ตอนที่ 123 การทดสอบปัญจธาตุ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ผนังและพื้นของทางเดินล้วนทำมาจากวัสดุโลหะที่ดำสนิทชนิดหนึ่ง

อันหลินไม่เคยเห็นวัสดุชนิดนี้ แต่ดำปานนั้น น่าจะทนทานเป็นอย่างมาก

“อืม ถึงทางแยกแล้ว เจ้าอัปลักษณ์ ส่องทั้งสองฝั่งให้หน่อย”

อันหลินมองเส้นทางมืดสนิทที่แยกเป็นสองทางพร้อมกับพูดขึ้นมา

เจ้าอัปลักษณ์ได้ยินก็หันมองทั้งสองฝั่ง ภายใต้แสงสว่างจากดวงตาไฟฉาย พวกเขาพบว่ามีประตูสีแดงคล้ำบานใหญ่ตั้งขวางทางทั้งสองฝั่ง

“หรือจะแยกกันดี” ลั่วจื่อผิวพูด

“เจ้าโง่หรือ! หลักการคนเยอะกำลังมากไม่รู้จักหรือ มีนักพรตตั้งเท่าใดที่ถูกโจมตีทีละคนเพราะเชื่อหลักการแยกย้ายกันน่ะ” เหมียวเถียนกลอกตาใส่ลั่วจื่อผิงพลางพูดเหน็บแนม

ลั่วจื่อผิง “…”

“งั้นพวกเราไปทางนี้ด้วยกันเถอะ” อันหลินชี้ไปทางขวามือ

ทุกคนไม่ค้าน อย่างไรเสียก็ต้องเลือกหนึ่งในสอง มีประตูขวางทั้งสองฝั่ง ไม่เห็นความแตกต่างเลย

เมื่อมาถึงหน้าประตู มันก็เปิดเองอัตโนมัติ…

ยังคงเป็นม่านแสงสีฟ้าเช่นเดิม มองไม่เห็นทิวทัศน์ด้านใน

อันหลินกำก้อนอิฐกับกระบี่แน่น ก้าวผ่านม่านแสงอย่างเชื่องช้า

อดพูดไม่ได้ว่า การที่มองไม่เห็นว่าข้างในมีสภาพอย่างไร ความรู้สึกไม่รู้เช่นนั้น มันชวนให้รู้สึกหวั่นวิตกจริงๆ

ทัศนวิสัยเปลี่ยนไป กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นฉุนประหลาด

“แหวะ…”

“นี่มันกลิ่นอะไรน่ะ น่าสะอิดสะเอียนนัก!”

อันหลินทนไม่ไหวแล้ว สมาชิกด้านหลังก็ทยอยเข้ามา ต่างก็คลื่นไส้เป็นระยะๆ เช่นกัน

ที่นี่มีไฟสีเขียว กลิ่นประหลาดคละคลุ้ง ผิวดินมีคราบสีแดงกระจัดกระจาย วัตถุพิสดารไม่ปกติทั้งหลายทำให้คิ้วของพวกเขาขมวดเป็นปม

ห้องนี้มีพื้นที่ใหญ่ มีไฟเบอร์กลาสทรงกระบอกร่วมร้อยชิ้น ด้านในบรรจุของเหลวสีแดง

สัตว์ร่างมนุษย์ถูกแช่อยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าหลับใหลหรือว่าตายไปแล้ว

ร่างเหล่านี้เต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียว บ้างก็มีปีกงอกออกจากแผ่นหลัง บ้างก็มีหางกิ้งก่า ยิ่งกว่านั้นคือส่วนหัวที่กลายเป็นศีรษะของสัตว์ป่า แลดูน่าสยดสยองผิดปกติ

“ห้องทดลองผสมข้ามสายพันธุ์…”

ซุนเซิ่งเหลียนมองตัวหนังสือบนผนังแล้วอ่านออกเสียง

ผสมข้ามสายพันธุ์?

เมื่อได้ยินคำนี้ สายตาที่มองหลอดแก้วของทุกคนก็แตกต่างไปจากเดิม

“ดัดแปลงสายพันธุ์ด้วยการผสมพันธุ์มนุษย์กับสัตว์ประหลาดงั้นหรือ” จงหย่งเหยียนขมวดคิ้ว เสียงค่อยๆ เย็นเยียบลงช้าๆ

อันหลินมองร่างกายครึ่งคนครึ่งสัตว์เหล่านี้ด้วยแววตาเจือความเวทนา

แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่การทดลองที่มืดมนก็ยังไม่หายไป ไม่แน่ว่าความปรารถนาบางอย่างอาจจะรุนแรงขึ้นก็ได้

พวกเขาเดินวนรอบห้องทดลอง นอกจากร่างที่มีรูปร่างพิลึกทั้งหลายแหล่แล้ว ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษอีก

“ไปกันเถอะ เราไปห้องลับอีกห้องกันเถอะ”

อันหลินส่ายหน้า เดินนำสมาชิกไปยังประตูของห้องลับอีกห้องหนึ่ง

สถาบันวิจัยหมายเลขแปดสิบแปดใหญ่แค่ไหน

ไม่มีใครรู้ได้

ซุนเซิ่งเหลียนที่มาจากราชวงศ์ชิงมู่แห่งแคว้นจื่อซิงแอบเผยขนาดโบราณสถานของสถาบันวิจัยอีกสองแห่งที่พวกเขาก่อตั้ง มันใหญ่กว่าเมืองติ้งอันเสียอีก

ด้วยเหตุนี้ สถาบันวิจัยหมายเลขแปดสิบแปดแห่งนี้ต้องไม่เล็กแน่นอน

หลังพวกเขาก้าวเข้าไปยังห้องลับอีกห้อง แสงสีเขียวของห้องทดลองข้ามสายพันธุ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสงสีแดง ขณะเดียวกัน ก็มีฟองอากาศเล็กๆ ปรากฏให้เห็นภายในของเหลวของหลอดแก้ว…

สภาพแวดล้อมของห้องลับห้องที่สองไม่ได้ดีไปกว่าห้องที่หนึ่งมากนัก ที่นี่เป็นห้องยา

เรียกมันว่าห้องยาก็แล้วกัน เพราะรอบๆ เต็มไปด้วยตู้กระจกใส ข้างในมียานานาชนิด และมีของเหลวหลากสีสันอยู่ด้วย

อันหลินเดินเข้าไป ลองย้ายของจากตู้กระจกใส่แหวนมิติอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวอีกแล้ว

เจ้าอัปลักษณ์ถึงขั้นว่ายกกระบองเงินขึ้นฟาดตู้กระจกอย่างแรง

แต่ตู้กระจกกลับนิ่งไม่ไหวติง กลับกันเป็นตัวมันเองที่ถูกสะเทือนจนถอยออกไปหลายเมตร

กับสิ่งของที่ได้เพียงมอง สัมผัสไม่ได้เช่นนี้ พวกเขาต่างก็ผิดหวัง

อันหลินถอนหายใจ จากนั้นเดินไปข้างหน้าต่อ ในตอนนี้เริ่มมีประตูที่ตั้งอยู่คนละฝั่งปรากฏให้เห็นอีกแล้ว

คราวนี้เขาเลือกประตูฝั่งซ้าย เพราะโดยทั่วไปแล้ว ของสำคัญมักจะอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของโบราณสถาน เช่นนั้นโอกาสในการพบเจอของดีจะมากกว่า

จากนั้นพวกเขาก็เจอของดีเข้าแล้วจริงๆ

หญิงงามสวมชุดขาวพลิ้วไหว!

“ยินดีต้อนรับผู้สอบเข้าสู่ลานทดสอบปัญจธาตุ” หญิงชุดขาวพูดด้วยน้ำเสียงแฝงอารมณ์อย่างเต็มเปี่ยม

พวกอันหลินต่างก็ชะงัก แต่ไม่นานพวกเขาก็พบความผิดปกติ

หญิงชุดขาวคนนี้เป็นร่างโปร่งแสงที่สร้างจากรังสี ไม่ใช่ร่างจริงแต่อย่างใด

“ข้าขอแนะนำตัว ข้าชื่อไป๋หลิง เป็นร่างจำแลงศูนย์กลางของสถาบันวิจัยแห่งนี้”

“การทดสอบปัญจธาตุต้องการคนอย่างน้อยห้าคน ต้องมีธาตุดินน้ำลมไฟไม้ทอง จึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ”

“สถิติเก่าของผู้ทดสอบ อัตราการรอดชีวิตของการทดสอบครั้งนี้คือเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ หากผ่านการทดสอบจะได้รับมรดกปัญจธาตุ จะรับการทดสอบหรือไม่”

สายตาของไป๋หลิงจดจ้องมาที่อันหลิน เห็นได้ชัดว่านางพอมีความสามารถในการวิเคราะห์อยู่บ้าง

รับมรดกผ่านการทดสอบงั้นเหรอ

ควรจะเป็นการเจอก้อนหินจากมุมใดสักมุม จากนั้นมีตำราลับเขียนอยู่ด้านบนนั้นไม่ใช่หรอกเหรอ!

ถึงแม้อันหลินจะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็มองสมาชิกที่เหลือเช่นเดิม

จากสายตาของสมาชิก เขารู้คำตอบแล้ว จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เริ่มทดสอบกันเลย”

ไป๋หลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ทันใดนั้น ลานทดสอบก็เริ่มสั่นสะเทือน

จากนั้น ก็มีคลื่นพลังอันรุนแรงปรากฏขึ้นห้าตำแหน่ง

มันเป็นห้าบริเวณที่แตกต่างกันออกไป เปลวไฟลุกโชน คลื่นมรกตคลั่ง รากชอนไช ดงกระบี่และก้อนหินลอยล่อง

“จะมีลูกบอลอยู่ในจุดหมายของแต่ละตำแหน่ง ถ่ายพลังปราณให้ลูกบอลพร้อมกัน ก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ” ไป๋หลิงพูดต่อ

หลังหารือกันแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ให้อันหลินไปที่ตำแหน่งธาตุน้ำ เจ้าอัปลักษณ์เป็นตำแหน่งธาตุไฟ ซุนเซิ่งเหลียนตำแหน่งธาตุทอง ลั่วจื่อผิงไปที่ตำแหน่งธาตุดิน เหมียวเถียนกับจงหย่งเหยียนไปที่ตำแหน่งธาตุไม้

อันหลินเดินไปยืนตรงหน้าตำแหน่งธาตุน้ำ บริเวณนี้มีความยาวแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ครึ่งแรกมีคลื่นซัดสาด ครึ่งหลังเป็นน้ำแข็งย้อยทะมึนทึบ

ดูแล้วไม่ยากเท่าใดนัก แต่เขาก็ไม่กล้าประมาทอยู่ดี เยื้องย่างไปข้างหน้าทีละก้าว

ครืน!

คลื่นคลั่งนับพันชั่งก็ถาโถมเข้ามาซัดใส่ร่างกายของเขา ทำให้เขาสั่นสะท้าน ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเสียจริง… แม้ว่าอันหลินจะต้านทานได้ แต่เขากลับเป็นห่วงสมาชิกคนอื่นที่อยู่ในระดับกายแห่งมรรคเหล่านั้นมากกว่า

แม้เจ้าอัปลักษณ์ที่เผชิญหน้ากับเปลวไฟจะร้อนรุ่มแทบทนไม่ไหว แต่ก็ไม่มีอันตรายถึงตาย มันเร่งฝีเท้าแล้วตรงไปที่จุดหมาย

สิ่งที่ซุนเซิ่งเหลียนต้องประจันหน้าคือดงกระบี่ แสงกระบี่คมกริบวาดวงโคจรที่อันตรายถึงชีวิต พุ่งมาทางนาง กระบี่ที่ปักอยู่บนพื้นทั้งหลายลอยห้อมล้อมตัวนางราวกับเป็นมีดบิน

แม้นางจะเชี่ยวชาญเพลงกระบี่ ท่าร่างแก่กล้า แต่การเดินหน้าก็ยังยากลำบากไม่น้อยอยู่ดี

ลั่วจื่อผิงรู้วิชาหลอมกาย เนื้อตัวแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เมื่อเจอกับก้อนหินเหาะเหินในอากาศ เขาก็ไม่หลบไม่หลีก พุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งรถถังฉบับร่างมนุษย์

เมื่อเทียบกับความยากลำบากของซุนเซิ่งเหลียนและลั่วจื่อผิงแล้ว คู่หูอย่างเหมียวเถียนและจงหย่งเหยียนกลับดูผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

จงหย่งเหยียนใช้วิชาเหาะเหินเดินอากาศเข้าสนับสนุน วิชาเหาะเหินชนิดนี้ไม่คล่องตัว เรียกได้ว่าพุ่งตรงเท่านั้น จะเลี้ยวหรือโค้งก็ไม่ได้ทั้งนั้น แต่เหนือกว่าตรงความเร็ว!

ทั้งคู่ลอยขึ้นฟ้าแล้วพุ่งไปข้างหน้าทันที รากชอนไชบนพื้นถึงได้รู้สึกตัว ยืดตัวขึ้นสู่อากาศ

ขณะนั้นเอง พายุหมุนใบมีดลมและกงจักรก็ก่อตัวเป็นตาข่ายป้องกันอันแข็งแกร่ง ฟาดฟันรากที่ลอยขึ้นมาเหล่านั้นจนแหลกละเอียดประหนึ่งเครื่องปั่น

ตุบ

ทั้งคู่กระโดดลงพื้น รีบยื่นมือไปสัมผัสลูกบอลที่อยู่เบื้องหน้าทันที!

“ตำแหน่งธาตุไม้สำเร็จ”

เจ้าอัปลักษณ์ข้ามทะเลเพลิงไปกระตุ้นลูกบอล

“ตำแหน่งธาตุไฟสำเร็จ”

อันหลินใช้กระบี่ฟันน้ำแข็งย้อยเหล่านั้น จากนั้นก็ถ่ายเทพลังปราณใส่ลูกบอล

“ตำแหน่งธาตุน้ำสำเร็จ”

ผิวหนังของลั่วจื่อผิงบวมแดงไปทั้งตัว บางที่มีเลือดซึม แต่อย่างไรเสียก็พุ่งออกจากตำแหน่งธาตุดินไปกระตุ้นลูกบอลลูกนั้นแล้ว

ซุนเซิ่งเหลียนเป็นคนสุดท้ายที่สัมผัสลูกบอล แขนของนางถูกบาดจนเป็นแผล เผยให้เห็นชั้นเนื้อสีขาว เลือดหลั่งไหลออกจากบาดแผล

ลูกบอลทั้งห้าได้รับพลังปราณพร้อมกัน ทันใดนั้น ลานทดสอบก็สั่นสะเทือนขึ้นมา

เสียงดุจเครื่องจักรกลดังขึ้น “การทดสอบสำเร็จ!”

เพียงครู่เดียวสติของพวกเขาก็ดับวูบไป

ต่อมา พวกเขาก็มาถึงห้องที่รอบตัวขาวโพลนไม่มีสิ่งใดเลย

มีลูกบอลสีดำลอยอยู่กลางห้อง

ข้ามมิติเหรอ ทำไมเร็วขนาดนี้

อันหลินตกใจกับเทคโนโลยีสีดำ

เมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้า ความคิดนานัปการก็ผุดขึ้นในใจ ทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง ร่างของไป๋หลิงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ยินดีต้อนรับสู่มิติศูนย์กลาง ลำดับต่อไปจะเริ่มพิธีสืบทอดมรดก”

…………………………