บทที่ 115 ไร้เรี่ยวแรงรับมือกับความหวาดกลัว

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสิบห้า

ไร้เรี่ยวแรงรับมือกับความหวาดกลัว

สุดท้ายป้าหยางก็ยอมรับเงินสองตำลึงแล้วยกกระถางต้นพริกให้เสวี่ยเจียเยว่ ทั้งยังรับเงินอีกสองตำลึงเพื่อจะนำไปซื้ออีกกระถางด้วย จากนั้นก็บอกว่าจะไปหาญาติผู้นั้นของตนแล้วออกจากร้านไป

เสวี่ยเจียเยว่ดีใจยิ่งนัก เมื่อป้าหยางจากไปแล้ว เธอก็รีบเข้าไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพี่ พวกเราจะรวยกันแล้วเจ้าค่ะ”

ที่แห่งนี้ไม่มีพริก รสเผ็ดในอาหารล้วนมาจากฮวาเจียว[1] และดอกจูอวี๋[2] ทว่าตอนนี้มีพริกแล้ว…

เมื่อนึกถึงอาหารในภพที่จากมาอย่างปลาส้ม ต้มเนื้อ ต้มเผ็ดเลือดเป็ดและเครื่องใน ไก่ผัดพริก และหม้อไฟน้ำแดงน้ำมันเยิ้ม เสวี่ยเจียเยว่ก็อยากเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะออกมาดังๆ ไม่มีสิ่งใดทำให้สุขใจได้เท่านี้อีกแล้ว

พวกเขาอยู่ที่ร้านจนกระทั่งฟ้ามืดก็ปิดประตู ระหว่างทางที่เดินกลับเรือน สีหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นห่วง พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอยากช่วยยกกระถางต้นพริก ทว่าถึงอย่างไรเธอก็ไม่ยอม เอาแต่กอดกระถางเอาไว้แนบอกอย่างหวงแหน อุ้มอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในใต้หล้านี้

เสวี่ยเจียเยว่เอาแต่มองกระถางต้นพริกด้วยรอยยิ้มจนกระทั่งเดินมาถึงเรือน ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือและระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบพริกเริ่มเหลืองแล้ว เธอก็เด็ดออกเบาๆ แล้วบอกเสวี่ยหยวนจิ้งว่าตนจะนำอ่างไม้ออกไปตักน้ำมารดต้นพริก

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าในสายตาของเด็กสาวมีเพียงต้นพริกในกระถางนั้น ไม่มีเขาอยู่ในสายตาแม้แต่เศษเงาเดียว ก็ทั้งนึกขำและโกรธไม่น้อย

ที่เขาขำก็เพราะว่าต้นพริกในกระถางนั้นมองอย่างไรก็เป็นเพียงไม้ประดับ แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับใส่ใจดูแลมันยิ่งนัก และที่โกรธคือในสายตาของแม่นางน้อย เขาไม่สำคัญเท่าต้นพริกในกระถางนั้น…

ด้วยเหตุนี้เขาจึงนึกอิจฉามันอย่างอดไม่ได้

เสวี่ยเจียเยว่ยกอ่างไม้ที่ตักน้ำใส่จนเต็มเข้ามาในเรือน แล้วค่อยๆ เทน้ำลงที่โคนต้นพริก ก่อนจะใช้มือจุ่มลงในน้ำแล้วสลัดใส่ใบพริกเบาๆ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าพืชชนิดนี้ชอบแสงแดด และต้องรับน้ำค้างยามที่พระจันทร์ปรากฏขึ้นมา ไม่อาจวางไว้ในเรือนเหมือนไม้ประดับอื่นๆ ได้ เธอก็ยกกระถางออกไปวางไว้บนลานด้านนอก

ขณะเดียวกันเธอกังวลว่าเสี่ยวฉานกับหูจื่อจะมาแตะต้องมัน จึงลังเลว่าจะเข้าไปเรียกพวกเขาที่เรือนดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็เห็นว่าเด็กทั้งสองคนกำลังเดินออกมาพอดี

เธอรีบเรียกพวกเขาด้วยความดีใจ “เสี่ยวฉาน หูจื่อ พริกกระถางนี้ข้าให้ความสำคัญยิ่งนัก พวกเจ้าห้ามมาแตะต้องมันเด็ดขาด หากเห็นคนอื่นคิดจะเข้ามาแตะต้องมัน พวกเจ้าสองคนต้องรีบห้ามเอาไว้ เข้าใจหรือไม่ แล้วข้าจะเลี้ยงขนมถังบ๊ะจ่างพวกเจ้าทั้งสอง”

เสี่ยวฉานกับหูจื่อพยักหน้าพร้อมกับรับปาก จากนั้นเด็กชายก็เอ่ยขึ้นมาอีก “พี่เยว่ ป้าโจวให้ข้ามาบอกท่านว่านางไปแล้ว ท่านไม่ต้องกังวล และนางยังบอกให้ข้ามอบปิ่นนี้ให้ท่านด้วย”

เมื่อกล่าวจบเขาก็ยื่นปิ่นที่ถือเอาไว้ให้เสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยเจียเยว่ก้มมองก็พบว่าเป็นปิ่นเงินรูปผีเสื้อและดอกไม้ ไม่เพียงดอกโบตั๋นที่ทำได้งดงามเท่านั้น ผีเสื้อยังดูมีชีวิตชีวาราวกับหนวดทั้งสองเส้นบนหัวมันกำลังสั่นไหวเบาๆ ดูงดงามยิ่งนัก

เธอจำปิ่นอันนี้ได้… ตอนที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อสองปีก่อน มีครั้งหนึ่งป้าโจวป่วย เธอจึงคอยส่งข้าวส่งน้ำให้นางด้วยความหวังดี จากนั้นป้าโจวมอบปิ่นนี้ให้เธอเป็นค่าเหนื่อย แต่เธอก็ปฏิเสธไป ทว่าตอนนี้…

เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้ามองหูจื่อด้วยความประหลาดใจ “ป้าโจวไปแล้ว… หมายความว่าอย่างไร นางไปที่ใด”

เพราะหัวใจกำลังกระวนกระวาย น้ำเสียงของเธอจึงต่างจากยามปกติอยู่ไม่น้อย ทำเอาเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดิมทีอยู่ในเรือนประหลาดใจ จนต้องรีบเดินออกมาเอ่ยถาม

“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เอ่ยถามหูจื่อด้วยความร้อนใจ “หูจื่อ ป้าโจวไปที่ใด นางได้บอกไว้หรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร”

เดิมทีหูจื่ออายุก็ยังน้อย ทั้งยังมีนิสัยขลาดกลัว ยามนี้เขาจึงตกใจอย่างเห็นได้ชัด และซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยวฉาน มือก็กำชายเสื้อของผู้เป็นพี่สาวเอาไว้แน่น

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น ก็โน้มตัวลงและวางมือขวาลงบนไหล่ของเขาพร้อมกับจ้องมอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หูจื่อ พี่เยว่ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก นางเพียงเป็นห่วงป้าโจวเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกข้าเถอะ วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ป้าโจวพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

พอเห็นแววตาอ่อนโยนของเสวี่ยหยวนจิ้ง หูจื่อก็ค่อยๆ สงบลง และครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย

“วันนี้หลังจากพี่เยว่กับพี่จิ้ง และแม่ข้ากับพี่สาวของข้าออกไป ข้าก็เล่นอยู่ในลาน เล่นไปได้สักพัก ข้าได้ยินเสียงเคาะประตูใหญ่ที่ลาน ข้าจึงถามว่าใคร แต่ยังไม่เปิดประตูให้ พอคนด้านนอกไม่ตอบ ข้าจึงนึกว่าเขาจากไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา ทำให้ข้าตกใจจนสะดุ้งโหยง ยืนตัวแข็งทื่อมองเขาผู้นั้น หลังจากเข้ามาเขาก็เปิดประตูลาน แล้วอีกคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามา

“ข้า… ตอนนั้นข้ากลัวมากจนร้องไห้ออกมา ข้าถามพวกเขาว่าเป็นใคร และบอกให้พวกเขาออกไป แต่พวกเขากลับไม่ไป คนที่กระโดดข้ามกำแพงเข้ามาก่อนถามว่าที่นี่คือที่อยู่ของสตรีแซ่โจวหรือไม่ ข้าก็เอาแต่ร้องไห้ไม่พูด ต่อมา… ต่อมาป้าโจวก็เปิดประตูเรือนของนาง เมื่อพวกเขาสองคนเห็นป้าโจวก็คุกเข่าลงทันที ข้าได้ยินเสียงป้าโจวถอนหายใจ แล้วนางก็มอบขนมไห่ถัง[3] ให้ข้า บอกข้าว่าอย่าร้องไห้และอย่ากลัว จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเข้าไปในเรือนกับป้าโจว พอนางออกมาก็มอบปิ่นเงินอันนี้ให้ข้า ให้ข้านำมามอบให้พี่เยว่ และบอกว่านางต้องไปแล้ว ขอพี่เยว่อย่าได้เป็นห่วงนาง แล้วก็เดินออกไปพร้อมกับสองคนนั้น”

หูจื่อพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ขณะมองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความประหม่า “พี่… พี่จิ้ง มี… มีเพียงเท่านี้ขอรับ ส่วน… ส่วนอื่น… ไม่มีแล้วขอรับ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อือ พี่จิ้งเข้าใจแล้ว เจ้ากับพี่สาวกลับเรือนก่อนเถอะ”

หูจื่อตอบรับทั้งที่มือเล็กยังจับชายเสื้อของเสี่ยวฉานเอาไว้แน่น ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปที่เรือนของพวกตน

เสวี่ยเจียเยว่เอื้อมมือไปคว้าแขนของเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้ด้วยความร้อนใจ และเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“ท่านพี่ สองคนนั้นคือใครกันเจ้าคะ เหตุใดท่านอาจารย์ถึงได้ไปกับพวกเขา พวกเขาจะทำดีกับท่านอาจารย์ของข้าหรือไม่”

เสวี่ยหยวนจิ้งจับมือเรียวเล็กไว้ สัมผัสได้ว่ามือนี้เย็นเฉียบ เมื่อมองตาของเสวี่ยเจียเยว่ ก็พบว่ามีน้ำใสๆ คลออยู่ เขารู้สึกสงสารแม่นางน้อยยิ่งนัก

เขาจูงมือเสวี่ยเจียเยว่กลับเข้าเรือน และกดไหล่บอบบางเบาๆ ให้แม่นางน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งลงตรงหน้าอีกฝ่าย และจับมือที่เย็นเฉียบนั้นเอาไว้

“เจ้าวางใจเถอะ สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายป้าโจวอย่างแน่นอน” เขาเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เมื่อครู่นี้หูจื่อบอกว่าพวกเขาคุกเข่าลงทันทีเมื่อเห็นป้าโจว หลังจากนั้นก็ไม่ได้บังคับนางให้ไปกับพวกเขาด้วย ไม่อย่างนั้นป้าโจวคงไม่มีเวลามอบปิ่นเงินนี้ให้หูจื่อ และสั่งความให้เขามาบอกเจ้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงนางหรอก”

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกตื่นตระหนก ราวกับว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดวงตานั้นเพียงจับจ้องไปที่เสวี่ยหยวนจิ้ง

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะพบพานเรื่องอันใด และต่อให้เธอตื่นตระหนกเพียงใด ตราบใดที่มีเขาอยู่ข้างๆ เธอก็จะรู้สึกเหมือนมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเสมอ เขาแยกแยะทุกอย่างและอธิบายให้ฟัง ทั้งยังบอกเธอเสมอว่าไม่ต้องกังวล เขาจะจัดการทุกอย่างเอง

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ว่าสองคนที่มาหาป้าโจวในวันนี้มีฐานะเช่นไร แต่เขาไม่อาจแสดงอาการใดๆ ต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ได้

เขารู้ว่าป้าโจวสำคัญต่อเสวี่ยเจียเยว่เพียงใด นางไม่เพียงเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนญาติคนหนึ่งของเด็กสาว เมื่อจู่ๆ ได้ยินว่ามีคนแปลกหน้าสองคนมาพาตัวนางไป อีกทั้งนางยังไปด้วยความเต็มใจ แน่นอนว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่ย่อมเป็นกังวล

พอเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังคงตื่นตระหนกและกังวล เขาก็ลูบหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยฝ่ามืออันอบอุ่น และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อันที่จริงในใจเจ้าเองก็รู้ดีว่าฐานะของป้าโจวนั้นไม่ใช่ธรรมดาใช่หรือไม่ ตามที่หูจื่อกล่าวมาเมื่อครู่ ท่าทางสองคนที่มาในวันนี้ดูเคารพนางยิ่งนัก บางทีพวกเขาอาจเป็นบ่าวรับใช้ที่มาเชิญตัวนางกลับเรือน ป้าโจวยังกำชับหูจื่อให้บอกเจ้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงนางใช่หรือไม่ แล้วเจ้าจะกังวลไปไย หากนางรู้เข้าจะสบายใจหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล่าวคำใด ความจริงแล้วที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมานั้นเธอเข้าใจดี แค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้นเอง

เธอเป็นคนที่ขาดความรัก ไม่ว่าในภพก่อนหรือภพนี้ คนที่ดีกับเธอจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงหวงแหนคนที่ดีกับตนทุกคน อยากจะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต แต่ในใจก็รู้ดีว่าเมื่อเวลาผ่านไป จะมีสักกี่คนที่อยู่กับเธอไปตลอดชีวิตได้ ไม่ว่าจะจากตายหรือจากเป็น เมื่ออยู่ร่วมกันได้ระยะหนึ่งก็ต้องแยกจากกัน เช่นเดียวกับมารดาและตายายของเธอในภพที่จากมา รวมทั้งป้าโจวในภพนี้

แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้เล่า เขาจะเดินไปกับเธอเพียงแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องแยกจากไปเช่นกันหรือไม่ ถึงอย่างไรในภายภาคหน้าเขาต้องแต่งภรรยามีครอบครัว เมื่อถึงตอนนั้นในใจของเขาก็ต้องมีสตรีอื่น แล้วเขาจะทำตัวใกล้ชิดกับเธอเช่นนี้อีกหรือไม่ หรือจะค่อยๆ ห่างเหินกันไป ไม่ว่าพี่น้องจะสนิทกันแค่ไหนในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้นความสนิทสนมนั้นก็ย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา

พอคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง น้ำตาไหลพรากอย่างอดกลั้นไม่ได้

เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าเด็กสาวยังเป็นห่วงป้าโจว จึงใช้มือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าขาวเนียนเบาๆ และเอ่ยปลอบใจ

“อย่าร้องไห้ไปเลย หากพวกเจ้าศิษย์อาจารย์ยังมีวาสนาต่อกัน เมื่อถึงเวลาก็ต้องได้พบกันอีก”

ทุกครั้งที่เห็นเสวี่ยเจียเยว่ร้องไห้ หัวใจของเขาก็แสนจะเจ็บปวด อยากจูบซับน้ำตาบนใบหน้าของแม่นางน้อยเสียให้ได้ และเอ่ยปลอบใจอย่างอ่อนโยน ขอเพียงแค่เด็กสาวมีความสุข ไม่ว่าเรื่องอันใดเขาก็ยินดีจะทำ

ทว่ายิ่งเขาอ่อนโยนมากเท่าไร เสวี่ยเจียเยว่ยิ่งคิดว่าต่อไปเมื่อเขาแต่งภรรยาแล้วจะค่อยๆ ห่างเหินกับเธอ เป็นเหตุให้เธอตื่นตระหนก และความกลัวที่อธิบายไม่ได้ก็เกาะกุมหัวใจของเธอแน่น

คนผู้นี้คือคนเดียวที่ปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดี ต่อให้เธอเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือไม่เอาไหนก็ตาม…

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจปล่อยให้เขาจากไปได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปได้เยี่ยงไร

[1] คือพริกไทยเสฉวน

[2] คือดอกด็อกวู้ด เป็นไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ลำต้นมีขนาดใหญ่ร่มรื่น ดอกมีสีขาวและออกเป็นแนวตามกิ่ง

[3] คือขนมกินเล่นชนิดหนึ่ง เคลือบด้วยน้ำเชื่อมสีม่วงแดงคล้ายดอกไห่ถัง