“คุณสมบัติแกนวิญญาณของอาจารย์อาหาใช่คนอย่างพวกเราจะเทียบได้”
“ใช่แล้ว ในฐานะที่เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านปรมาจารย์หอปรุงยา แน่นอนว่าจะต้องมีทรัพยากรที่ดี ทุกอย่างต้องดี คนที่ต้องไขว่คว้าต่อสู้อย่างพวกเราจะเปรียบได้อย่างไร”
“อาจารย์อาคุณสมบัติโดดเด่น พวกเราจะเปรียบเทียบได้อย่างไร”
“มีทรัพยากรที่ดี คุณสมบัติโดดเด่น พวกเจ้าคิดว่าเรื่องพวกนี้สำคัญหรือ” หลิวหลีพูดขึ้น พูดตามตรงมีหลายอย่างที่นางเป็นคนไขว่คว้ามาเองด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ การเลือกศิษย์ ก็จะต้องเลือกศิษย์ที่มีแกนวิญญาณดีที่สุดอยู่แล้ว” คนหนึ่งในชุดศิษย์นอกสำนักเอ่ยเสียงกร้าว
“ขอถามหน่อย ตอนแรกเจ้าเข้ามาในสำนักเมฆาคล้อยได้อย่างไร” หลิวหลีถามด้วยความสงสัย
“ตอบอาจารย์อา ตอนนั้นข้าคุณสมบัติแย่ไม่สามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ จึงได้เข้าเป็นศิษย์นอกแทน” ลูกศิษย์คนนั้นยังคงหัวเสีย
“หากว่าข้าเป็นเจ้าสำนักข้าจะไล่เจ้าออกจากสำนัก ไม่ต้องมามองข้า ข้าจำได้ตอนนั้นข้าอายุแค่ 6 ขวบ โดนบอกว่ามีวาสนาเซียน จำเป็นต้องปีนขึ้นไปให้ถึงบันไดเมฆา (ภายหลังหลิวหลีถึงรู้ว่าบันไดนั้นเรียกว่าอะไร) มีเพียงแค่ปีนขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นศิษย์ในสำนักได้ ตอนนั้นอายุยังน้อยก็จริงแต่ข้าก็ยังพอจะรู้เรื่องแกนวิญญาณเช่นกัน แต่นี่ก็ก็เห็นอยู่ว่าตัวเจ้าถอดใจไปก่อนเอง ขึ้นไปบนบันไดเมฆาดูเหมือนไร้จุดสิ้นสุด แต่จริงๆแล้วมันมีจุดสิ้นสุดอยู่ ดูแค่ว่าความพยายามของเจ้ามีมากเท่าใด ไม่มีความพยายาม ไม่มีความอดทน เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองจะสามารถก้าวเข้าสู่หนทางสายนี้ได้” ดูสิ นี่คือคนที่มักโทษคนอื่นส่วนตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ คนแบบนี้บำเพ็ญเพียรมาถึงช่วงพื้นฐานได้อย่างไร หลิวหลีมองด้วยสายตารังเกียจ
ทุกคนเหมือนจะได้เรียนรู้อะไร เหมือนว่าพวกเขาจะเดินทางผิด โทษฟ้าโทษดินโทษคนอื่นมากเกินไป
“เมื่อครู่ท่านไหนบอกว่ามีแกนวิญญาณดี มันก็จริง ข้าเป็นแกนวิญญาณอัคคี แต่หากว่าข้าพึงพอใจในแกนวิญญาณของตัวเองแล้วไม่ฝึกบำเพ็ญต่อแล้วล่ะ พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร” หลิวหลีถามคนกลุ่มนั้นกลับ
“คนแบบนี้สมควรโดนฟ้าผ่าตาย” มีคนพูดขึ้นมา
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาได้ละทิ้งคุณสมบัติที่ฟ้าประทานให้ เป็นความเสียเปรียบของเขาเอง ในทางกลับกันหากเจ้ามีแกนวิญญาณสามธาตุหรือมากกว่านั้น แต่เจ้ามีความมานะเหนือคนทั่วไปและพยายามฝึกบำเพ็ญแสดงว่าสวรรค์ได้มอบความสามารถในการบำเพ็ญเพียรนี้ให้เจ้า แน่นอนว่ามันคือความยุติธรรม ถึงแม้จะให้คุณสมบัติที่ดีกับเจ้ามากเพียงใดแต่หากเจ้าไม่รู้คุณค่าก็เป็นได้แค่คนธรรมดา ในทางตรงกันข้ามหากเจ้ามีคุณสมบัติธรรมดา แต่มีความพยายามมุมานะ แน่นอนว่าหนทางในการบำเพ็ญก็จะยืนยาว หากว่าพวกเจ้ามีเวลาโทษฟ้าโทษดิน สู้เอาเวลานั้นหันกลับมาดูตัวเองดีกว่า ไม่ต้องไปแข่งกับคนอื่น แข่งกับตัวเองเถอะ” หลิวหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพียงแต่สีหน้าไร้เดียงสานั้นช่างน่าขัน
“แข่งกับตัวเองหรือ” หลายคนได้ยินก็อึ้งไป
“ฮ่าๆ แน่นอน เจ้าดูสิ วันนี้พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในช่วงพื้นฐานระยะกลาง พรุ่งนี้เจ้าอาจจะพบว่าพลังเซียนในตัวมีมากขึ้นหรืออาจจะมีความคงที่มากขึ้น ถ้ามีความก้าวหน้าทุกวันก็จะมีความมั่นใจ ในทางกลับกันหากพวกเจ้ากลับไปตั้งเป้าหมายเกินความเป็นจริง มันก็ยิ่งไม่มีความสุขเรื่อย ๆ แล้วก็จะโทษฟ้าโทษดินโทษคนอื่น” หลิวหลีพูดอย่างมีนัยยะ เพียงแต่ว่าหน้าตาที่อ่อนวัยมากเกินไป ทำไมช่างน่าขันขนาดนี้
ทุกคนต่างก็ได้รับรู้อะไรไม่มากก็น้อย
“บางทีแกนวิญญาณของเจ้าอาจจะไม่ได้ดีมากนัก แต่เป้าหมายของเจ้าแน่วแน่ เจ้าสามารถแบ่งเป้าหมายนั้นออกเป็นเป้าหมายเล็กๆ แล้วเจ้าก็จะเห็นความก้าวหน้าในหนทางที่เจ้ากำลังเดินอยู่อย่างไม่รู้ตัว” หลิวหลีให้กำลังใจ
หลิวหลีพูดจบทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ บางคนกระจ่างแจ้งขึ้นมา บางคนเหมือนตื่นจากฝัน แต่บางคนก็หยุดคิดเล็กน้อย หลิวหลีปล่อยพลังเซียนไปครอบคลุมไว้ ไม่ให้รบกวนคนที่เข้าใจจนกระจ่าง
“คำพูดของอาจารย์เป็นอย่างนั้นจริงๆ” ทุกคนต่างก็เต็มใจเรียกปรมาจารย์อาผู้อายุน้อยเท่านี้ว่าอาจารย์ เป็นการยอมรับหลิวหลีในฐานะอาจารย์ผู้สอนแล้ว
“อืม ยังพอมีทางรอด อีกอย่างก็คือสิ่งที่ข้าอยากจะพูด ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญสายไหน ก็จำเป็นจะต้องทำร่างกายให้แข็งแรง ถ้าไม่เช่นนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงวิบากอัสนีบาตหรอก ผู้บำเพ็ญสายเวทย์กี่คนที่พอโดนประชิดตัวก็กลายเป็นผักไป”
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่ากลายเป็นผักหมายถึงอะไร แต่พอฟังก็รู้ว่าน่าจะไม่ใช่คำที่ดี
“ดูข้าก็แล้วกัน ภายนอกข้าเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา ความรู้สึกของนักปรุงยาที่ทุกคนสัมผัสได้คือ มีความน่าเคารพนับถือแต่ต้องการการปกป้อง แต่ว่าข้ากลับสามารถหักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยมือเปล่า พวกเจ้าว่าหากพวกเจ้ารู้แค่ว่าข้าเป็นนักปรุงยา ไม่รู้ว่าร่างกายของข้าแข็งแกร่งขนาดนี้ หากมาสู้กับข้าจะเจอจุดจบอย่างไร” หลิวหลีพูดด้วยรอยยิ้มแล้วมองคนด้านล่าง
คนที่อยู่ด้านล่างคิดขึ้นว่าหากเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น คงอยากจะกลับไปเกิดใหม่แน่
“คิดได้แล้วใช่ไหม อย่าคิดว่าการฝึกบำเพ็ญทางกายเป็นเรื่องยากลำบาก ก็ไม่ได้ให้พวกเจ้าไปฝึกบำเพ็ญอะไรมากมาย ข้าแค่อยากจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง ให้พวกเจ้ารับรู้ด้วยตัวเอง” หลิวหลีชะงัก
“ก่อนที่ฟ้าจะมอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับใครก็ต้องทำให้คนผู้นั้นเผชิญความยากลำบาก เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทำให้เขาต้องอดทนกับความหิวกระหาย ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทำให้เขาไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สมดั่งใจหวัง ทำเช่นนี้เพื่อจะฝึกฝนความมั่นคงแน่วแน่ของเขา ทำให้เขามีความมานะอดทน ฝึกฝนความสามารถที่เขาขาดไป” หลิวหลีอ่านออกมาอย่างเป็นจังหวะ ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ แม้แต่พวกเทียนเย่าที่กลัวว่าลูกศิษย์จะสร้างความวุ่นวายจึงเตรียมมาแก้สถานการณ์ และสงสัยว่าศิษย์น้องจะมาสอนเรื่องอะไรก็ยังตกอยู่ในภวังค์คำพูดของหลิวหลีเช่นกัน
“คิดว่านังหนูจะมาแบบไร้สาระ คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถพูดเรื่องที่ฟังดูมีเหตุมีผลได้ถึงเพียงนี้” เสวียนหั่วเพิ่งได้สติจากคำพูดนั้นเป็นคนแรก
“นั่นสิ พวกเราก็เอาแต่กังวลว่าศิษย์น้องอายุน้อยเกือบจะมีพลังบำเพ็ญเพียรเท่าพวกเราแล้ว ไม่ควรเลยจริง” เทียนเย่าพูดพลางยิ้มเศร้า ศิษย์น้องฝึก ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่ยากที่สุด ถึงแม้จะมีข้อดีไม่น้อยแต่ทุกคนก็มองข้ามความลำบากที่นางเจอ
“คิดว่าศิษย์หลานกลุ่มนี้ที่เข้าฟังการสอนของหลิวหลีจะต้องได้อะไรกลับไปแน่” เทียนเลี่ยนจื่อกล่าว
และเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ คนจำนวนไม่น้อยต่างตกอยู่ในห้วงความคิด หลิวหลีปล่อยพลังออกไปหลายจุดและยังดีดออกไปทางต้นไม้ถึงสองจุด
“จื่ออีกับจื่อซูก็ได้อะไรกลับมาเหมือนกัน” เทียนเย่ารู้สึกภาคภูมิใจ
“พวกข้าก็ได้อะไรจากสิ่งที่นังหนูพูดหมือนกัน” เทียนเซียนจื่อกล่าว
“ก็นั่นแหละ คิดว่าครั้งนี้ถ้ากลับไปเข้าฌาน พลังบำเพ็ญเพียรต้องมีความก้าวหน้าแน่” เทียนเย่ากล่าว
หลิวหลีไม่ได้พูดอะไรแต่ปกป้องคนพวกนี้ เพราะแค่ดึงสติให้พวกเขาได้หยุดคิดบ้างเท่านั้น แล้วพวกเขาก็ทยอยได้สติจากห้วงความคิดแล้วก็ค้นพบว่าพลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย บางคนถึงขนาดอยากจะบรรลุช่วงพลังแต่ถูกหลิวหลียับยั้งเอาไว้
“เจ้าสำนักให้ข้าเลือกช่วงปราณก่อนกำเนิดหรือต่ำกว่านั้น รู้ไหมทำไมข้าถึงเลือกระดับการบำเพ็ญเพียรแบบพวกเจ้าก่อน” หลิวหลีกวาดสายตามองกลุ่มคนที่ทำหน้าตาสับสนไม่เข้าใจ
“เพราะว่า การเข้าสู่ช่วงพื้นฐานนับว่าเป็นการเข้าสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญอย่างแท้จริง มีเพียงแต่ขาก้าวเข้าไปอยู่ในทางเดินแล้วจึงจะมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าได้ เป็นเพราะว่าพวกเจ้าอยู่ในทางเดินนั้นแล้ว แตกต่างแค่ตรงที่ว่าเตรียมจะไปคือทางไหน”
“บทเรียนของข้าจบลงเพียงเท่านี้ ในเมื่ออยู่ในทางเดินนั้นแล้วก็ขาดแค่ทิศทางในการเดิน กลับไปลองทบทวนทิศทางของตัวเองดู วันนี้จบลงเพียงเท่านี้ แยกย้าย” หลิวหลีพูดจบ ราวกับฝ่าเท้ามีน้ำมันนางก็รีบไถลตัวออกไปเลย โถ่เอ๊ย…ให้พูดอะไรที่มีหลักการแบบนี้มันไม่เข้ากับนางเลย
“นังหนูคนนี วิ่งเร็วจริงๆ” เสวียนหั่วบ่น
“จะไม่ให้เร็วได้อย่างไร ให้นังหนูไปนั่งพูดจามีหลักการขนาดนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” เสวียนอวี่จัดการธุระเสร็จก็แวะมาฟังช่วงท้ายๆเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงเลยว่านังหนูจะสามารถพูดจามีหลักการได้ขนาดนี้” เทียนเย่าทอดถอนใจ
“ใช่ พวกข้าได้อะไรกลับมาไม่น้อยเลย” เทียนเลี่ยนจื่อกล่าวขึ้น
“คารวะท่านอาจารย์” ผู้บำเพ็ญที่อยู่ด้านล่างเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า อาจารย์ตัวน้อยของพวกเขาได้จากไปแล้ว พวกเขารู้สึกเคารพนับถือปรมาจารย์อาท่านนี้เข้าแล้ว
หลิวหลีที่หนีกลับหอปรุงยาก็กรอกน้ำชาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอึกใหญ่ พระเจ้า อาชีพการเป็นครูนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นได้เลย ไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักจะกล่าวโทษนางที่ทำให้พวกลูกศิษย์ต้องเสียเวลาเปล่าหรือไม่
“นังหนู ทำไมเจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้” หนานกงเวิ่นเทียนมองสีท้องฟ้า ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้
“เสี่ยวเทียนเองหรือ ข้ากลัวว่าถ้าข้าพูดต่อไปจะพาลูกศิษย์กลุ่มนี้ออกนอกลู่นอกทางแล้วจะทำอย่างไร ก็อาศัยตอนที่ยังหยุดได้เผ่นก่อนจะดีกว่า” หลิวหลีพูดพลางตบหน้าอกตัวเอง
“ใช่แล้ว อาจารย์ล่ะ” หลิวหลีพบว่าอาจารย์ไม่อยู่แล้ว เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีไปบำเพ็ญอยู่ในมิติ อิงเสวี่ยออกไปสำรวจภายนอก
“แค่กๆ นังหนูพูดถึงอาจารย์หรือ” เสียงของเสวียนหั่วดังขึ้นจากด้านหลังของหลิวหลี
“อาจารย์ ท่านทำให้ข้าตกใจหมดเลย” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีหวาดกลัว
“โถ่ นังหนู เมื่อกี้ยังดูน่าเกรงขามอยู่เลยตอนนี้สะดุ้งตกใจแล้วหรือ เจ้าขวัญอ่อนมากไปรึเปล่า” เสวียนหั่วเห็นลูกศิษย์ทำท่าทีตกใจจึงเอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ อาจารย์ ท่านไปฟังข้าให้ความรู้ไร้สาระมาด้วยหรือ” หลิวหลีพูดด้วยความประหลาดใจ
“ความรู้ไร้สาระงั้นหรือ นังหนูเจ้าดูถูกตัวเองมากเกินไปแล้ว” มุมปากเสวียนหั่วเกร็งกระตุก ชักจูงศิษย์ไปผิดทางหรือ ทำไมถึงได้คิดแบบนั้นล่ะ ทั้งๆที่คนกลุ่มนั้นยังถกเถียงกันอยู่เลยว่าพวกเขาได้อะไรกันบ้าง อีกทั้งยังเรียกนังหนูว่า ‘อาจารย์หลิวหลี’ ด้วยซ้ำไป
“แน่นอน เดิมข้าเองก็คิดว่าเจ้าสำนักตัดสินใจผิด ข้าสอนไม่เป็นด้วยซ้ำ” หลิวหลีพูดตรงไปตรงมา คำพูดของนางดูทำให้คนต่อต้านไม่น้อย
“นังหนู เดี๋ยวเจ้ารอดูอีกสักสองสามวัน ลูกศิษย์ช่วงพื้นฐานกลุ่มนี้จะมีจำนวนหนึ่งบรรลุช่วงพลังกันแน่” คำพูดของเสวียนหั่วเหมือนแฝงนัยยะอะไรบางอย่าง
“ฮะ?” หลิวหลีเอียงคอ ทำไมคนกลุ่มนี้ซาบซึ้งได้ง่ายขนาดนี้ หรือว่านางมีศิลปะในการพูดจริง ๆ
“เสี่ยวเทียน ข้าพูดได้ดีหรือ” หลิวหลีถามหนานกงเวิ่นเทียน อยู่ๆก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมาบ้าง
“ใช่ เจ้าทำได้ดีมาก” หนานกงเวิ่นเทียนยืนยัน
“ข้าเก่งมาก” รู้สึกมั่นใจจัง
………………………………………………………