ตอนที่ 154 มีคนเช่นนี้อยู่จริง ๆ หรือ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 154 มีคนเช่นนี้อยู่จริง ๆ หรือ

ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านและผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงถึงกับชะงักงัน มิกล้าเดินหน้าต่อแม้แต่เพียงครึ่งก้าว เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันน่ากลัวที่ปกคลุมในรัศมีหมื่นลี้

‘การลงโทษจากสวรรค์ ! ’

‘นี่คือการลงโทษจากสวรรค์ในตำนานงั้นหรือ ! ’

หากพวกเขาสองคนยังก้าวต่อไป ต้องเข้าไปพัวพันกลับเรื่องนี้เพราะเสวียนจีเจินจวินเป็นแน่

อีกทั้งผลกรรมนี้ต่อให้ตบะบารมีของทั้งคู่จะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ก็ยังมิกล้าที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย

เพราะนี่คือการลงโทษจากสวรรค์ แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของเบื้องบน

หากเข้าไปยุ่งวุ่นวาย เส้นทางการบำเพ็ญเพียรของทั้งคู่ในภายภาคหน้า จะต้องพบกับอันตรายอย่างแน่นอน

แต่พวกเขายังคงสงสัยว่าเหตุใดเสวียนจีเจินจวิน จู่ ๆ ถึงโดนสวรรค์ลงโทษเช่นนี้ได้

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าเช่นไร ? ”

ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านขมวดคิ้วแน่น ท่าทางเคร่งขรึม ทอดสายตามองไปยังหมู่เมฆที่ลอยต่ำไกลริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ

ผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน ตามหลักแล้วศิษย์น้องเสวียนจีบำเพ็ญเพียรในวิถีหมากมาตลอด มิน่าจะไปแปดเปื้อนผลกรรมใด ๆ เข้า แต่เหตุใดถึงถูกสวรรค์ลงโทษเช่นนี้ได้ ? ”

เอ่ยถึงตรงนี้ แววตาของผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงก็มีประกายบางอย่างเปล่งขึ้น ก่อนจะหันไปถามว่า “ท่านพี่เจินอี ท่านและศิษย์น้องเสวียนจีอยู่ด้วยกันตลอดเวลามิใช่หรือ เขาได้พูดอะไรกับท่านหรือไม่ ? ”

ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินหมากกับเสวียนจีเจินจวิน บังเอิญได้พูดถึงภาพกลหมากปริศนา 14 ภาพ ที่เขาเคยทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์ จากนั้นจู่ ๆ เสวียนจีเจินจวินก็สัมผัสได้ว่ากลหมากปริศนาของเขาถูกคนแก้ได้แล้ว”

“แต่คาดมิถึงว่าคนที่แก้ภาพกลหมากปริศนาของเขาได้ กลับมิเห็นเคล็ดวิชาที่เสวียนจีเจินจวินทิ้งเอาไว้บนภาพกลหมากปริศนาอยู่ในสายตา ทั้งยังกลืนกินรอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เขาทิ้งเอาไว้ ทำให้เสวียนจีเจินจวินโมโหอย่างมาก”

ผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงขมวดคิ้วเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หากข้าเดามิผิดล่ะก็ ปัญหาคงจะเกิดจากตรงนี้”

“ห๊ะ ? ”

ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านมีท่าทีชะงักไป สีหน้าแสดงความประหลาดใจออกมา ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วถามต่อว่า “ท่านพี่ มิน่าเป็นไปได้กระมัง ทั้งสองโลกมีค่ายกลโบราณขวางกั้นเอาไว้ ผู้แข็งแกร่งของโลกมนุษย์มิมีทางก้าวข้ามมาได้ หรือว่า…”

ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านเอ่ยถึงตรงนี้ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ขณะเดียวกันเขาก็เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้

ผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงจึงพยักหน้าน้อย ๆ ให้แก่ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่าน

ใช่แล้ว แม้ทั้งสองโลกจะมีค่ายกลโบราณขวางกั้นอยู่ แต่หากตบะบารมีทะลวงถึงขั้นในตำนาน

ต่อให้มีค่ายกลโบราณขวางกั้นเอาไว้ ก็มิอาจขัดขวางคนที่ไร้เทียมทานเช่นนั้นได้อยู่ดี

อีกทั้งในยุคสมัยนี้เทพโบราณก็มิมีอยู่แล้ว ทำให้ค่ายกลโบราณที่ขวางกั้นทั้งสองโลกเอาไว้ จึงมิเหมือนเดิมอีกต่อไป

เช่นนี้จึงจะสามารถอธิบายเหตุผล ที่ภาพกลหมากปริศนาที่เสวียนจีเจินจวินทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์ถูกแก้ได้ติดต่อกัน และรอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมบนภาพถูกดูดกลืนไปได้อีกด้วย

บางทีขณะที่ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานท่องไปบนโลกมนุษย์ ได้บังเอิญพบกับภาพกลหมากปริศนาที่เสวียนจีเจินจวินทิ้งเอาไว้เข้าพอดี แล้วเกิดสนใจจึงยื่นมือเข้าไปแก้กลหมากเสียเอง

การกระทำของยอดฝีมือเหล่านี้ลึกลับยากจะคาดเดาได้ และมิใช่สิ่งที่พวกเขาจะเข้าใจได้ง่าย ๆ

ส่วนเหตุผลที่จู่ ๆ เสวียนจีเจินจวินถูกสวรรค์ลงโทษนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับคำพูดดุดันของเขาก่อนหน้านี้

ผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านและผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงคิดถึงตรงนี้แล้ว ก็รู้สึกกลืนมิเข้าคายมิออก

ขณะเดียวกันพวกเขาก็อดที่จะเป็นห่วงเสวียนจีเจินจวินขึ้นมามิได้

เพราะสิ่งนี้คือการลงโทษจากสวรรค์ในตำนาน หาใช่สิ่งที่เรียกว่าทัณฑ์สวรรค์ไม่

ทัณฑ์สวรรค์ยังมีโอกาสรอด แต่การลงโทษจากสวรรค์นั้นน่ากลัวมาก มิมีใครคาดเดาได้

อีกด้านหนึ่ง

“เปรี้ยง ! ”

เสวียนจีเจินจวินที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขา หาได้มีความสง่างามเช่นก่อนหน้านี้ไม่

เสียงคำรามดังสนั่นออกมาจากส่วนลึกของหมู่เมฆ เสวียนจีเจินจวินรู้สึกหวาดหวั่น และเย็นเฉียบไปทั้งร่าง

วินาทีนี้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียวคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋ ท่าทางเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง

นี่เป็นการลงโทษจากสวรรค์ในตำนาน หาใช่ทัณฑ์สวรรค์เวลาบรรลุขั้นไม่

อีกทั้งนับแต่โบราณมาผู้ที่ถูกสวรรค์ลงโทษนั้นก็มีน้อยยิ่งนัก

ส่วนหนึ่งในนั้นถึงขั้นดับสูญเมื่อถูกลงโทษจากสวรรค์ อีกครึ่งหนึ่งแม้จะโชคดีมีชีวิตรอดมาได้ ทว่ามิมีผู้ใดที่ตบะบารมีจะคงเดิมอีก ภายในเกิดร่องรอยความเสียหายที่มิอาจลบล้างได้

บัดนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่ถูกสวรรค์ลงโทษ

เสวียนจีเจินจวินคิดเช่นนั้นแล้ว ภายในใจก็เกิดความหดหู่จนอยากจะร้องไห้ขึ้นมา

‘นี่ข้าไปล่วงเกินผู้ใดเข้ากันแน่ เหตุใดจู่ ๆ ถึงถูกลงโทษเช่นนี้ได้’

“เปรี้ยง ! ”

ทันใดนั้นสายฟ้าสีเทาสายหนึ่งพลันฟาดลงมาจากหมู่เมฆด้านบน

เสียงดังสนั่นกึกก้อง เสวียนจีเจินจวินก็ได้เงยหน้าขึ้นทันที

เห็นเพียงบริเวณที่สายฟ้าฟาดลงมา เกิดเป็นรอยแยกขึ้นกลางอากาศ

ชั่วพริบตารอยแยกกลางอากาศที่ยาวหลายหมื่นจั้ง พลันปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าไกลออกไปหลายแสนลี้ เกิดเป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก

มินานภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปก็แยกออกจากกัน นรกขุมใหญ่พลันปรากฏสู่สายตา

เสวียนจีเจินจวินที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาตัวเอง ถึงกับตะลึงงันในทันที ร่างทั้งร่างแข็งค้างราวกับหินก็มิปาน

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการลงโทษจากสวรรค์เยี่ยงนั้นหรือ ?

อัสนีบาตที่แฝงพลังทำลายล้างสายหนึ่ง ที่มิอาจจะหนีรอดได้ !

ทว่าสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ใจมิอาจรับได้ก็คือ อัสนีบาตทำลายล้างสายนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

แล้วอัสนีบาตทำลายล้างที่เกิดขึ้นต่อจากนี้เล่า แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่ากลัวเพียงใด !

ตอนนั้นเองที่เสวียนจีเจินจวินถึงกับร้องไห้ออกมา

ขอบตาของเขาแดงก่ำ น้ำตาไหลริน ท่าทางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

“ข้าทำอะไรผิดไปกันแน่ เหตุใดจึงถูกสวรรค์ลงโทษเช่นนี้”

“ก่อนที่จะขึ้นสวรรค์ได้ทิ้งกลหมากปริศนา 14 ภาพไว้บนโลกมนุษย์ ทั้งยังได้ทิ้งเคล็ดวิชาที่ได้รับมาจากแดนอันตราย ข้าเพียงอยากมอบให้เหล่ามนุษย์คนอื่น ๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาได้บรรลุขึ้นสวรรค์ เช่นนี้แล้วข้าทำสิ่งใดผิดกันแน่ ? ”

“อีกทั้ง…”

ขณะที่เสวียนจีเจินจวินกำลังคร่ำครวญต่อสวรรค์อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงอันน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เสวียนจี เจ้ายังมิหุบปากอีก ! ”

“ท่านอาจารย์ ? ”

“เจ้าทิ้งกลหมากปริศนา 14 ภาพไว้บนโลกมนุษย์ และทิ้งโอกาสและวาสนามากมาย เรื่องนี้นับว่าเป็นบุญกุศลนับอนันต์ก็จริง แต่ก่อนหน้านี้เจ้ากลับพูดจาสามหาว ช่างขัดกับคำสอนของข้ายิ่งนัก”

“ท่านอาจารย์ ผู้ที่แก้กลหมากปริศนา 14 ภาพของศิษย์ ได้กลืนกินรอบประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมของศิษย์ไปด้วย หรือว่าศิษย์มิสามารถถามไถ่ได้เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ในเมื่อเจ้าทิ้งกลหมากปริศนา 14 ภาพเอาไว้บนโลกมนุษย์ก็เท่ากับมีผลกรรมติดตัว ทั้งยังอาจถูกสงสัยว่าหลอกใช้ผู้อื่นอีกด้วย”

“หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ คงจะมีผู้อาวุโสบางท่านลงไปท่องโลกมนุษย์ แล้วมองความคิดของเจ้าออก จึงได้ทำลายโอกาสและวาสนาบนกลหมากปริศนา และกลืนกินรอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า อีกทั้งก่อนหน้านี้เจ้ายังได้พูดจาลบหลู่ จึงทำให้ถูกสวรรค์ลงโทษอย่างไรเล่า”

“ท่านอาจารย์… ศิษย์สำนึกผิดแล้ว”

“อาจารย์ มีวิธีใดที่สามารถช่วยได้หรือไม่ขอรับ หากถูกสวรรค์ลงโทษครานี้ เกรงว่าข้าคงดับสูญเป็นแน่”

“มิน่าจะเป็นไรกระมัง แม้จะถูกสวรรค์ลงโทษ แต่ขณะเดียวกันยามที่กลหมากของเจ้าถูกแก้ได้ก็จะช่วยเพิ่มบุญกุศลให้เจ้าด้วย แม้ก่อนหน้านี้เจ้าจะได้พูดจาลบหลู่ แต่คงมิถึงขั้นสังหารเอาชีวิตเจ้าหรอก”

“คงจะ…”

“จำเอาไว้ ขณะที่สวรรค์ลงโทษฟาดฟันลงมาโดยสมบูรณ์ เจ้าต้องตั้งจิตใจให้มั่นเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดให้จงได้”

“ศิษย์จะจำเอาไว้ขอรับ ! ”

ขณะที่เสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้น

สถานที่ที่อยู่ห่างจากเสวียนจีเจินจวินไกลออกไปหลายหมื่นลี้ ก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

หลังจากเสียงนั้นสิ้นสุดลง ผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงจึงประสานมือ แล้วเอ่ยถามอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องเสวียนจีมีโอกาสจะรอดหรือไม่ขอรับ ? ”

มินานเสียงอันน่าเกรงขามนั้นก็ดังขึ้น

“มี หากผู้อาวุโสท่านนั้นต้องการเอาให้ถึงตาย อัสนีบาตทำลายล้างเมื่อครู่คงทำให้เสวียนจีดับสูญไปแล้ว”

“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วขอรับ”

ใบหน้าผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงก็มีรอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นมา ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามต่ออย่างลังเลว่า “ท่านอาจารย์ ท่านผู้นั้นเป็นบุคคลต้องห้ามจริง ๆ หรือขอรับ ? ”

“พูดได้ยาก”

เสียงอันน่าเกรงขามเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ตอนที่ข้าทำนายเมื่อครู่ ด้านหน้าและด้านหลังของผู้อาวุโสท่านนี้ดูสับสนวุ่นวายไปหมด เช่นนั้นข้าจึงมิกล้าทำนายต่ออีก มิเช่นนั้นคงถูกครอบงำกลับอย่างแน่นอน”

“แต่ว่าหากข้าเดามิผิดล่ะก็ เป็นไปได้มากว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะอยู่ระดับนั้นแล้ว มิเช่นนั้นเสวียนจีคงมิถูกสวรรค์ลงโทษเช่นนี้ แต่โชคยังดีที่พอจะเหลือโอกาสให้เขาได้มีชีวิตรอดอยู่บ้าง”

ผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์สีม่วงและผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านได้ยินเช่นนั้น ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเหลือคณา

‘เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ระดับนั้นแล้ว ! ’

‘นี่มัน ! ’

‘นี่มัน ! ’

‘นี่มัน ! ’

‘มีคนเช่นนี้อยู่จริง ๆ หรือ ! ’