บทที่ 62 ข้ามีพลังธาตุน้ำ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 62 ข้ามีพลังธาตุน้ำ

รอจนกระทั่งหลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเจ็บมือกับปวดหลังนั่นแหละ เขาถึงได้หยุดมือ

”เป็นไงล่ะ ทีนี้จะทำตัวเป็นผู้เป็นคนได้หรือยัง”

หลินเป่ยเฉินระบายความโกรธแค้น เตะอีกฝ่ายหนึ่งกลิ้งกระเด็นไปหลายตลบ จากนั้นจึงได้กล่าวว่า “เอาละ เจ้านำทางไปได้แล้ว”

“ได้เลย ไม่มีปัญหา ได้โปรดตามข้ามา…”

อู๋เสี่ยวฟางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบผงกศีรษะอย่างแข็งขัน ใบหน้าเขียวช้ำ ยันกายลุกขึ้นยืนอย่างโรยแรง แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัยจนอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่คิดจะถามข้าสักหน่อยหรือ ว่านี่คือเรื่องราวใดกันแน่?”

หลินเป่ยเฉินพูดเหมือนไม่สนใจว่า “ทำไมต้องถาม? เดี๋ยวไปถึงที่นั่นข้าก็รู้อยู่ดี”

อู๋เสี่ยวฟางอยากร้องไห้นัก แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาอีกแล้ว

“ถ้างั้นเจ้าจะทุบตีข้าเพื่ออะไรเล่า? ยังไงข้าก็ต้องพาเจ้าไปที่นั่นอยู่แล้ว หรือว่าเจ้าแค่อยากหาข้ออ้างทุบตีข้าเท่านั้น?”

2 เค่อต่อมา

ห่างจากค่ายที่พักมาประมาณ 30 ลี้ เป็นที่ตั้งของทะเลสาบรูปทรงพระจันทร์ดวงเล็กแสนสวยงาม

หลินเป่ยเฉินมองเห็นเถาว่านเฉิงกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมทะเลสาบอย่างสบายอารมณ์

มีศิษย์ที่เป็นลูกน้องของเถาว่านเฉิงยืนรวมกลุ่มกันคอยอารักขาความปลอดภัยให้ผู้เป็นหัวหน้าอยู่บริเวณริมน้ำ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ตลอดระยะเวลา 9 วันที่ผ่านไป คนกลุ่มนี้ต่างทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ต่างจากแก๊งอันธพาลขนาดเล็ก

วูบ!

เบ็ดตกปลากระตุกอย่างแรง

“ฮ่าฮ่า ปลากินเหยื่อแล้วสิ”

เถาว่านเฉิงดึงเบ็ดตกปลาขึ้นมาและจัดการปลดปลาตัวใหญ่ออกจากตะขออย่างเชื่องช้า ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็หันหน้ามายิ้มเยาะให้หลินเป่ยเฉิน “ว่าไง หลินเป่ยเฉิน ข้าไม่คิดเลยนะว่าเศษขยะไร้ค่าอย่างเจ้าจะห่วงใยคนอื่นเช่นนี้ ถึงกับกล้ามาหาข้า อย่างน้อยเจ้าก็ยังไม่ขี้ขลาดเกินไป”

“เลิกทำตัววางมาดได้แล้ว” หลินเป่ยเฉินถามออกไปด้วยความรำคาญใจ “เยว่หงเซียงอยู่ที่ไหน?”

เถาว่านเฉิงใบหน้ากระตุก โยนเบ็ดตกปลาทิ้งไป แล้วปรบมือส่งสัญญาณ

พรึบ! พรึบ!

ห่างออกไป ดงหญ้าแหวกออกเป็นทาง

เด็กสาวผู้หนึ่งร่างกายถูกฝังอยู่ใต้ดินทั้งตัว โผล่ขึ้นมาเพียงศีรษะที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงเท่านั้น

จะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่เยว่หงเซียง?

ผมเผ้าที่เคยผูกมัดอย่างเรียบร้อยสะอาดตา บัดนี้ยุ่งเหมือนกองฟาง ปากของนางแข็งค้าง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยสักนิด

มีศิษย์หญิง 4 คนกำลังชี้กระบี่อยู่รอบศีรษะของเยว่หงเซียง

เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว ไฟโทสะของหลินเป่ยเฉินก็ลุกโชนขึ้นมาทันที

เขาถลันกายจะกระโดดเข้าไปหาเยว่หงเซียงพร้อมกับคำรามว่า “พวกเจ้าเล่นสกปรกเกินไปแล้ว”

“เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นจะดีกว่า” เถาว่านเฉิงคลี่ยิ้มเยือกเย็น “ไม่งั้นนางเจ็บตัวแน่”

หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักอยู่กับที่ทันที ได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “การแข่งขันครั้งนี้มีกฎ ห้ามทำให้คนอื่นบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าทำอะไรนาง”

เถาว่านเฉิงยิ้มแย้มเหยียดหยาม แล้วกล่าว “ทำให้บาดเจ็บสาหัสไม่ได้ แต่ทำให้บาดเจ็บธรรมดาได้ไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง เครื่องรางประจำตัวนางก็อยู่ในมือของเราแล้ว ถ้าข้าออกคำสั่ง เครื่องรางของนางก็จะถูกทำลายทันที ถ้าเจ้าอยากจะทำให้เยว่หงเซียงต้องออกจากการแข่งขันครั้งนี้ไปเพราะความโง่เขลาของเจ้าเอง จะลองดูก็ได้”

หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไร

เขาเชื่อว่าอย่างไรเสียเยว่หงเซียงก็คงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะนี่คือการแข่งขันชิงคะแนน ไม่ใช่การต่อสู้ที่หมายมั่นเอากันถึงตาย

และการฆาตกรรมก็ผิดกฎหมาย

เถาว่านเฉิงไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น

แต่หมอนั่นย่อมกล้าสั่งให้ลูกน้องทำลายเครื่องรางประจำตัวนางได้แน่นอน

ถ้าหากเยว่หงเซียงต้องมาตกรอบไปเพราะเรื่องนี้…หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้จะชดใช้นางอย่างไรอีกแล้ว

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาเอาแต่มุ่งมั่นตามหาเข็มกลัดดารา ไม่มีเวลาล่าสัตว์หรือรับประทานอาหารด้วยซ้ำ หลินเป่ยเฉินจะรอคอยผลไม้ป่าจากเยว่หงเซียงเพื่อรับประทานดับความหิว บางคืน นางก็จะนำเนื้อย่างมาให้เขากิน แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะเคยแบ่งไก่ย่างให้นางรับประทานก็ตาม แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณเยว่หงเซียงมากมายนัก ดังนั้นจึงตัดสินใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะอย่างไรเขาก็ต้องช่วยนางให้ผ่านเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายให้ได้

หากตอนนี้หลินเป่ยเฉินทำอะไรวู่วามลงไป เยว่หงเซียงก็จะถูกคัดออกจากการแข่งขัน และสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็พูดว่า “เจ้าต้องการอะไร?”

เถาว่านเฉิงแสยะยิ้มด้วยความพอใจ “มันต้องอย่างนี้ พวกเราร่วมมือกันนั่นแหละดีแล้ว อันที่จริงเป้าหมายของข้าไม่ใช่เจ้าหรอก…ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ เศษขยะอย่างเจ้า ไม่มีค่ามากพอที่จะเป็นเป้าหมายของข้าตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนรักของหลิงเฉิน ข้าก็จะใช้เจ้าบังคับให้นางต้องมาที่นี่”

หลินเป่ยเฉินพลันเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง “เจ้าอยากใช้ข้าล่อให้นางมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

เถาว่านเฉิงตอบว่า “ถูกต้อง”

หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะนางได้หรือไง?”

ถึงเขาจะไม่เคยปะทะฝีมือกับหลิงเฉินมาก่อน แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พื้นฐานพลังจิตของหลินเป่ยเฉินได้ยกระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว มันทำให้ประสาทสัมผัสในด้านต่างๆ ของเด็กหนุ่มฉับไวมากยิ่งขึ้น รวมถึงเขายังสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่อยู่รอบตัวได้เช่นกัน และสัมผัสเหล่านั้นก็บอกหลินเป่ยเฉินว่า หลิงเฉินมีรัศมีอันตรายแผ่ออกมาจากร่างกายน่ากลัวมากกว่าเถาว่านเฉิงนับสิบเท่า

ต่อให้ใช้คนทั้งสามสิบกว่าคนกลุ่มนี้รุมเล่นงานนาง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะหลิงเฉินได้ด้วยซ้ำ

“ข้าย่อมเอาชนะนางไม่ได้อยู่แล้ว ก็ควรอยู่หรอกที่หลิงเฉินจะภูมิใจในตัวเองขนาดนั้น” เถาว่านเฉิงมีดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความเคียดแค้นขณะกล่าวต่อไปว่า “แต่นางอวดดีมากเกินไป นางไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ข้าจึงไม่ใช่คนเดียวที่อยากแก้แค้นนาง เจ้าลองคิดดูให้ดีเถิด หากยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำชั้นเรียนปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่หลวง ไม่สิ ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่งไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้าย มันจะเกิดอะไรขึ้น?”

หลินเป่ยเฉินคิดตามสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามบอก ทำให้เขาตกตะลึงไม่น้อย จึงต้องโต้แย้งกลับไปว่า “แต่ข้ากับนางไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ต่อให้เจ้าจับตัวข้าได้ นางก็คงไม่มาหรอก”

“เฮอะ เจ้าจงภาวนาให้นางมาดีกว่า” เถาว่านเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย “พวกเรา จับตัวมันไปฝังดิน”

ศิษย์ชายคนหนึ่งเดินถือเชือกออกมาข้างหน้า

“ช้าก่อน” หลินเป่ยเฉินร้องเสียงหลง “เจ้าจะมัดมือมัดเท้าข้าก็ได้ แต่จะเอาข้าฝังดินไม่ได้เด็ดขาด ข้ามีพลังธาตุน้ำ จุดอ่อนของข้าคือการสัมผัสพื้นดิน”

เถาว่านเฉิงไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง

“ธาตุน้ำอย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มตัวร้ายกาจหัวเราะเยาะ “ไม่เป็นไร งั้นจับมันโยนลงทะเลสาบซะ”

อีกไม่กี่อึดใจต่อมา

ตู้ม

หลินเป่ยเฉินถูกจับมัดทั้งตัวเป็นห่อบ๊ะจ่างโยนลงไปในน้ำตามคำสั่ง

กระบี่คุณธรรมของเขาในขณะนี้ถูกส่งมอบให้แก่อู๋เสี่ยวฟาง

“เอากระบี่ของมันไปให้หลิงเฉินดู บอกนางว่าถ้าไม่อยากให้หลินเป่ยเฉินตกรอบ นางต้องมาหาเราที่ทะเลสาบแห่งนี้” เถาว่านเฉิงออกคำสั่ง

อู๋เสี่ยวฟางรีบเดินถือกระบี่ไปหาหลิงเฉินโดยไม่รอช้า

แผนการทุกอย่างถูกวางอย่างรัดกุม ตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันของหลิงเฉินอยู่ภายใต้การสอดส่องของเถาว่านเฉิงและลูกน้องตลอดเวลา

“นางไม่มาแน่” หลินเป่ยเฉินที่ลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือผิวน้ำส่งเสียงตะโกน “นางก็แค่ล้อข้าเล่นเท่านั้น เจ้าไม่เห็นหรือไงว่านางไม่ได้มาหาข้าหลายวันแล้ว?”

“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเกิดนางไม่มาจริงๆ เจ้าควรห่วงตัวเองจะดีกว่า”

เถาว่านเฉิงหย่อนกายนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งและตกปลาต่อไป

หลินเป่ยเฉินตะโกนขึ้นมาจากทะเลสาบอีกครั้งว่า “ข้ายอมแพ้แล้ว แต่เจ้าปล่อยตัวเยว่หงเซียงไปก่อนได้หรือไม่? อย่างน้อยเจ้าก็เป็นอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง กล้ารังแกสตรีได้อย่างไร? เจ้ากำลังทำให้สถาบันของตัวเองเสื่อมเสียเกียรติอยู่นะ รู้ตัวหรือเปล่า”

เถาว่านเฉิงคิดตามที่อีกฝ่ายพูดเล็กน้อย ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็ไม่ควรต้องกักขังเยว่หงเซียงอีกต่อไป

“ขุดนางขึ้นมา แล้วเฝ้าเอาไว้ให้ดี”

หลังจากนั้น เด็กสาวแก่เรียนก็ถูกขุดขึ้นจากพื้นดินเหมือนแคร์รอตต้นหนึ่ง ก่อนจะถูกจับมามัดติดกับต้นไม้ที่อยู่ริมฝั่ง ที่พวกเขายังไม่ปล่อยตัวนางออกไปในตอนนี้ ก็เพราะกลัวว่าเยว่หงเซียงจะนำเรื่องไปบอกคนอื่น

หลินเป่ยเฉินลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ

เด็กหนุ่มบิดข้อมือ พลังงานจากวิชา ‘กระบี่เร้นกาย’ ระเบิดออกมา แรงกระแทกของมวลพลังงานทำให้เชือกที่มัดข้อมือเขาอยู่ขาดผึงไปทันที

ทว่าหลินเป่ยเฉินยังเอามือไขว้หลัง แกล้งทำเป็นว่ายังถูกมัดมืออยู่ต่อไป

เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็สามารถสะบั้นเชือกที่รัดพันตลอดร่างกายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

เยี่ยมไปเลย

ทีนี้ก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว

ตอนนี้ เขาก็แค่ต้องไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจไปก่อน

อยากรู้จริงว่าเถาว่านเฉิงกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่

หลินเป่ยเฉินรอคอยด้วยความอดทน

2 เค่อให้หลัง อู๋เสี่ยวฟางก็เดินกลับมาอีกครั้ง

สภาพของเด็กหนุ่มแย่ยิ่งกว่าเดิม จมูกเขียวช้ำบวมโต เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เหมือนถูกช้างไล่เหยียบมาก็ไม่ปาน อีกทั้งเวลาเดินทุกย่างก้าว กระดูกก็จะส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บตลอดเวลา

และร่างผอมบางที่เดินตามมาด้านหลัง ก็คือเทพธิดาผู้สูงส่ง หลิงเฉิน