พวกเด็กๆ เป็นเด็กรู้เรื่อง

พวกเขานอนเพียงแค่3-4ชั่วโมงเท่านั้น พวกเขานำอิฐดินออกมาถึงจะสามารถทำตั่งดิน หากไม่มีอิฐดิน ท่านพ่อท่านแม่กับท่านปู่ท่านย่าก็คงจะไม่มีที่หลับนอน

แต่ละคนยังง่วงนอน บางคนอยากจะร้องไห้งอแง แต่พวกเขาก็เอามือขยี้หูขยี้ตาไปมา หลังจากตื่นนอนแล้วก็พากันไปล้างหน้าล้างตา ไม่มีใครมีท่าทีงอแงอีก

เฉียนเพ่ยอิงหวีผมให้กับลูกสาว

วันนี้ต้องไปที่ตำบล ห้ามแต่งตัวเสมือนขอทาน โดยเฉพาะเวลาที่พวกเขาไปขายถั่วเมล็ดสนที่มีราคาแพง ลูกสาวยังต้องตามท่านพ่อไปขายเห็ดมัตสึตาเกะอีก พยายามแต่งกายให้สะอาดสะอ้านมากที่สุด

เฉียนเพ่ยอิงทำทรงผมแบบคนโบราณไม่เป็น นางจึงทำผมให้กับลูกสาวเหมือนตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางแบ่งผมเป็น 2 ข้าง แต่ละข้างมัดเป็นหางม้าแล้วถักเปีย หลังจากนั้นนางก็นำเปียมาม้วนเป็นทรงโดนัทและมัดด้วยที่รัดผมดอกไม้สีเดียวกันทั้งสองข้าง

ยายา หลานสาวคนเล็กของซ่งหลี่เจิ้งไม่เคยเห็นที่รัดผมสวยงามเช่นนี้มาก่อน ดูแปลกตามากจริงๆ

เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพิ่งจะสี่ขวบวิ่งมาพลางชี้มือไปที่ผมทรงโดนัทของตน นางยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า “พี่สาวเหมือนกับข้าเลย”

“อือ…ข้ากับยายามีทรงผมเหมือนกัน สวยเหมือนกันเลย”

“พี่สาว ข้าอยากจับดอกไม้”

ซ่งฝูหลิงรอท่านแม่ทำผมให้นางจนเสร็จแล้วจึงนั่งลงเพื่อให้ยายาจับมัดผม

ยายาลูบคลำด้วยความทะนุถนอมและหัวเราะอย่างชอบใจ

ภายใต้เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ด้านนอกผู้คนก็ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

เมื่อคืนได้ถอดแผ่นกระดานไม้รองเกวียนออกเพื่อเอามาใช้รองนอน ตอนนี้พวกเขาจะต้องขนถั่วเมล็ดสนไปตลาดจึงต้องนำแผ่นกระดานไม้ตอกกลับเข้าที่ตามเดิม

ถั่วเมล็ดสนแต่ละกระสอบถูกขนออกมา

ทุกคนแย่งกันวิจารณ์จนฟังไม่ได้ศัพท์ “ถ้าไม่มีคนซื้อก็ขายในราคาถูกก็แล้วกัน”

“ใช่ ขายได้เท่าไหร่ก็เป็นเงินเท่านั้น”

ซ่งหลี่เจิ้งพูดขึ้น “ฝูเชิงยังต้องให้พวกเจ้าสั่งการหรือ!” ทุกคนเงียบเสียงลง

ซ่งฝูเซิงไม่ได้ฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไร เพราะเขากำลังกล่อมหมี่โซ่วอยู่

หนิวจั่งกุ้ยยืนตาแดงก่ำอยู่ข้างๆ เขาหันหลังกลับหลบผู้คนอยู่หลังห้องเพื่อเช็ดน้ำตา กลัวจะทำให้ทุกคนเกิดลางร้าย

เขาบ่นพึมพำ อาจเป็นเพราะง่วงนอนหรือเป็นเพราะความหิว ทำไมตื่นเช้ามาก็อยากร้องไห้

แต่หนิวจั่งกุ้ยเข้าใจอย่างถ่องแท้ ยามเห็นซ่งฝูเซิงกำลังกล่อมหมี่โซ่วนั้นทำให้เขาได้ระลึกถึงท่านเฉียนและท่านพ่อของหมี่โซ่ว

เขาพึมพำในใจว่า ไม่ต้องห่วง ตอนนี้พวกเราทุกคนเดินทางถึงที่หมายแล้ว ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ นายน้อยไม่ต้องกังวล หลับให้สบายเถอะ ลูกเขยของท่านดูแลหมี่โซ่วเสมือนลูกชายแท้ๆ ก็ไม่ปาน

ซ่งฝูเซิงอุ้มหมี่โซ่วขึ้นมาหอมทั้งที่ยังไม่ตื่นนอน เขาเอาปากแตะหน้าผากสัมผัสอุณหภูมิร่างกายของของหมี่โซ่ว พลางกล่อมพลางหอมสลับกันไป

“เจ้าต้องเชื่อฟัง ลุงและพี่สาวแบกเจ้าไม่ไหว…

…เจ้าดูสิ ต้องขนถั่วเมล็ดสนหลายคันรถ เจ้ายังจำสะพานเมื่อวานได้หรือไม่? รถข้ามไปไม่ได้ จำเป็นต้องแบกกระสอบแต่ละลูกข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงยกรถข้ามแม่น้ำตามไป…

…เมื่อถึงเขตตำบล ลุงขายถั่วเมล็ดสนไม่ได้ จำเป็นต้องเดินถามราคาข้าวเปลือกกับร้าน ค้าแผงลอยเพื่อเปรียบเทียบราคา ข้าวเปลือกราคาห่างกันหนึ่งเหวิน รวมแล้วเป็นเงินไม่น้อย ยังต้องซื้อข้าวน้ำมัน และผักสด ตอนกลับขนใส่รถเข็นจนเต็ม ไม่มีที่นั่งเหลือสำหรับเจ้า…

…ถ้าไม่ซื้อของพวกนี้ หมี่โซ่วจะกินอะไร? หมี่โซ่วจะไม่หิวหรือ?…

…เจ้ารอก่อน รออีกสองรอบต่อไป พวกเราไม่ใช้เงินกองกลาง ใช้เงินของพวกเราเองไปซื้อใช้ในเขตตำบล เมื่อถึงตอนนั้นลุงก็ต้องแบกเจ้าไปด้วย…

…ซื้อเสื้อผ้ารองเท้าใหม่ให้หมี่โซ่วของพวกเรา หมี่โซว่แต่งกายจะได้ไม่เหมือนกับเด็กขอทาน รออีกไม่กี่วันได้หรือไม่? อยู่เป็นเพื่อนท่านป้าของเจ้าอยู่ที่บ้านก่อนได้ไหม?”

เหตุการณ์ดูไม่ค่อยดี “วันหลังค่อยไปได้หรือไม่ อยู่กับลุงหมู่ที่บ้านก่อนได้หรือไม่”

“ก็ได้” หมี่โซ่วตอบตกลงด้วยท่าทางไม่ค่อยยินยอม เขาใช้ใบหน้าเล็กๆ แนบกับใบหน้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงที่เย็นเฉียบ “ถ้างั้นท่านอย่าลืมเมื่อถึงเขตตำบลแล้วต้องซื้อขนมให้พี่สาว อย่าปล่อยให้นางหิว ท่านก็ต้องกินเหมือนกัน อย่ามัวแต่ประหยัดเงิน”

“ตกลง” ซ่งฝูเซิงรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันใด เด็กคนนี้ไม่เหมือนใคร ปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยเอ่ยปากพูดบ่อยครั้ง แต่จะยืนสังเกตพวกผู้ใหญ่อยู่ข้างๆ คาดว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เด็กคนนี้คงมีความคิดมากกว่าท่านลุงหลี่เจิ้งอีกหลายเท่า เมื่อเอ่ยปากมักทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูในคำพูดของเขา

เมื่อรถเข็นสิบคันประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็บรรทุกถั่วเมล็ดสนเพื่อออกเดินทาง

ซ่งฝูเซิงออกเดินทางไปแล้ว แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้ไปไหน เพราะก่อนออกเดินทางเขาได้สั่งกำชับทุกขั้นตอนทุกเรื่องไว้เรียบร้อย

อย่างเช่น

ท่านย่าหม่าได้นำแป้งข้าวโพดที่ซื้อจากแม่นางสวีที่เหลือครึ่งถุง นำมาต้มโจ๊กแบ่งให้ทุกคนได้กินด้วยกัน

ความจริงแล้วโจ๊กที่ต้มจากแป้งข้าวโพดเพียงครึ่งถุงให้คนจำนวนหลายร้อยคนกิน เมื่อแต่ละคนได้รับมามันก็ไม่แตกต่างอะไรจากน้ำซาวข้าว

ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ตอนแรกคงให้แม่นางสวีช่วยหาซื้อมาไว้สักหลายๆ ถุง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คิดว่าจะสามารถยืมข้าวกับผู้ดูแลหมู่บ้านก่อนได้ หลังจากที่พวกเขาไปขายถั่วเมล็ดสนที่ตลาดแล้ว เมื่อได้เงินมาแล้วก็นำไปคืน ถึงแม้ว่าไม่ได้ขายถั่วเมล็ดสน พวกเขาก็มีเงินที่จะซื้อข้าวมาคืน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะให้พวกเขายืม?

ไม่ให้ยืมก็ไม่ยืม

ลูกสามของนางบอกว่า “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล นำมาต้มให้ทุกคนได้กินก่อน อย่างน้อยก็ได้รองท้องจนถึงเที่ยง เมื่อพวกเราถึงเขตตำบลแล้ว สิ่งแรกที่ไปซื้อคือก๋วยเตี๋ยว อย่างน้อยซื้อมาก่อนสักสองคันรถ ข้าจะให้คนนำกลับมาส่งก่อน หลังจากนั้นท่านก็ทำอาหารให้ทุกคนได้กิน”

ระหว่างที่รอแบ่งข้าวต้ม ชายร่างกำยที่ทำงานตั้งแต่เมื่อคืนวานก็ยังไม่ได้นอน วันนี้หิวเกือบทั้งวัน พวกเขาจ้องมองไปที่หม้อ ท้องทุกคนก็ร้อง จ๊อก…จ๊อก…จ๊อก..พร้อมกันเหมือนระบาดติดต่อกัน

ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “รู้จักพอเถอะ อย่างน้อยพวกเราทุกคนยังมีข้าวต้มให้ดื่ม ตอนที่ภรรยาข้าคลอดบุตร แม้แต่น้ำข้าวต้มร้อนๆ ก็ไม่ตกถึงท้อง ต้องตื่นแต่เช้าพาขบวนคนไปเขตตำบล”

ป้าใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รำพึงรำพันออกมา “ต้องคอยกังวลใจไปกับทุกคนจริงๆ”

ท่านย่าหม่า …ทำไมแย่งคำพูดของข้านะ

เฉียนเพ่ยอิง …พวกเขาสามคนมีพ่อของลูกกินเยอะสุด มีซอสเนื้อวัวหมักที่นางต้องเข้าไปพื้นที่พิเศษเพื่อเพิ่มของที่ขาดไปถึงห้าครั้ง พูดไปก็น่าสงสารหมี่โซ่วของนาง

ไม่ได้สิ ต้องเอานมผงออกมาจากพื้นที่พิเศษ สักครู่ชงนมให้เข้มข้นสักหน่อยเพื่อไม่ให้หิว แล้วแอบพาเด็กน้อยไปด้านหลังเรือนเพื่อป้อนนม สำหรับถุงบรรจุภัณฑ์นั้น เนื่องจากลูกสาวไม่อยู่ นางก็ใส่ลงในเตาแล้วเผาทิ้ง

เรื่องของอาหารนี้ ซ่งฝูเซิงได้สั่งกำชับทุกคนไว้แล้ว

เมื่อทุกคนกินข้าวต้มเสร็จแล้ว ซ่งหลี่เจิ้งจะรีบจัดสรรงานให้พวกผู้หญิงทันที

“ฝูเซิงสั่งไว้ พวกเราทุกคนแบ่งส่วนหนึ่งไปถางหญ้าแห้งและทำความสะอาดห้องใต้ดิน ทุกคนก็รู้มีห้องใต้ดินไว้เก็บผักอยู่หลายที่ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งไปช่วยกันทำอิฐดิน ต้มน้ำร้อนในหม้อใหญ่และเผาอิฐดินพลิกไปมาให้แห้ง นอกจากนี้ก็ช่วยกันตักมาเยอะหน่อย ฟังเข้าใจไหม? ต้องฟังใคร ฟังแม่ของฝูเซิงออกคำสั่งนะ ข้าไม่ยุ่งแล้ว”

ซ่งหลี่เจิ้งหันหน้าไปทางพวกผู้ชาย เขาพูดกับพี่ชายคนรองของซ่งฝูเซิงเพียงคนเดียวก่อน

“ฝูสี่ น้องสามของเจ้าสั่งไว้ งานวันนี้ของเจ้าคือ หาคนมาช่วยเจ้าทำบานประตูและทำพื้นเตียงกระดานแล้วก็ไปเก็บกวาดประตูที่ชำรุดแล้ว ถ้าทำเสร็จแล้วหากมีเวลาว่างก็ทำแท่งไม้สี่เหลี่ยมยาว(ไว้ดามสิ่งของ) ข้าก็ไม่สนใจเจ้าแล้ว”

ซ่งฝูสี่อยากตอบกลับไปว่า ท่านลุง ข้าจะมีเวลาว่างไหนไปทำแท่งไม้สี่เหลี่ยมยาวอีก แค่ทำบานประตู ท่านดูสิวันนี้กับวันพรุ่งนี้ข้าจะมีเวลาว่างหรือไม่? ถ้าไม่เชื่อท่านคอยดูสิ วันพรุ่งนี้ตอนดึกข้าก็คงยังไม่ได้นอน ยังต้องทำงานนี้ต่ออีกนะ

ท่านลุงซ่งยังคงแบ่งหน้าที่ต่อไป “เถียนสี่ฟา เจ้าคุ้นเคยกับภูเขาเป็นอย่างดี ฝูเซิงสั่งให้เจ้านำพวกชายฉกรรจ์ขึ้นภูเขาไปตัดฟืนและแบกฟืนลงมาด้านล่าง หวังว่าทุกคนจะระมัดระวัง เมื่อเจอสัตว์ร้ายอย่าจัดการแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าสู้ไม่ได้ก็ให้วิ่งหนีซะ”

เถียนสี่ฟารู้ว่า สองประโยคสุดท้ายนั้นท่านลุงเป็นคนเพิ่มเข้าไปแน่ๆ ถ้าเป็นน้องสามจะไม่พูดแบบนี้ อีกอย่างถ้าเจอสัตว์ร้ายยิ่งวิ่งหนียิ่งรอดยาก

เขาตอบ “ท่านลุงสบายใจได้ ข้ารู้ว่าจะต้องทำยังไง ข้าจะเดินสำรวจดูหลายรอบก่อนว่า พื้นที่บนเขาตรงไหนอยู่ใกล้และปลอดภัย รอช่วงบ่ายจะให้พวกผู้หญิงไปเก็บกิ่งไม้ใบหญ้าเอาไว้สำหรับเผาไฟทำกับข้าวและก็ใช้เผาอิฐดินด้วยเช่นกัน และต้องเก็บหญ้าแห้งอีกหลายวัน หลังคาบ้านของพวกเราต้องซ่อมอีกเยอะ ทำเสื่อก็ต้องใช้เหมือนกัน งานละเอียดแบบนี้ต้องให้พวกผู้หญิงทำถึงจะเหมาะสม”

“ใช่…ใช่…ใช่…เจ้าคิดได้รอบคอบ ทำตามที่เจ้าบอก ไปเถอะ”

เถียนสี่ฟาพาคนออกเดินทางแล้ว พอคนพวกนี้ออกไป หน้าบ้านกระท่อมก็เหลือคนอยู่ไม่กี่คน

ซ่งหลี่เจิ้งกำลังจะหันหลังสั่งกำชับพวกเด็กๆ พวกเด็กน้อยต่างบอกกับเขาว่า “พี่พั่งยาสั่งไว้ เมื่อมีผู้ใหญ่ไปตักน้ำที่แม่น้ำ พวกเราก็ต้องตามไปเก็บก้อนหินเล็กๆ กับทรายละเอียดเพื่อไว้ใช้กรองน้ำ”

“ได้ ได้ ได้ เดินระวังด้วย อย่าให้ตกลงไปในน้ำ และห้ามวิ่งออกไปไหนไกล เดี๋ยวหมาป่าจะมาคาบไป”