ตอนที่ 78 ยุให้รำ ตำให้รั่ว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 78 ยุให้รำ ตำให้รั่ว

เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนั้น ปี้จูก็รีบหยิบเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาคลุมให้อันหลิงเกอ เดิมทีนางสวมเสื้อกันหนาวตัวนอกปักลายดอกกล้วยไม้สีขาวไว้อยู่แล้ว ทว่าช่วงต้นฤดูใบใบผลิเมื่อตกค่ำก็เริ่มมีความหนาวเย็นมากขึ้น

“ข้างนอกลมแรงมากเจ้าค่ะ คุณหนูต้องดูแลร่างกายให้มาก”

จากนั้นก็ถือโคมไฟแล้วเดินตามอันหลิงเกอไปยังโถงบรรพบุรุษ

ณ โถงบรรพบุรุษจวนโหว

บริเวณโถงแห่งนี้เป็นจุดเปลี่ยว ปกติน้อยคนจักมาที่นี่ แม้แต่บ่าวลาดตระเวนก็มิค่อยเดินผ่านบริเวณนี้ พอเริ่มเข้าสู่ช่วงพลบค่ำก็มีลมพัดผ่านระเบียงจนวังเวงยิ่งนัก เสียงลมที่พัดผ่านหูไปนั้นราวกับมีวิญญาณเดินผ่านก็มิปาน

ปี้จูจับชายเสื้อของอันหลิงเกอเอาไว้แน่น ใบหน้าซีดเผือดและเดินแนบตัวติดกับอันหลิงเกอ “คุณหนู เรากลับดีไหมเจ้าคะ? มิว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ลงโทษฮูหยินรองตั้งหนึ่งวัน เรามาพรุ่งนี้เช้าก็ได้นะเจ้าคะ”

อันหลิงเกอเห็นท่าทางของปี้จูสั่นกลัวเยี่ยงนี้ก็นึกขันขึ้นมา นางอยู่กับปี้จูมากว่าสิบปีโดยมิรู้ว่าปี้จูกลัวผี แต่บนโลกจักมีผีสางตนใดที่น่ากลัวกว่านางซึ่งตายและฟื้นขึ้นมาใหม่

อันหลิงเกอจับมือปี้จูไว้แล้วแย่งโคมไฟมาถือเอง “เมื่อมาถึงแล้วเราก็ดูอี๋เหนียงหน่อยเถิด ข้าจักให้นางรู้ว่าหลายปีมานี้นางทำร้ายข้าไปโดยเสียเปล่า”

เมื่อนึกย้อนถึงคำสั่งสอนที่อี๋เหนียงมีต่อนางในชาติก่อน อันหลิงเกอจดจำได้ดีว่าอี๋เหนียงสอนให้นางเอาแต่ถกเถียงผู้อาวุโส สอนให้โง่เขลา

ขอเพียงเป็นสิ่งมิดี อี๋เหนียงจักสอนให้นางหมดสิ้น สุดท้ายยังร่วมมือกับอันหลิงอีทำร้ายนางและปี้จู

จนถึงตอนนี้นางจักลืม ‘บุญคุณ’ ของอี๋เหนียงได้เยี่ยงไร ?

ปี้จูรั้งคุณหนูมิได้จึงตามใกล้ชิดให้มากขึ้น นางพยายามเอ่ยออกมาโดยมิทำเสียงสั่น “ดี…ดีเจ้าค่ะ ในเมื่อมาถึงแล้วก็ไปดูฮูหยินรองกันเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอถือโคมไฟแล้วเดินในโถงบรรพบุรุษทีละก้าว แสงไฟสว่างในความมืดและบนศาลาก็ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่

หลี่ซื่อได้ยินเสียงดังจากด้านหลังก็รีบหันไปมอง เมื่อพบว่าเป็นอันหลิงเกอจึงหัวเราะเยาะออกมา “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ? มาเยาะเย้ยข้าเช่นนั้นหรือ ? ”

“หลายปีมานี้อี๋เหนียงดูแลข้า จนวันนี้อี๋เหนียงทำความผิดถูกท่านย่าลงโทษ ข้าจะมาดูอี๋เหนียงก็มิแปลก” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้มมุมปาก แววตาลึกลับจนมิอาจคาดเดาความคิด

“มาดูข้าอย่างนั้นหรือ ? ” หลี่ซื่อเอ่ย “เจ้าทำให้ข้าโดนท่านแม่ลงโทษ แล้วตอนนี้มาเยี่ยมข้า ช่างแสแสร้งเสียจริง”

“อี๋เหนียงกล่าวมิถูกต้อง” อันหลิงเกอส่ายศีรษะแล้วส่งสายตาเย้ยหยันให้หลี่ซื่อ “หากมิใช่อี๋เหนียงสั่งแม่นมจ้าวนำตุ๊กตามนต์ดำไปวางใต้หมอนของข้า ท่านย่าจักลงโทษท่านด้วยเหตุอันใด ? อี๋เหนียงกระทำตนเองแล้วกล่าวหาว่าข้าทำร้ายได้เยี่ยงไร ? ”

“เจ้า ! ช่างสารเลว” หลี่ซื่อตวาดด้วยความโกรธ แววตาดุร้ายจ้องมองอันหลิงเกอโดย

มิเสแสร้งอีกต่อไป “หากมิใช่เพราะข้าใจอ่อน แล้วคนสารเลวเยี่ยงเจ้าจักมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้หรือ ? เจ้าคงไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นานแล้ว”

“เพราะเหตุนี้ข้าต้องขอบคุณอี๋เหนียงยิ่งนัก หากท่านมิปล่อยให้ข้ารอดชีวิตมาจนทุกวันนี้ ข้าคงไร้โอกาสแก้แค้นท่านแน่” อันหลิงเกอกระตุกยิ้มมุมปาก แววตาฉายความโกรธแค้นออกมา “การตายของท่านแม่ มิอาจมิเกี่ยวกับอี๋เหนียงได้ หากเรียนให้ท่านพ่อทราบ ท่านคิดว่าจักเป็นเยี่ยงไร ? ”

อันหลิงเกอทราบเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร ?

ผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีน้อยมาก นอกจากซิงฟู่แล้ว คนอื่นก็ถูกนางสังหารหมดจึงเป็นไปมิได้ที่เรื่องนี้ถูกกระจายออกไป

หลี่ซื่อรู้สึกตกตะลึง ทว่าปากยังมิยอมกล่าวความจริงออกมา

“เฮอะ! เจ้าอย่าพูดใส่ความข้า ” หลี่ซื่อส่งเสียงเฮอะออกมา พลันมองอันหลิงเกอด้วยสายตาเย็นชา “การตายของแม่เจ้าเกี่ยวอันใดกับข้า ใครก็รู้ว่านางป่วยเป็นโรครักษามิหาย เจ้าอย่ากล่าวหาข้าเยี่ยงนี้”

“เกี่ยวหรือมิเกี่ยว อี๋เหนียงย่อมรู้แก่ใจดี ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เรื่องที่อี๋เหนียงให้แม่นมจ้าวอยู่ข้างกายข้าเพื่อทำงานให้ท่าน ข้าคิดว่าแผนการนี้ไร้สาระสิ้นดี”

นางหันหลังให้หลี่ซื่อแล้วเดินวนไปมารอบตัวอีกฝ่าย สายลมพัดผ่านเป็นเหตุให้โถงบรรพบุรุษเย็นเยือกและวังเวงยิ่งนัก

“ตอนที่ท่านแม่แต่งเข้าจวนโหว แม่นมจ้าวก็อยู่ข้างกายท่านแม่มาโดยตลอด ต่อมานางก็ได้เป็นแม่นมของข้าและเลี้ยงดูข้านับสิบปี ความสัมพันธ์เยี่ยงนี้มิใช่ว่าจบก็จบได้เลย หรือท่านคิดว่าเงินมิเท่าไรจักสามารถซื้อความจงรักภักดีของแม่นมจ้าวได้เล่า ? ”

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ก็เป็นเหตุให้หลี่ซื่อตกตะลึง อยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในหัว

อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงมีชัย “เพื่อความปลอดภัยของข้า แม่นมจ้าวเกลี้ยกล่อมให้ข้าแกล้งทำเป็นคนโง่ต่อหน้าอี๋เหนียงและทุกคน ปล่อยให้ผู้คนในจวนหัวเราะเยาะข้า ทว่าเวลานี้ข้ามิต้องแสร้งทำอีกต่อไป เนื่องจากข้าได้หมั้นกับมู่ซื่อจื่อแล้ว”

ความคิดของหลี่ซื่อปรับได้เร็วมาก นางสามารถเข้าใจทันที “ดี ! ข้าก็ว่าเหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปราวมิใช่คนเดิม นอกจากมิทำตัวโง่เขลาต่อข้าแล้วยังเป็นต้นเหตุให้อีเอ๋อขายหน้าผู้คนมิรู้กี่ครั้ง ที่แท้ก็เพราะเจ้ามีจวนอ๋องมู่ให้พึ่งพาจึงมิเห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วแสดงตัวตนแท้จริงออกมาเยี่ยงนี้” นางกล่าวจบก็หันไปจ้องอันหลิงเกอด้วยแววตาดุร้าย “หากเจ้าคิดว่าสามารถล้มข้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิด”

หลี่ซื่อลุกจากฟูกวงกลมที่นางนั่งคุกเข่าแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอันหลิงเกอ

ใบหน้าแฝงไปด้วยความร้ายกาจ ภายในดวงตาฉายแววเย็นชา นางคิดว่าขอเพียงหลี่กุ้ยเฟยยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ท่านโหวก็มิสามารถทิ้งนางได้แน่นอน เนื่องจากนางอยู่กับอันอิงเฉิงมาหลายปีจึงมั่นใจว่าคิดถูกแล้ว

อันหลิงเกอรับรู้ได้ว่าหลี่ซื่อกำลังคิดอันใดอยู่จึงยกยิ้มให้ “อี๋เหนียงกล่าวถึงอันใดอยู่เล่า ข้ามิเคยคิดทำเยี่ยงนั้นเลย”

สิ่งที่นางคิดมิใช่ทำให้หลี่ซื่อล้ม แต่เป็นการทำให้หลี่กุ้ยเฟยล้มต่างหาก

จากนั้นก็สังหารอี๋เหนียงและอันหลิงอีเพื่อแก้แค้นให้มารดา

เมื่อได้ฟังคำเสแสร้งของอันหลิงเกอ แววตาของหลี่ซื่อก็เย็นชา นางกลับไปคุกเข่าที่ฟูกวงกลมแล้วกล่าวด้วยความโกรธ “หากเจ้ามาหาข้าเพราะต้องการพูดเพียงเท่านี้ก็เชิญเจ้ากลับไปเถิด มิจำเป็นต้องได้ใจ เพราะอีกมินานข้าจักทำให้เจ้ายิ้มมิออก ! ”

นี่เป็นการข่มขู่ออกมาโดยตรง ในเมื่อมิมีผู้ใดอยู่ด้วยหลี่ซื่อจึงมิต้องเสแสร้งแกล้งทำดีอีกต่อไป

อันหลิงเกอทำเพียงยิ้มมุมปาก แววตายังคงมองไปที่หลี่ซื่อ ท่ามกลางความเงียบปรากฏไฟแห่งความเคียดแค้นออกมาจากดวงตา

หลังจากนั้นนางก็เดินนำปี้จูออกจากโถงบรรพบุรุษเพื่อกลับไปที่เรือน เมื่อถึงเรือนฉีอู๋ ปี้จูก็ยกมือกุมหน้าท้องของตนแล้วหัวเราะลั่น

“คุณหนูเจ้าคะ วิธีของท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก” นางชื่นชมพร้อมทิ้งตัวลงเก้าอี้แล้วทำท่ายกนิ้วหัวแม่มือให้อันหลิงเกอ