บทที่ 127 ผู้สังหารคนนับไม่ถ้วน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

เห็นจินเฟยเหยาตอบรับอย่างเบิกบาน คนทั้งสามก็ยินดียิ่ง ส่วนจินเฟยเหยาก็สอบถามถึงสภาพการป้องกันของถ้ำเซียนพานหยวนอย่างละเอียด

จะว่าไปก็ง่ายดาย ถ้ำเซียนของพานหยวนมีการป้องกันเพียงชิ้นเดียว และบอกดวงตาของวงเวทแก่พานอี้แล้ว ขอเพียงโจมตีดวงตาวงเวทอย่างหนักหน่วงก็สามารถทำลายการป้องกันได้ พวกเขากลัวเรี่ยวแรงไม่เพียงพอ เปิดวงเวทไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการให้จินเฟยเหยาออกแรง ทั้งภายในถ้ำเซียนยังมีหุ่นเชิดสองตัว

หุ่นเชิดสองตัวร้ายกาจอย่างยิ่ง พวกเขาไม่มั่นใจว่าจะสู้ชนะพวกมันดังนั้นต้องยืมแรงคนนอกจึงเอาชนะได้ “ถ้ำเซียนของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ง่ายดายถึงเพียงนี้? แบบนี้ใครก็สามารถบุกเข้าไปได้อย่างสบายๆ ตั้งหกร้อยปีแล้ว ด้านในคงไม่เหลือสิ่งของอะไรแล้วกระมัง” ฟังพานอี้อธิบายจบ จินเฟยเหยาอดกังวลขึ้นมาไม่ได้

พานอี้หัวเราะฮาๆ “พวกเรามีบรรพชนผู้ล่วงลับชี้แนะจึงหาวิธีและดวงตาวงเวทพบ ถ้าคนอื่นๆ คิดจะบุกฝ่าอย่างหักโหม ได้แต่มีไปไม่มีกลับ อีกอย่าง แม้แต่สถานที่พวกเขาก็หาไม่พบ นับประสาอะไรกับการทำลายวงเวท”

จินเฟยเหยาคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ปกติทางเข้าถ้ำเซียนข้างนอก เนื่องจากการป้องกันดูกลมกลืนกับทิวทัศน์รอบด้าน ถ้ามิใช่จงใจให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองอาศัยอยู่ที่นี่ล้วนอำพรางแล้วอำพรางอีก

“พวกเราจะออกเดินทางเมื่อใด?” จินเฟยเหยามองกองภูเขาสิ่งของด้านหลัง เอ่ยถามอย่างลำบากใจอยู่บ้าง

พานอี้ก็ดูออก จินเฟยเหยาเกรงว่าจะไปไม่ได้สักพัก จึงเอ่ยว่า “ไม่รีบ รอสหายเซียนจินจัดระเบียบสิ่งของเหล่านี้เสร็จ สหายเซียนจิน เจ้าว่าออกเดินทางอีกห้าวันให้หลังเป็นอย่างไร?”

นี่ยังเรียกว่าไม่รีบ เกรงว่าพวกเจ้าคงร้อนใจอยากได้สมบัติเหล่านั้นเร็วๆ ถ้าไม่มีสิ่งของเหล่านั้นพวกเขาก็เริ่มฝึกบำเพ็ญไม่ได้ ที่จริงเกรงว่าถ้ำเซียนของพานหยวนจะถูกคนกวาดไปเกลี้ยงนานแล้ว จินเฟยเหยาอดคิดไม่ได้ แต่เวลาห้าวันก็น่าจะเพียงพอในการจัดระเบียบสิ่งของเหล่านี้ เวลากระชั้นไปหน่อยแต่ก็ทำทัน

“ก็ได้ อีกห้าวันออกเดินทาง” จินเฟยเหยาพยักหน้ารับ

ในเมื่อเจรจาเสร็จเรียบร้อย พวกพานอี้ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนอีก จินเฟยเหยายังต้องทำงาน ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันเวลาออกเดินทางอีกห้าวันให้หลัง

จินเฟยเหยาส่งคนทั้งสามจากไป ก็เริ่มจัดระเบียบสิ่งของ กระเป๋าเก็บของที่มีไม่เพียงพอค่อยไปซื้อ อย่างไรเสียก็เป็นแค่กระเป๋าเงินเล็กๆ สิ่งของล้วนบรรจุตามชนิดของแต่ละอย่าง นางจึงพบว่า มีสิ่งของบางอย่างจัดไม่ได้ว่าสมควรอยู่ประเภทใด จึงได้แต่แยกประเภทออกมา

สิ่งของเหล่านี้ส่วนมากปล้นมาจากบนตัวผู้บำเพ็ญเซียน และถูกโยนใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บของ ไม่รู้ประโยชน์การใช้งานที่แน่ชัด ป้ายหยกแต่ละประเภทแสดงถึงฐานะยังมีป้ายหยกเปิดการป้องกัน เก็บได้ร้อยชิ้นเต็มๆ ปริมาณนี้ทำให้จินเฟยเหยาตกใจ ตนเองเคยสังหารคนมากมายปานนี้เลยหรือ? ผิดพลาดตรงไหนหรือไม่

ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นหลักฐาน นางโยนไฟนรกใส่โดยไม่คิดสักนิด เผาป้ายหยกเหล่านั้นจนเกลี้ยงเกลา ดวงตาไม่เห็นจิตใจก็ไม่กังวล ตอนนี้สบายใจขึ้นมาก

จากนั้นค้นป้ายหยกที่จดบันทึกข้อความหลายชิ้นออกมา นางนึกว่าเป็นเคล็ดวิชาอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจดหมายรักที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งเขียนถึงศิษย์น้อง ดูสองหนก็ถูกนางจุดไฟเผาไปด้วย

ขอเพียงตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จ ในที่สุดก็จัดการภูเขาขยะลูกนี้เสร็จด้วยความพยายามของทุกคน จินเฟยเหยามองกระเป๋าเก็บของที่เป็นระเบียบเรียบร้อยบนโต๊ะ ในที่สุดก็โล่งอก ต่อไปไม่ต้องทำแบบนี้อีก ขอเพียงนำสิ่งของกลับมาก็ใช้เวลาเล็กน้อยแยกประเภท เก็บมาสิบกว่าปีเพิ่งจัดระเบียบครั้งเดียวนี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทำได้จริงๆ

เป็นธรรมดา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่กบทำได้ ระหว่างนั้นพั่งจื่อแอบเกียจคร้านไปไม่รู้กี่ครั้ง ต้านิวทั้งต้องทำอาหารทั้งต้องจัดระเบียบ เหน็ดเหนื่อยจนผอมลงไปมาก หนังท้องก็ไม่ตึง

ที่ทำให้จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงคือจะจัดระเบียบอาวุธเวทได้สามสิบสี่สิบชิ้น ปริมาณมากกว่าที่นางคิดไว้ เดิมทีเตรียมเรียนหลอมอาวุธ ถึงตอนนั้นต้องมีสินค้าระดับต่ำออกไปขายจำนวนมาก ตอนนี้เพิ่มมาอีกสามสิบสี่สิบชิ้น งานตั้งแผงแบกะดินก็ยิ่งหนักขึ้น

ถ้ามีสิ่งของใดให้อาวุธเวทเหล่านี้กินแล้วกลายเป็นพลังการบำเพ็ญเพียรหรือเงื่อนไขในการเลื่อนขั้นจะดีสักเพียงใด นี่เป็นความเพ้อฝันของตนเอง ถ้ามีสิ่งของที่ดีขนาดนั้นจริงก็ไม่ถึงรอบของนาง

พริบตาก็ถึงวันนัดหมาย จินเฟยเหยาพกพาสิ่งของทั้งหมดไปด้วยตามความเคยชินรวมทั้งตึกหลิงหลง อย่างไรเสียสิ่งของในตึกจะหดเล็กลงเป็นขนาดเดิม เก็บแล้วสะดวกอย่างยิ่ง นางสามารถพกพาทรัพย์สมบัติทั้งหมดได้ตลอดเวลา เตรียมไปไม่กลับตามความเคยชิน นางยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ชั่วคราว

พานอี้ไม่รู้ว่าเอาเรือน้อยที่ไม่สะดุดตามาจากไหน ปู่หลานพายเรือน้อยมารับนาง ทั้งสามคนยังปลอมตัวเล็กน้อย หลักๆ คืออิทธิพลของตระกูลพานมีมากเกินไป และมีจำนวนคนมากมาย ไม่ว่าไปที่ใดก็พบคนในตระกูล

คนเหล่านี้ชอบพูดจาเหลวไหลที่สุด แม้แต่พานอี้อันตัดเสื้อผ้าในช่วงต้นปีก็ถูกคนเล่าลือไปทั่วบอกว่านางแต่งกายเหมือนนางจิ้งจอกเพื่อยั่วยวนบุรุษจะได้แต่งไปเสวยสุขในตระกูลที่ร่ำรวยทรงอิทธิพลได้ง่ายๆ ถ้าให้คนเหล่านี้รู้ว่าพวกเขาไปหาสมบัติเกรงว่าคนทั้งสามคงอยู่ไม่พ้นคืนนี้ เวทค้นหาจิตเป็นเวทมนตร์ทำร้ายผู้อื่นคนที่โดนเวทนี้จะไม่มีชีวิตรอด

จินเฟยเหยากระโดดขึ้นเรือน้อยนั่งในประทุนเรือ ส่วนพานอี้ปลอมตัวจนเหมือนชาวประมงชราธรรมดา สวมหมวกฟางพายเรือน้อยออกนอกเมืองวั่นเซียนสุ่ยอย่างสงบ

ถึงจะรู้ว่าเมืองวั่นเซียนสุ่ยกว้างใหญ่อย่างยิ่งทว่าใหญ่เกินกว่าที่จินเฟยเหยาคิดไว้ พายอยู่ครึ่งวันเต็มๆ พวกนางยังพายอยู่บนน้ำ เกาะรอบด้านยิ่งมายิ่งน้อยลงคลื่นบนผิวน้ำก็มีขนาดใหญ่ขึ้น

“สหายเซียนพาน เหตุใดพายมาครึ่งวันยังอยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ยอีก?” จินเฟยเหยานั่งจนหมดความอดทน หลังจากเรือนี้ออกมาไม่นานก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้คนที่ก่อนมาที่นี่ไม่เคยนั่งเรือเช่นนางรู้สึกไม่สบาย

พานอี้นิ่งอึ้งอยู่นานจึงเอ่ยว่า “สหายเซียนจิน พวกเราออกจากเมืองวั่นเซียนสุ่ยนานแล้ว ตอนนี้อยู่ในทะเล หรือเจ้าไม่รู้ว่าพวกเราพายเรืออยู่ในทะเลมาเกือบสองชั่วยามแล้ว?”

“อะไรนะ ทะเล?” จินเฟยเหยาหลุดปากถามกลับ ที่แท้ออกจากเมืองวั่นเซียนสุ่ยนานแล้ว ขนาดประตูเมืองก็ไม่มี ทำให้นางไม่รู้

เมื่อครู่นางหลับตาพักผ่อนอยู่ตลอด บางครั้งมองไปนอกหน้าต่างเล็กๆ บนประทุนเรือ ไม่ได้สังเกตว่าเรือน้อยมาถึงที่ใดเลยสักนิด มิน่าเล่าเรือจึงสั่นรุนแรงขึ้นทุกที ที่แท้ถึงทะเลแล้ว จินเฟยเหยาไม่เคยเห็นทะเล จึงรีบวิ่งออกมานอกประทุนเรือ เบื้องหน้าปรากฏผืนทะเลสีฟ้า

วันนี้ลมทะเลไม่รุนแรง เรือน้อยแล่นบนทะเลสีฟ้าเข้ม รอบด้านมองไม่เห็นเกาะใดๆ มีเพียงทะเลไร้ขอบเขต บางครั้งยังปรากฏนกทะเลบินวนเหนือเรือหรือเกาะพักบนเรือ

มองอย่างไร จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าแล่นเรือน้อยบนทะเลแบบนี้ ช่างน่าขำจริงๆ นางอดเอ่ยถามไม่ได้ “สหายเซียนพาน หรือว่าเจ้าไม่มีของวิเศษบินได้ที่สามารถบรรทุกพวกเราบินไปด้วยกัน? ถึงพวกเจ้าจะไม่กล้าบอกตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำเซียน ทว่ามองดูก็รู้ว่าต้องอยู่ในทะเล ไม่รู้ว่าระยะทางไกลเพียงใด อาศัยเพียงการพายด้วยมือของเจ้าเมื่อไรจะถึงก็ไม่รู้”

“น่าละอายจริงๆ ให้สหายเซียนจินหัวเราะเยาะแล้ว พวกข้าสามคนมีเพียงข้าคนเดียวที่เป็นขั้นสร้างฐาน สาเหตุเนื่องจากตระกูล ก่อนหน้านี้ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ภายนอกน้อยครั้ง สิ่งของที่ได้รับจัดสรรทั้งหมดล้วนเป็นตระกูลมอบให้ ข้ามีเพียงอาวุธเวทแก่นชีวิตเพียงชิ้นเดียวที่สามารถบินได้ เพียงแต่สิ่งของชิ้นนี้ไม่เหมาะจะบรรทุกคนเหาะเหินจริงๆ ทั้งยังต้องพาหลานสองคนของข้าไปด้วย ดังนั้นจึงได้แต่พายเรือน้อย” พานอี้เอ่ยอย่างละอายใจ

คนของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนและยังเป็นคนในตระกูลสายตรงเช่นเขา แต่ไม่ได้รับความโปรดปราน ถึงกับอยู่อย่างลำบากยากแค้น ทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง

คนผู้นี้เป็นปรสิตของตระกูล มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน คิดไม่ถึงว่าจะไม่เคยแม้แต่ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ภายนอก เกาะกินอยู่ในตระกูลรอวันตายแบบนี้เสียทีที่ฝึกบำเพ็ญได้ถึงขั้นสร้างฐาน

คนของโลกระดับวิญญาณอยู่อย่างไร้ระเบียบวินัย ถ้าอยู่โลกหนานซานผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคงสังหารคนไปมากมาย ใจเหี้ยมมือโหดทำได้ทุกอย่างนานแล้ว เกรงว่าพานอี้ที่อยู่ขั้นสร้างฐานที่นี่และมีชีวิตแบบนี้มาชั่วชีวิตคงไม่เคยฆ่าใครสักคน

จินเฟยเหยาสงสัยปัญหานี้จริงๆ จึงถามพานอี้อันและพานจั๋วหวาว่าเคยสังหารคนหรือไม่ สีหน้าพานอี้อันซีดขาวในพริบตา สั่นศีรษะอย่างแรง นางไม่เคยคิดเรื่องสังหารคนเลยสักนิด ส่วนพานจั๋วหวาดูเหมือนละอายอยู่บ้าง กลืนน้ำลายก่อนพูดออกมา ตนเองเป็นผู้คุ้มกันในตระกูลมาตลอด สิ่งที่เคยเสียชีวิตใต้เงื้อมมือเขามีเพียงสัตว์ภูติขั้นหนึ่งที่ใช้ฝึกหลายตัว

ตอนถามพานอี้ ชายชรายิ้มอย่างกระหยิ่ม บอกมาประโยคหนึ่งทำให้จินเฟยเหยาอยากจะกระอักเลือด “ข้าเคยสังหารสองคน ตอนท่านพ่อไปเมืองอื่นถูกผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนปล้นชิง”

“ตอนนั้นท่านปู่ต้องกล้าหาญมากแน่ สามารถสังหารผู้บำเพ็ญเซียนได้ตั้งสองคน” พานอี้อันและพานจั๋วญซ็ญหวามองพานอี้ด้วยสีหน้าชื่นชมบูชา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพ

จินเฟยเหยาอดทนไว้ไม่เอ่ยอะไร ถามอีกว่า หัวหน้าตระกูลของพวกเขาเคยสังหารคนมามากมายเพียงใด ครั้งนี้พานอี้กระหยิ่มยินดี เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิ “เจ้านั่นไม่มีความสามารถอะไร ไม่เคยสังหารผู้บำเพ็ญเซียนสักคน ใช้เล่ห์วางอุบายแสวงหาอำนาจทั้งวัน หากมิใช่อารองอยากตั้งใจฝึกบำเพ็ญ จึงมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้เขา ตอนนี้เขาไหนเลยมีคุณสมบัติเป็นหัวหน้าตระกูล เพียงผู้บำเพ็ญเซียนที่เคยสังหาร คนที่เป็นหัวหน้าตระกูลสมควรเป็นข้า ไม่ใช่สวะที่กล้าแต่เล่นสกปรกเช่นเขา”

ยามนี้จินเฟยเหยาไม่ได้ยินคำพูดเขาแล้ว นางเริ่มนับนิ้วตนเองสังหารผู้บำเพ็ญเซียนไปมากเพียงใด นับอยู่นาน นางยังนับได้ไม่กระจ่าง พลันพบว่าตนเองเป็นราชามารที่สังหารคนมากมายในโลกระดับวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่สงบสุขเกินไป คงไม่เกิดการโต้เถียงขึ้นหรอกนะ?

นับจนเวียนศีรษะ เรือก็สั่นจนตาลาย จินเฟยเหยาได้แต่ให้พานอี้หยุดเรือ จากนั้นหยิบพรมบินได้ออกมา หลังจากขึ้นไปนั่งก็บอกพวกพานอี้สามคนว่า “พอดีข้ามีของวิเศษบินได้ชิ้นหนึ่งที่ให้คนหลายคนนั่งด้วยกันได้ ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจก็ขึ้นมานั่ง พวกเราจะบินได้เร็วขึ้นหน่อย ถ้าพวกเจ้ายืนกรานจะนั่งเรือ ข้าจะค่อยๆ ตามพวกเจ้าไป ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”

มีเพียงคนโง่งมจึงไม่นั่งของวิเศษบินได้ที่รวดเร็ว แต่ยืนกรานจะนั่งเรือเล็กๆ คนทั้งสามย่อมกระโดดขึ้นพรมบินอย่างดีอกดีใจ ส่วนเรือน้อยลำนี้ให้พานอี้ย่อส่วนแล้วเก็บ

โลกระดับวิญญาณมีประโยชน์มากที่สุดอย่างหนึ่งคือมีพวกวัสดุอุดมสมบูรณ์ สิ่งของที่มีปราณวิญญาณมีอยู่ทั่วไป ตอนนำมาสร้างของใช้ในชีวิตประจำวัน ก็ชอบใช้สิ่งของที่แฝงปราณวิญญาณ ดังนั้นสิ่งของดีๆ หน่อยในเมืองวั่นเซียนสุ่ยล้วนเหมือนตึกหลิงหลงสามารถย่อส่วนหรือขยายใหญ่เก็บในถุงเฉียนคุนได้ แน่นอนว่ารวมเรือเล็กเก่าๆ ลำนี้เบื้องหน้าด้วย ฟุ่มเฟือยเกินไปจริงๆ