บทที่ 95 ของปลอม

ผู้จัดการหวังชี้ให้เห็นปัญหาใหญ่ตอนนี้ ซึ่งมันก็คือการที่สินค้าของบริษัทขายออกไม่ทันจนเกือบจะล้นโกดังเก็บ

“ขายไม่ทันงั้นเหรอ ?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพร้อมกับครุ่นคิด

“ใช่ครับท่านประธาน อันที่จริงกำลังการผลิตของเราก่อนหน้านี้มันก็เพียงพอต่อยอดสั่งสินค้าประจำวันอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่พวกเราเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมามันจึงทำให้สินค้าของเรามีจำนวนเกินยอดสั่งทันที ซึ่งปัญหานี้มีวิธีทางแก้ที่ดีเพียงอย่างเดียวคือเราจำเป็นต้องหาลูกค้าเพิ่ม!”

ในมุมมองของผู้จัดการหวัง ปัญหานี้คือปัญหาที่ใหญ่มากเพราะมันจะมีประโยชน์อะไรในการที่ผลิตได้มากกว่าเดิมแต่ไม่มีคนมาซื้อของที่พวกเขาผลิตได้มากขึ้น?

ไม่ใช่ว่าการปรับปรุงโครงสร้างมันกลายเป็นสูญเปล่างั้นเหรอ?

“ถ้างั้นเราก็ส่งพวกพนักงานขายออกไปหาลูกค้าเพิ่มอีกสิ? แค่นั้นพวกเราก็แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่

“ขณะนี้พวกเราจำเป็นต้องหาลูกค้ารายใหญ่ในการระบายสินค้าจำนวนมหาศาลของเรา ซึ่งพวกพนักงานขายของเรานั้นแทบจะทั้งหมดมีความสามารถเพียงแค่ติดต่อหาลูกค้าใหม่ได้แต่รายเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเรารอให้พวกพนักงานขายหาลูกค้ารายเล็ก ๆ ได้เป็นจำนวนมากพอ มันก็แก้ปัญหาได้เช่นกัน แต่เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น ตามแผนของท่านประธานคือต้องการให้บริษัทของเราขยายตัวให้เร็วที่สุดภายใน 1 ถึง 2 ปี และยิ่งไปกว่านั้นหากเราไม่แก้ปัญหานี้โดยเร็ว พวกบอร์ดบริหารจะใช้จุดนี้มาโจมตีท่านได้อย่างง่ายดาย”

“ฉะนั้น ทางออกของเราคือจำเป็นต้องหาลูกค้ารายใหญ่ซึ่งในเมืองฮ่วยอันนั้นมีจำกัดเป็นอย่างมาก และลูกค้าพวกนั้นต่างก็มีบริษัทป้อนสินค้าให้กับตัวเองอยู่แล้ว นี่เป็นโจทย์ยากที่พวกเราต้องแก้ให้ได้”

ผู้จัดการหวังรู้สึกจนใจเหมือนกันเมื่อนึกถึงปัญหานี้

“อืม ถ้างั้นปล่อยเรื่องนี้ให้ผมจัดการเองก็แล้วกัน” อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและคิดว่าคราวนี้เขาคงต้องออกไปหาลูกค้าด้วยตัวเอง

หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานจึงออกจากบริษัทพร้อมกับท่องคำว่า ‘ลูกค้า’ ในใจซึ่งตอนนี้มันคือความท้าทายใหม่ของเขา

“เฮ้อ ชีวิตในโลกมนุษย์นี่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกันสินะ”

หลังจากครุ่นคิดจนปวดสมอง อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว

ตอนนี้บริษัทใหญ่ ๆ ที่เขารู้จักนั้นมีเพียงแค่บริษัทเดียวซึ่งก็คือบริษัทของเฉิงกัวอัน

เป็นที่น่าเสียดายที่บริษัทของเฉิงกัวอันขายเกี่ยวกับพวกเวชภัณฑ์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเอาสินค้าในบริษัทที่เกี่ยวกับพวกอะไหล่เครื่องจักรอุตสาหกรรมไปเสนอขายให้ได้

และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เขาก็รบกวนเฉิงกัวอันไปมากแล้ว เขาไม่อยากที่จะรบกวนฝั่งตรงข้ามให้มากกว่าเดิม

เมื่อยังคงคิดไม่ออกว่าควรจะทำยังไงต่อ อวี้ฮ่าวหรานจึงวางแผนว่าจะกลับบ้านก่อนเพื่อไปสงบสมองที่นั่น

ในระหว่างทางกลับ อวี้ฮ่าวหรานก็ผ่านตลาดขายของเก่าที่เดิมซึ่งอยู่ใกล้คอนโดของเขา และเมื่อเขาหันไปมองนาฬิกาซึ่งตอนนี้มันก็ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าถวนถวนจะเลิกเรียน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาควรแวะเข้าไปดูของสักหน่อยเผื่อโชคดี

“ผมรับประกันเลยว่าของชิ้นนี้เป็นของแท้แน่นอน! นี่ไงเอกสารยืนยันจากผู้ตรวจสอบที่มีใบอนุญาต! มันคือแจกันในสมัยราชวงศ์ซ่ง 100% อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะว่าผมร้อนเงินผมไม่มีวันเอามันออกมาขายที่ตลาดแบบนี้แน่นอน!”

เสียงเจ้าของร้านขายของเก่าขาจรที่ตั้งร้านเป็นเพิงชั่วคราวดังลั่นจนดึงดูดความสนใจของอวี้ฮ่าวหราน

อวี้ฮ่าวหรานจึงหันไปมองทันที ซึ่งเขาก็พบว่าเจ้าของร้านผู้นี้กำลังเสนอขายแจกันทรงสูง 1 ฟุตให้กับลูกค้าคนหนึ่งซึ่งกำลังมองมันอย่างสนใจเช่นกัน

แจกันใบนี้ดูสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มันถูกวาดลวดลายอย่างประณีตซึ่งยิ่งทำให้มันดูมีมูลค่าสูงลิ่ว

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานไม่เคยเชื่อคำพูดใครง่าย ๆ เขาใช้เนตรเทวะตรวจสอบแจกันใบนี้ทันทีและเขาก็พบอย่างรวดเร็วว่าแจกันใบนี้มันเป็นของปลอม

แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะของโบราณที่นี่กว่า 95% มันก็เป็นของปลอมทั้งนั้น ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดอยากจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น

“ผมขายให้คุณในราคากันเองเลยก็แล้วกันเพราะผมเองก็ร้อนเงินเช่นกัน 6 ล้าน! คุณลองคิดดูดี ๆ เพราะแจกันแบบนี้หากผมเอาไปขายในงานประมูลราคามันคงพุ่งไปถึง 10 ล้านแน่ ๆ ฉะนั้นนี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสของคุณแล้ว!”

อวี้ฮ่าวหรานที่กำลังจะเดินจากไปถึงกับผงะทันทีเมื่อได้ยินราคานี้จากปากของคนขาย

นี่มันต้มตุ๋นกันมากเกินไปแล้ว!

แจกันของปลอมแบบนี้ถึงมันจะสวยก็จริง แต่มูลค่าของมันอย่างมากก็ไม่เกิน 3-4 หมื่น แต่ไอ้เจ้าของร้านคนนี้กลับคิดราคา 6 ล้านเนี่ยนะ!?

นี่มันอาชญากรรมชัด ๆ!

หากเป็นคนธรรมดา การที่ถูกหลอกเงิน 6 ล้านไปมันอาจทำให้คนคนนั้นฆ่าตัวตายเลยก็ได้

ไม่ได้! แบบนี้เขายอมไม่ได้!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงก้าวเข้าไปร่วมวงด้วย

“ผมเตือนด้วยความหวังดี อย่าซื้อแจกันนี้เด็ดขาด!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นห้ามคนที่กำลังจะซื้อทันที

“หืม? ทำไมล่ะ? ผมไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาเลยนี่นา ทั้งเนื้องานของมันแล้วก็ลวดลาย แถมยังมีใบรับรองด้วย…”

คนที่กำลังจะซื้อเป็นชายอายุราว 40 กว่า ๆ แต่งตัวใส่ชุดสูทราคาแพงซึ่งบ่งบอกว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของบริษัทอะไรสักอย่าง

“ผมดูที่ลวดลายด้านบนและตำหนิของมันแล้ว ซึ่งมันเป็นลวดลายและตำหนิเฉพาะจากสมัยราชวงศ์ซ่งแน่นอน แจกันแบบนี้ถ้าซื้อเอาไปเก็งกำไรคงได้ผลตอบแทนงามเลยล่ะ”

ชายวัยกลางคนที่สนใจจะซื้อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานยังดูหนุ่มมาก เขาจึงเอ่ยวิธีการดูของโบราณราวกับว่าเขากำลังสอนให้คนที่ไม่รู้ถึงมูลค่าของแจกันนี้ให้เข้าใจ

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาเข้าใจได้ทันทีว่าฝั่งตรงข้ามคิดว่าเขาไม่รู้วิธีการดูของโบราณถึงได้เอ่ยอะไรแบบนี้ออกมา

อย่างไรก็ตามฝั่งตรงข้ามไม่มีทางรู้ว่าแจกันใบนี้มันถูกเลียนแบบมาได้อย่างไร้ที่ติจนคนธรรมดาไม่มีทางมองออกด้วยการดูเพียงผิวเผิน มีแต่ต้องใช้เนตรเทวะของเขาเท่านั้นถึงจะเห็นว่ามันเป็นของปลอม!

“แจกันใบนี้เป็นของปลอม”

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น อวี้ฮ่าวหรานจึงกระซิบบอกชายวัยกลางคนเบา ๆ

“ของปลอมงั้นเหรอ? นี่…”

ชายวัยกลางคนอึ้งในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นเขาเดินสำรวจรอบ ๆ แจกันอีกสักพักซึ่งเขาก็ไม่เห็นความผิดปกติของมันเลย

ชายหนุ่มคนนี้รู้ได้ยังไงว่ามันเป็นของปลอม?

“พ่อหนุ่ม นายแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นของปลอม? นายดูมันดีแล้วเหรอ?”

ชายวัยกลางคนยังคงแคลงใจในคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเนื่องจากฝั่งตรงข้ามยังหนุ่มอยู่มาก

แน่นอนว่าเจ้าของร้านเองก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขากระซิบกันอยู่เช่นกันถึงแม้ว่ามันจะเบามากก็ตาม

“เฮ้! หยุดทำเป็นรู้มากได้แล้ว นี่แกคิดจะทำลายชื่อเสียงของฉันรึไง?”

เจ้าของร้านอดไม่ได้ที่จะตวาดเสียงดังปกป้องตัวเอง

“แกบอกว่าของของฉันเป็นของปลอมงั้นไหนแกลองพิสูจน์มาว่ามันปลอมยังไง? ถ้าแกพิสูจน์ไม่ได้ก็รีบไสหัวออกจากร้านของฉันไปซะไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับแกแน่!”

อวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของเจ้าของร้าน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความขบขัน

ดูเหมือนว่าคนผู้นี้คงเป็นพวกประเภทไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาซะแล้ว!

อวี้ฮ่าวหรานหยิบแจกันขึ้นมาจากโต๊ะ จากนั้นเขาเริ่มชี้จุดสังเกตให้เห็นทีละจุดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“ดูตรงนี้ ที่ด้านในปากแจกันมีรอยบิดเบี้ยวของลายอยู่เล็กน้อยที่เกิดจากความร้อนที่สูงเกินไปในการผลิตซึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่งไม่มีเตาหลอมไหนที่ทำความร้อนได้ถึงขนาดนี้แน่นอน และก็ตรงนี้อีก…”

คำอธิบายของอวี้ฮ่าวหรานแต่ละคำนั้นดูเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้เขามีประสบการณ์ดูของโบราณมามากมายแถมยังมีเนตรเทวะเป็นตัวช่วยในการหาสิ่งบกพร่องเล็ก ๆ ที่คนธรรมดาแทบจะมองไม่เห็นอีกต่างหาก

แน่นอนว่าเมื่อโดนชี้ให้เห็นจุดตำหนิแบบนี้ เจ้าของร้านพลันตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง!

ในใจของเขาตอนนี้เต้นโครมครามราวกับกลองศึก เพราะคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานมันถูกต้องทุกอย่างและตัวเขาเองก็รู้ดี

คนที่ขายของปลอมนี้ให้เขาได้บอกจุดตำหนิพวกนี้ให้เขารู้หมดแล้วว่ามันมีอยู่ตรงไหนบ้าง ซึ่งตามปกติแล้วคนธรรมดาไม่ควรที่จะหามันพบได้!

ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันถึงสามารถมองมันออกได้อย่างทะลุทะลวงราวกับเป็นคนสร้างมันขึ้นมาได้แบบนี้?

หลังจากฟังคำอธิบายของอวี้ฮ่าวหรานจนจบ ชายวัยกลางคนก็ยกแจกันขึ้นมาดูอย่างละเอียดตามจุดที่อวี้ฮ่าวหรานชี้ให้ดูเมื่อครู่ ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้เห็นว่ามันน่าจะเป็นของปลอมตามที่อวี้ฮ่าวหรานบอก!

อันที่จริงหากแค่ดูจากแจกันเพียงอย่างเดียว เขาก็คงไม่เชื่อนักว่ามันเป็นของปลอมเพราะตำหนิของมันดูยากมาก ๆ แต่เมื่อเขาหันไปดูสีหน้าและท่าทางของเจ้าของร้านตอนนี้ เขาก็สรุปได้เลยว่าไอ้แจกันใบนี้มันเป็นของปลอมแน่ ๆ

“ผมชักไม่แน่ใจแล้ว ผมขอถอนตัวดีกว่า!” ชายวัยกลางคนวางแจกันลงพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ด…ด…เดี๋ยวก่อนสิคุณลูกค้า! ลองดูให้ดี ๆ อีกทีก่อน! มันเป็นของแท้จริง ๆ นะ อ… เอาแบบนี้ผมลดให้ก็แล้วกันเหลือ 5 ล้านหยวนก็พอ!”

เมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังจะหลุดเบ็ดไป สีหน้าเจ้าของร้านก็ยิ่งตื่นตระหนกซึ่งมันทำให้ดูมีพิรุธมากกว่าเดิม!

“ไม่ล่ะ ผมเปลี่ยนใจแล้วผมคงไม่ซื้อมันแน่นอน!” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหนักแน่น

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนไม่ซื้อแจกันปลอมใบนั้นแล้วเขาจึงเดินออกไปในทันที

อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนผู้นั้นเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเดินจากไป เขาก็รีบเดินไล่ตามแล้วรั้งตัวอวี้ฮ่าวหรานเอาไว้

“น้องชายรอก่อน! น้องชายอายุเท่านี้แต่มีสายตาที่เฉียบคมจริง ๆ ฉันขอนับถือจากใจเลย!”