวเองก็อยู่กองบัญชาการอวี๋หลิน ตระกูลจินเป็นตระกูลขุนนางทหารที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ

“เปล่า” เจียงเซี่ยนกุมขมับ มีลุงที่จินตนาการล้ำเลิศก็เหนื่อยหน่อยเช่นกัน “นี่เป็นคนละเรื่องกัน และข้าก็คิดมาตลอดว่ามิตรภาพไม่ยั่งยืน แต่ผลประโยชน์เป็นนิรันดร์ ถึงตระกูลเจียงกับตระกูลจินจะแต่งงานกัน ต่อหน้าผลประโยชน์มหาศาล เวลาที่ผลประโยชน์หมดสิ้น ก็พังทลายและแยกจากกันไม่เหลือชิ้นดี ท่านอย่าเชื่อมโยงการแต่งงานของข้ากับอนาคตของตระกูลเจียงเลย นั่นเป็นเพียงการทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นเท่านั้น ท่านอย่าได้หวังว่าจะให้ความช่วยเหลือในยามที่คนอื่นต้องการอย่างเด็ดขาด”

เจียงเจิ้นหยวนได้ยินก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้านี่นะ ทำไมเจอเรื่องอะไรถึงไม่คิดไปในทางที่ดีบ้าง? แน่นอนว่าการแต่งงานไม่อาจผูกมัดคนสองตระกูลไว้ด้วยกันได้ แต่อย่างน้อยต่างฝ่ายต่างก็สามารถแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตนเองไม่มีได้ แล้วก็ได้พันธมิตรเพิ่มมาอีกหนึ่ง…”

บางทีอาจจะเพราะเห็นมามากเกินไป เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตนเองกับลุงของตนเองมีความเห็นต่างกันในด้านนี้ ทว่าเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาคุยกันเรื่องความเป็นความตาย จึงไม่จำเป็นต้องเถียงกับลุงของตนเองว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

นางยิ้มพลางฟังอย่างเงียบๆ รอให้เจียงเจิ้นหยวนพูดจบแล้วถึงเอ่ยว่า “ท่านลุง ลองคิดสิ่งที่ข้าพูดดูให้ดี ยกที่ที่ท่านคิดว่าสามารถควบคุมได้ให้ผืนหนึ่ง แลกกับตระกูลหลี่ไปซานซีและกลายเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถของเฉาเซวียน ไม่อย่างนั้นพวกเราเก็บเฉาไทเฮาไว้ยังมีความหมายอะไร?”

เจียงเจิ้นหยวนไม่พูดอะไร

เจียงเซี่ยนรู้ว่ากองกำลังรักษาพระนครเป็นทรัพย์สินที่คนตระกูลเจียงทุ่มเทความคิดในการวางแผนและจัดการมาหลายรุ่น แม้ในใจของเจียงเจิ้นหยวนจะเห็นด้วยกับความคิดของนาง แต่จะให้เขาละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษส่งต่อมาถึงมือเขาทันที เขาก็ยังตัดใจไม่ได้ในชั่วขณะ

นี่ก็เป็นจุดอ่อนของเจียงเจิ้นหยวนเช่นกัน

ไม่อย่างนั้นชาติก่อนนางก็ทรยศอย่างเปิดเผยไปตั้งนานแล้ว สนับสนุนให้เจียงลวี่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ จะเลี้ยงเด็กสารเลวแทนจ้าวอี้ไปทำไม!

ยิ่งกว่านั้นชาติก่อนตอนที่นางกุมอำนาจทางการเมืองก็ไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลจินด้วยซ้ำ แสดงว่าไม่ถูกหลี่เชียนจัดการไปแล้วก็ไปพึ่งพาอาศัยเขาแล้ว วางแผนกับตระกูลจินเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มสักนิด

เจียงเจิ้นหยวนเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาคุยกับเจียงเซี่ยนอย่างใจลอยอีกไม่กี่คำก็บอกลา

เจียงเซี่ยนถอนหายใจ พลางคิดว่าหากลุงของนางยังปลงไม่ได้ นางก็จำเป็นต้องคิดหาทางทำอะไรบางอย่างกับเจียงลวี่แล้ว

ใครจะรู้ว่าวันที่ยี่สิบสองเจียงเซี่ยนส่งไป๋ซู่ออกจากวังไปได้ไม่นานก็ได้ข่าวว่าหลี่ฉางชิงถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพซานซี หูอี่เหลียงอดีตรองหัวหน้าสำนักตรวจการเป็นผู้ว่าราชการมณฑลซานซี

หูอี่เหลียงเป็นคนของจ้าวอี้

ชาติก่อนเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการมณฑลเจ้อเจียง เก็บภาษีและหาเงินที่เจียงหนานให้จ้าวอี้

ก่อนจ้าวอี้เสียชีวิต เขาได้เลื่อนตำแหน่งและย้ายไปเป็นเสนาบดีกรมคลังกับราชเลขาธิการตำหนักจิ่นเซินแล้ว เพราะมีผลงานในการปฏิบัติหน้าที่โดดเด่น

ตอนที่เจียงเซี่ยนเพิ่งเป็นไทเฮา เขาถูกนางสั่งขังคุกหลวง เพราะรีดไถเงินเดือนทหารจากหลี่เชียน

คิดถึงตรงนี้ เจียงเซี่ยนก็รู้สึกใจแปลกเล็กน้อย

แม้จ้าวอี้จะอนุญาตให้ตระกูลหลี่กลับซานซี แต่ก็ป้องกันตระกูลหลี่ทำการใหญ่เช่นกัน

นี่เขาคงคิดจะใช้หูอี่เหลียงกดขี่หลี่ฉางชิงใช่หรือไม่?

ทว่าสิ่งที่หูอี่เหลียงถนัดที่สุดคือการคิดคำนวณบัญชี เวลานี้เขากลับถูกย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการมณฑลซานซี การทำงานบริหารราชการแผ่นดินไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดเลย และซานซีก็ไม่ใช่สถานที่สำคัญสำหรับการจ่ายภาษีเช่นกัน ตอนนี้จึงเรียกได้ว่าเขา ‘เผยจุดอ่อน ซ่อนจุดแข็ง’ เป็นไปได้มากว่าเส้นทางการเป็นขุนนางจะไม่ ‘มีผลงานในการปฏิบัติหน้าที่โดดเด่น และมีหน้ามีตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด’ เช่นชาติก่อนแล้ว แถมยังปะทะกับหลี่เชียนอีก…หูอี่เหลียงอาจจะเล่นงานหลี่เชียนไม่ได้

หมากนี้ของจ้าวอี้ช่างโง่จนไม่มีสิ่งใดเทียบได้จริงๆ

เขายังไม่รู้ตัวอีก!

เจียงเซี่ยนแอบรู้สึกมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่นเหมือนดูเรือล่มบนหอกระเรียนเหลือง

นางสั่งให้หลิวตงเยว่ไปซื้อน้ำหอมกุหลาบที่ร้านแป้งทาหน้าที่ตรอกเป่าต้าตรอกชุ่ยฮวา

หลิวตงเยว่ไปอย่างงุนงง

และกลับมาบอกเจียงเซี่ยน “ร้านนั้นดูเหมือนจะค้าขายไม่ค่อยดี ข้าดมน้ำหอมกุหลาบก็ไม่ค่อยหอมเช่นกันขอรับ”

ความนัยที่แฝงในนั้นคือของที่นั่นคุณภาพไม่ดี ทำให้เจียงเซี่ยนหัวเราะ

ผ่านไปไม่กี่วัน ไช่ติ้งเซี่ยวน้องชายของไช่ติ้งจงจิ้นอันโหวถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการฐานที่มั่นเทียนจิน

เจียงเซี่ยนแทบจะอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

ไช่ติ้งเซี่ยวก็เป็นคนของจ้าวอี้เช่นกัน เพียงแต่ชาติก่อนเขาไม่ได้โชคดีขนาดนี้ ตระกูลเจียงไม่ได้ยกฐานที่มั่นเทียนจินให้ เขาถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพเมืองเซวียน สองปีที่จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเอง ชนกลุ่มน้อยทางเหนือรุกราน เขาหวาดกลัวชนกลุ่มน้อยทางเหนือจนทิ้งเมืองหนีไป หากไม่ใช่ว่าหยางเหวินอิงแม่ทัพโหยวจีใต้บังคับบัญชาของเขานำทัพเผชิญกับอันตราย เมืองเซวียนก็เกือบจะถูกชนกลุ่มน้อยทางเหนือทำลายเมือง จ้าวอี้เหมือนสติเลอะเลือน ไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าไช่ติ้งเซี่ยว ทว่ายังคล้อยตามคำพูดของไช่ติ้งเซี่ยวตอนที่กำลังตำหนิและซักถามเขา แค่ปลดตำแหน่งแม่ทัพของไช่ติ้งเซี่ยว และให้ไช่ติ้งเซี่ยวไปดำรงตำแหน่งรองที่ค่ายทหารภูเขาตะวันตก หลังจากไช่ติ้งเซี่ยวอยู่ที่ค่ายทหารภูเขาตะวันตกได้ไม่กี่ปี กลับมีคนแนะนำให้ไช่ติ้งเซี่ยวดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายทหารภูเขาตะวันตก หากไม่ใช่ว่าเจียงลวี่เตือนนางว่าให้เห็นแก่ไป๋ซู่ นางก็อาจจะอนุมัติจริงๆ ก็ได้…และถึงเวลานั้นนางก็คอยดูขุนนางทั้งราชสำนักหัวเราะเยาะนางได้เลย!

จะเห็นได้ว่าไช่ติ้งเซี่ยวผู้นี้เป็นคนที่หาช่องทางประจบผู้มีอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองเก่งแค่ไหน แล้วก็มองออกได้เช่นกันว่าเขาเป็นคนที่ไร้ความสามารถในด้านการทหาร

ไม่รู้ว่าที่เลือกคนๆ นี้…ลุงของนางเป็นคนแนะนำหรือเป็นความคิดของจ้าวอี้เอง

แล้วยังหยางเหวินอิงนั่น ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะพยายามกอบกู้สถานการณ์อันตรายอย่างสุดกำลังและแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดจนพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ ทว่าสุดท้ายเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก ตอนที่นางส่งคนไปสอบถามเรื่องคนๆ นี้ เขาก็กระดูกสันหลังหัก เพราะตกลงมาจากหลังม้าและนอนติดเตียงมาสามปีแล้ว

ตอนนั้นนางก็รู้สึกว่าแปลกแล้ว ตามหลักหยางเหวินอิงน่าจะขี่ม้าเก่งมาก แล้วก็มีม้าศึกของตนเอง จู่ๆ จะตกลงมาจากหลังม้าได้อย่างไร แถมยังตกลงมาจนกระดูกสันหลังหัก

ทว่าตอนนั้นไม่รู้ว่านางมีเรื่องต้องทำตั้งเท่าไร จะมีกะจิตกะใจไปสนใจแม่ทัพโหยวจีเล็กๆ คนหนึ่ง เรื่องของหยางเหวินอิงนั้น พอได้ยินก็สนใจพักหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว

ตอนนี้หยางเหวินอิงยังไม่มีชื่อเสียง นางต้องแนะนำคนๆ นี้ให้หลี่เชียนหรือไม่?

เจียงเซี่ยนลังเลอยู่ ตอนที่ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ตำหนักของไทฮองไทเฮาก็ยังคงเหม่อลอยเล็กน้อย หลังมื้ออาหารไปดื่มชาเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาที่ห้องพักผ่อน ไทฮองไทเฮาพูดกับนาง นางก็ไม่ทันได้สังเกต จึงถูกไทฮองไทเฮาเขกศีรษะเบาๆ ทีหนึ่ง

นางกุมศีรษะและเบิกตาโต แล้วมองไทฮองไทเฮาอย่างไม่ได้ทำอะไรผิด

ทำให้ไทฮองไทเฮาหัวเราะทันที และเอ่ยว่า “ข้าถามเจ้าว่าเรียกคุณหนูใหญ่แห่งจวนอันลู่โหวเข้าวังมาเล่นไพ่เป็นเพื่อนพวกเรา เจ้าตกลงหรือไม่ แต่เจ้ากลับเหมือนมีเรื่องหนักใจมากมาย กำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ?”

“ไม่ได้คิดอะไรเพคะ!” เจียงเซี่ยนรีบสงบสติอารมณ์ และเอ่ยว่า “หม่อมฉันแค่เห็นว่าทำไมหิมะถึงเริ่มตกอีกแล้ว เกรงว่าจะทำให้การเตรียมการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิล่าช้าเพคะ!”

“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ!” ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างเห็นได้น้อยครั้ง “นี่เป็นเรื่องของสำนักหอดูดาวหลวง เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”

เหมือนสำนักหอดูดาวหลวงสามารถเรียกลมเรียกฝนได้

เจียงเซี่ยนหัวเราะเล็กน้อย

เมิ่งฟางหลิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย นางมองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วกระซิบข้างหูไทฮองไทเฮาว่า “ไทฮองไทเฮา เพิ่งได้ข่าวจากทางภูเขาวั่นโซ่วว่า เช้าวันนี้แม่นางซ่งคลอดลูกชายแล้วเพคะ”

ใบหน้าของไทฮองไทเฮาหม่นหมองลงในทันที

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับตกใจมากจนแทบจะปิดไม่มิด

นางรีบถามเมิ่งฟางหลิง “วันนี้วันที่สามสิบเดือนหนึ่งใช่หรือไม่?”

ทายาทของราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเดือนปีและเวลาเกิดของผู้ชายต้องปิดเป็นความลับ

เจียงเซี่ยนไม่ได้ถามเวลาตกฟากอย่างละเอียด เมิ่งฟางหลิงก็ตอบตามตรงเช่นกัน “วันนี้วันที่สามสิบเดือนหนึ่งพอดีเจ้าค่ะ”

ก็หมายความว่า…จ้าวสี่เกิดล่วงหน้าสามวัน

นี่แตกต่างกับชาติก่อนเล็กน้อย ดีที่ต่างกันไม่มากนัก

หรือว่าเป็นเพราะชาตินี้คนสกุลฟางตกอยู่ในกำมือของเฉาไทเฮา และกดดันมากเกินไปงั้นหรือ?

ชาติก่อนถึงแม้จ้าวสี่จะผอมแห้ง แต่กลับแข็งแรงมาก เวลานี้คลอดก่อนกำหนด ก็ไม่รู้ว่ายังเหมือนกับชาติก่อนหรือไม่?

เจียงเซี่ยนคาดเดาอยู่ตรงนั้น ไทฮองไทเฮาก็เอ่ยแล้วว่า “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แล้วหรือ?”

“น่าจะทรงทราบแล้วเพคะ” เมิ่งฟางหลิงเอ่ย “คนที่มาแจ้งข่าวบอกว่า เฉาไทเฮาก็ส่งคนไปแจ้งข่าวกับวังเฉียนชิงแล้วเช่นกัน”

ไทฮองไทเฮาพยักหน้า แล้วสั่งเมิ่งฟางหลิง “เจ้าไปบอกคนที่ภูเขาวั่นโซ่วหน่อยว่า ฝ่าบาทยังไม่ได้อภิเษกสมรส และเด็กเป็นเพียงลูกชายที่เกิดจากนางในคนหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยงใหญ่โต บันทึกชื่อลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์อย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว”

———————–