ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 69 โอกาสหาได้ยาก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บนหน้าผาแห่งหนึ่งไกลออกไปจากเมืองชมตะวัน มีคนจำนวนหนึ่งยืนมองเมืองชมตะวันอยู่เงียบๆ

แสงแดดตกกระทบไปยังร่างกายของทุกคน ทำให้ชุดคลุมสีทองของพวกเขาเจิดจ้าดึงดูดสายตา

ผู้นำคณะเป็นชายวัยกลางคน ซึ่งก็คือทะยานบูรพา หนึ่งในเจ็ดสุริยัน ผู้อาวุโสแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ข้างกายของเขามีชายชราที่สวมชุดคลุมสีทองคนหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้แล้วยังมีจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ อีกด้วย

ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มสวมชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ หนวดเคราปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้า มองดูอาจหาญไร้เทียมทาน แต่ดวงตาคู่หนึ่งกลับเต็มไปด้วยแววของความเยือกเย็นดุจอสรพิษ

สีหน้าของชายหนุ่มยังคงซีดเซียวอยู่บ้าง สายตาที่มองไปยังเมืองชมตะวันเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น

ซึ่งเขาก็คือเซียวเซิงนั่นเอง

บัดนี้ความคับแค้นในใจของเขาที่มีต่อเยี่ยนจ้าวเกอนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าที่มีต่อเฟิงอวิ๋นเซิงเลยแม้แต่นิดเดียว

เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่ทำให้เขาพ่ายแพ้ ทว่ายังทำให้เขาขายหน้าอย่างยิ่ง อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังนำเรื่องที่เขาถูกเฟิงอวิ๋นเซิงเล่นงานช่วงล่าง ไปป่าวประกาศต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย

เซียวเซิงถูกฉีกหน้าอย่างไม่เหลือชิ้นดี

เรื่องที่เขาถูกเฟิงอวิ๋นเซิงทำร้าย ทางสำนักปิดเงียบมาโดยตลอด แม้แต่คนในเองก็รู้รายละเอียดเรื่องนี้น้อยนิดนัก

ทว่าบัดนี้กลับรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง

ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้มองเขาอยู่ ทว่าเซียวเซิงที่ในอยู่ในกลุ่มคนขณะนี้ ก็ยังรู้สึกได้ว่ารอบข้างมีแต่สายตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกเยาะหยัน ทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม

ความรู้สึกร้อนรนและอับอายนี้ก็เปลี่ยนเป็นความแค้นใจทั้งหมด และไปรวมกันอยู่ที่ตัวของเยี่ยนจ้าวเกอนับไม่ถ้วน

ชายชราในชุดคลุมสีทองหันไปมองทะยานบูรพา “แจ้งไปทางสำนักให้ส่งยอดฝีมือมาอีก ปล่อยให้จบเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

“ปีที่แล้วเมิ่งหว่านทำมงกุฎจันทราหลุดมือไป ท่านเจ้าสำนักก็เข้าฌานมาไม่ยอมออกเสียที เห็นทีคงจะมีคนลืมไปแล้ว ว่าปัจจุบันนี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเราต่างหาก ที่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง!”

“อาณาจักรถังตะวันออกอยู่ที่นภาพิภพแล้วอย่างไรหรือ เพียงแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าพอใจ ก็ถล่มพวกมันให้ราบได้เช่นกัน”

คำพูดนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่พูดได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงจะเป็นการหมิ่นประมาทความสามารถของทะยานบูรพา ทำให้ประเขาไม่พอใจแน่

ทะยานบูรพายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ฉายแสงเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน

เขามองเมืองชมตะวันที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบๆ “การวางแผนที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

ชายชราในชุดคลุมสีทองส่ายหน้าอย่างช้าๆ “ยังไม่รอบคอบพอ”

“พวกเรายังเตรียมการยังไม่เรียบร้อย ฝั่งเขากว่างเฉิงเองก็เช่นกัน” ทะยานบูรพากล่าว

“แต่ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรในครั้งนี้ กลับส่งเสริมพวกเรา อีกทั้งยังทำให้เรามีโอกาสที่จะทำสำเร็จ”

เส้นประสาทของชายชราชุดคลุมในสีทองพลันขมวดเกร็ง “หลักการนี้ไม่ผิด”

ฝ่ายทะยานบูรพาหันกลับไปมองเซียวเซิง “ข้าไม่สนปัจจัยอื่น เยี่ยนจ้าวเกอคิดจะอยู่เหนือเจ้า ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร”

“ข้าด้อยกว่าเขาขอรับ” เซียวเซิงสูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวตอบอย่างยากลำบาก

หนึ่งในเจ็ดสุริยัน ทะยานบูรพามองไปทางเมืองชมตะวันอีกครั้ง “เจ้าอยู่สูงกว่าเขาระดับหนึ่ง แต่ก็ยังสู้เขาไม่ได้ ถ้าหากอยู่ในระดับเดียวกันล่ะก็ ผลสุดท้ายก็เกรงว่าคงไม่ดีกว่าหยวนหลงเท่าไร”

เซียวเซิงกำหมัดแน่น พลางก้มศีรษะลง

“หากกล่าวเช่นนี้แล้ว เหมือนข้าได้เห็นจ่านตงเก๋ออีกคน และเยียนตี๋อีกคน กระทั่งศักยภาพก็อาจจะน่าทึ่งยิ่งกว่า” ทะยานบูรพากล่าวเสียงเรียบ

“น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้นกล้างามเช่นนี้ กลับงอกอยู่ที่เขากว่างเฉิง”

“ถ้าสามารถตัดตอนมันก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาได้ นั่นนับเป็นทางที่ดีที่สุด”

เซียวเซิงได้ยินดังนั้น ลมหายใจก็รัวเร็วขึ้นมาในทันที ทะยานบูรพาไม่แม้แต่จะหันกลับมา “อดทนรอไปก่อน เจ้าอาจจะมีโอกาสได้เชือดเยี่ยนจ้าวเกอด้วยมือของเจ้าเอง เพื่อลบล้างความอับอายให้กับตัวเอง”

“ได้ฆ่าเยี่ยนจ้าวเกอด้วยมือของข้าเอง เป็นสิ่งที่ข้าต้องการยิ่งนัก” ลมหายใจของเซียวเซิงเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งลง กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวลากับจ้าวซื่อเฉิงแล้วเดินจากไป เขาพบเข้ากับอาหู่ที่ยืนรออยู่ที่นั่น ฝ่ายอาหู่เดินมาด้านหน้า ยิ้มอย่างจริงใจแล้วพูดว่า “คุณชาย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ศิษย์น้องเฟิงจะถูกส่งตัวกลับไปที่สำนัก ส่วนพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อ ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีกหน่อย”

“เรื่องของศิษย์น้องหลิน ข้ากับเหยียนซวี่จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เหยียนซวี่จะมอบสิ่งของที่อยู่ในมือของเขาให้คนที่เกี่ยวข้อง แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่ตายใจง่ายๆ หรอก”

เมื่อเขากล่าวถึงตรงนี้ ก็ออกคำสั่งเพิ่มอีกว่า “อาหู่ เรื่องที่ศิษย์น้องหลินถูกทำร้าย ให้คนคอยจับตาดูคำวิพากษ์วิจารณ์หน่อย หากมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ให้มารายงานข้าทันที”

อาหู่เกาหัว “คุณชายขอรับ การเปลี่ยนแปลงแบบไหนหรือขอรับ”

“ทิศทางในตอนนี้ก็คือ ศิษย์น้องหลินเกิดอาการหึงหวงจึงมาเกาะแกะข้า แล้วข้ารู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว จึงพลั้งมือสังหารนาง” เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง “หากทิศทางเปลี่ยนเป็นศิษย์น้องหลินยังมีความอาลัยอาวรณ์กับเยี่ยจิ่ง กลับสู่อ้อมกอดของเยี่ยจิ่งอีกครั้ง ข้าจึงโกรธแค้นจนสังหารนาง เช่นนั้นก็แสดงว่า…”

“เหยียนซวี่อาจจะหาตัวเยี่ยจิ่งพบแล้ว”

“หากข่าวลือออกไปเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องทำลายชื่อเสียงของข้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำลายความจริงของข้าได้ การแพร่กระจายข่าวลือออกไปเป็นเพียงการปูทางอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างสบายใจว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าครั้งนี้เหยียนซวี่…คงคิดจะทำให้ข้ากลับไปที่สำนักอีกไม่ได้ตลอดกาล”

อาหู่ไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา “เขาคิดจะสังหารคุณชายหรือขอรับ”

“แต่เป็นเพราะเหตุใดกัน ไม่มีเหตุผลนี่ขอรับ คุณชายทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่หลายครั้ง แม้ว่าเขาจะโกรธเกรี้ยว แต่ก็คงไม่ถึงกับจะเกิดความคิดจะฆ่าจะแกงกันนี่ขอรับ”

“อย่างไรเสียคุณชายกับศิษย์รุ่นหลังทั่วไปก็แตกต่างกัน อย่าบอกนะว่าเป็นท่านผู้อาวุโสฟาง…”

ชายหนุ่มเกิดความลังเลพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ความต้องการของท่านลุงรองหรอก น่าจะเป็นความคิดของเหยียนซวี่เอง หรืออาจจะเป็นข้าที่รู้สึกไปเอง แต่การตายของศิษย์น้องหลินครั้งนี้ เหยียนซวี่มีพฤติกรรมแปลกๆ ไป”

อาหู่กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “เขาเสียสติไปแล้วหรือ นี่มันจะเกินไปแล้วนะขอรับ”

“ศักยภาพที่คุณชายแสดงออกมาในขณะนี้ก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันแล้วนะขอรับ ท่านผู้อาวุโสฟางคงจะหาศิษย์รุ่นหลังที่จะต่อกรกับท่านได้ยากนัก”

“หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับท่าน อย่าว่าแต่นายท่านเลย ท่านเจ้าสำนักก็คงจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “แน่นอนว่าเขาคงไม่ยอมแบกรับไว้เองอยู่แล้ว เจ้าเยี่ยจิ่งนั่นเหมาะจะเป็นแพะรับบาปที่สุดอย่างไรเล่า”

อาหู่แสยะยิ้ม แล้วเปิดปากว่า “ลำพังแค่เจ้าเยี่ยจิ่งนั่นหรือจะสังหารคุณชายได้”

ชายหนุ่มแบมือทั้งสองข้างออก “นี่ก็เพิ่งจะเกิดปัญหากับคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปหมาดๆ ไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหัวหน้าค่ายชื่อหลิง และเฒ่ามารหัวขวานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นอีกด้วย”

“หากข้าสิ้นชีพในมือของมหาปรมาจารย์เหล่านั้น นั่นคงเป็นจุดจบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว”

“หากจำเป็นต้องให้เหยียนซวี่ลงมือเอง มหาปรามาจารย์ที่พูดถึงไปนั้น ไม่ว่าใครก็มีความสามารถและความตั้งใจที่จะเล่นงานข้าให้บาดเจ็บสาหัสได้ เขานำมาบังหน้าได้ทั้งนั้น จากนั้นก็ให้เยี่ยจิ่งแทงข้าดาบสุดท้ายอีกหนหนึ่ง”

“หากเหยียนซวี่คิดจะสังหารข้า ก็ง่ายกว่ามหาปรมาจารย์ภายนอกพวกนี้เยอะ”

“เมื่อท่านผู้อาวุโสฉินมาแล้ว และหยุดยั้งคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว แต่กลับกันคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้เบี่ยงเบนความสนใจของท่านผู้อาวุโสฉินไปแล้วเช่นกัน”

“ด้วยเหตุนี้เหยียนซวี่จึงมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้”

อาหู่พูดอย่างจริงจังว่า “คุณชาย ข้าขอเสนอท่านอย่างจริงจังว่า ให้ท่านกลับไปที่สำนักพร้อมกับแม่นางเฟิงเลยเถิดขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอถอนหายใจออกยาวๆ แล้วเอามือไขว้หลัง เดินไปยิ้มไป พลางกล่าวว่า “อาหู่ ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้ากำลังพิจารณาข้อเสนอที่เจ้ากล่าวมาอย่างจริงจัง ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงขณะนี้”

“แต่ว่าไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของตัวข้าเอง แต่เป็นพวกเจ้าที่ติดตามอยู่ข้างกายข้า ไม่ให้ถูกลากลงเหวไปด้วยกัน”

“หากพูดจากตัวข้าเองล่ะก็…” ใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยนจ้าวเกอเริ่มเยือกเย็นลง “แม้ว่าเหยียนซวี่จะไม่จัดการข้า แต่ข้าก็ยังอยากจะจัดการเขาเสียเหลือเกิน!”

“คราวนี้แตกต่างจากเหวินหนิงจือหรือชุยซินก่อนหน้านี้ คิดอยากจะกำจัดผู้อาวุโสคุมการณ์คนหนึ่ง โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ”

ชายหนุ่มหัวเราะเหอะๆ “แต่ในทางกลับกัน การกำจัดผู้อาวุโสคุมการณ์คนหนึ่ง ความเสียหายทางฝั่งอาจารย์ลุงรอง ก็จะไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจสองคนจะสามารถเทียบได้แน่นอน”

อาหู่กะพริบตาปริบๆ “คุณชาย นี่ท่านกำลังเล่นกับไฟอยู่นะขอรับ ไม่แน่ว่าอาจจะแผดเผาตนเองไปด้วยก็ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “บนโลกใบนี้มีเรื่องที่ไม่ต้องเสี่ยงเลยสักนิดที่ไหนกัน”

ไม่นานนัก ยอดฝีมือระดับสูงที่มาจากสำนักเขากว่างเฉิงก็เดินทางมาถึงเมืองชมตะวัน

หลังจากที่ได้พูดคุยกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว ท้ายที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงอยู่ที่ถังตะวันออกต่อ ส่วนเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นก็ตามผู้ที่เดินทางมากลับไปยังเขากว่างเฉิง

“กลับไปพักฟื้นรักษาบาดแผลและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเถอะ รอให้ข้ากลับไปที่สำนัก ฝันร้ายของเจ้าก็จะเริ่มขึ้น” เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยรอยยิ้มตาหยี “สิ่งที่กำลังรอเจ้าอยู่เป็นความทุกข์ทรมานเกินกว่าที่เจ้าคาดถึง”

เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว ยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “ทุกข์ทรมานแค่ไหนกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “ก็ประมาณ…เจ้าจะรู้สึกว่าการถูกไล่ฆ่าจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสบายเลยทีเดียว”

……………