เล่ม 2 ตอนที่ 143 อับจนหนทาง

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“ไม่ได้ ที่นั่นอันตรายมาก เจ้าจะไปได้อย่างไร”

ผู้อาวุโสซุนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด

พรสวรรค์และความสามารถของซือถิงนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งพอ

ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับซือถิง เขาในฐานะอาจารย์จะทำเยี่ยงไร

ซือหยางอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปใกล้และกระซิบกับเขาว่า

“พี่ใหญ่ พี่บ้าไปแล้วหรือ นั่นคือนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา สัตว์อสูรระดับเจ็ดเชียวนะ พี่ไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วหรือ”

เขาลังเลและมองไปรอบๆ ก่อนจะลดเสียงพูดลง

“เพื่อ…เพื่อผู้อื่น พี่มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเลยนี่นา! อีกอย่าง หากพี่ไปแล้ว ไม่แน่อาจจะเป็นภาระของผู้อาวุโสซุนก็ได้!”

ซือถิงยังคงยืนกรานหนักแน่น

“ซือฝุ เพราะที่นั่นอันตราย ศิษย์จึงต้องตามท่านไปด้วย ท่านเป็นอาจารย์ของศิษย์ ตอนนี้ไม่สมควรนิ่งดูดาย ถึงอย่างไร…ศิษย์ก็พอมีความสามารถ ท่านเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อถึงคราวนั้น ศิษย์อาจจะพอช่วยเหลือท่านได้บ้างนะขอรับ”

ปกติซือถิงมักจะเป็นคนสุขุมไม่พูดจา แม้จะมีผลการเรียนดีเยี่ยม แต่เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ

นี่เป็นครั้งแรกที่คำพูดพวกนี้หลุดออกจากปากเขา ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสและอาจารย์ท่านอื่นอย่างอดมิได้

ซือหยางเหลือบมองเขา เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมซือถิงได้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

พี่ใหญ่เป็นคนที่เวลาทำสิ่งใดมักเด็ดเดี่ยวเสมอ เขาจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ถ้าบอกว่าจะไป เช่นนั้น…ก็จะไปให้ได้เด็ดขาด

คนอื่นไม่รู้สาเหตุ แต่เขากลับรู้ดี

ไม่ใช่เพราะคนคนนั้นอยู่ที่นั่นหรอกหรือ!

“เฮ้อ!”

ซือหยางถอนหายใจอย่างหนัก ก่อนจะก้าวออกไปให้พ้นสายตา

ผู้อาวุโสซุนมองซือถิงด้วยความประหลาดใจ

“…เจ้าจะไปจริงๆ หรือ”

ซือถิงพยักหน้า

ผู้อาวุโสซุนเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขา เขาก็ยอมตอบตกลงในที่สุด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ตามซือฝุมาด้วยกันเถิด!”

“ข้างนอกตรงนี้ น่าจะใช่ทางออกแล้วล่ะ”

เฉินหู่ทุบผนังถ้ำข้างหน้าเขา เขาปาดเหงื่อออกจากหน้าผากด้วยสีหน้าที่ดูแช่มชื่นขึ้นมาบ้าง

มู่หงอวี๋ก้าวไปข้างหน้า จากนั้น

ทุบผนังเหมือนที่เฉินหู่ทำก่อนจะแนบหูฟังอย่างใกล้ชิด

“เสียงดูเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้นิดหน่อย”

มู่หงอวี๋พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“เฉินหู่ เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าข้างนอกนี้คือทางออก”

“แน่นอน! เมื่อก่อนตอนข้าอยู่บ้าน ข้าชอบตามท่านพ่อขึ้นเขา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ข้าก็พอจะฟังเสียงมันออกนะ”

เฉินหู่ตบหน้าอกด้วยความภูมิใจในตัวเอง

“ถ้าทุบผนังถ้ำนี่ออกไปหนึ่งชั้นแล้วหากข้างนอกไม่ใช่ทางออก เจ้าต้องรับผิดชอบ!”

เมื่อเห็นว่าเขามีความมั่นใจมาก มู่หงอวี๋จึงเชื่อใจประมาณเจ็ดแปดส่วน จากนั้นนางก็หันไปมองกู้หมิงเฟิง

“เจ้ามาซิ”

กู้หมิงเฟิงพยักหน้า ส่งสัญญาณให้ทั้งสองถอยหลังไป

เขายืนอยู่หน้าผนังถ้ำ ถือค่ายกลนิลกาฬเอาไว้ในมือ

ทันทีที่ตั้งสมาธิมั่น พลังในร่างกายของเขาก็ถ่ายเทเข้าไปในค่ายกลนิลกาฬ!

ฉับพลันมีแสงประกายรำไรปรากฏขึ้น

…นั่นคือสัญญาณว่ากระบวนค่ายกลกำลังจะเปิดออก!

บริเวณโดยรอบมืดมิดและเงียบสนิท แสงประกายกลายเป็นแสงเจิดจ้า

ดวงตาของคนทั้งสามจับจ้องไปที่ค่ายกลนิลกาฬ

ลูกหมีดิ้นขลุกขลักด้วยความกระสับกระส่าย มู่หงอวี๋รีบเอามือลูบหูและกอดมันแน่นขึ้น

ถ้ามีอะไรผิดพลาดในภายหลัง นางสามารถปกป้องมันได้

พลังของกู้หมิงเฟิงถ่ายเทเข้าไปในค่ายกลนิลกาฬอย่างต่อเนื่อง และแสงข้างบนนั้นก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ!

ในไม่ช้าโครงร่างของค่ายกลก็ปรากฏขึ้น!

แรงกดดันที่แอบแฝงค่อยๆ แพร่กระจายออกมาจากค่ายกล

เฉินหู่พึมพำเสียงต่ำ

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่จะเป็นอย่างไรบ้าง”

มู่หงอวี๋ใจกระตุกวูบ

อันที่จริง พวกเขาอยู่ตรงนี้ แม้ว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวภายนอกอันเลือนราง แต่พวกเขาไม่สามารถเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง

ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกจะเป็นเช่นไร

นางระงับความกังวลใจและหายใจเข้าลึกๆ

“หลิวเยว่เป็นคนฉลาดมีความสามารถ นางจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ในเมื่อนางสัญญาว่าจะเจอกันข้างนอก นางไม่มีผิดสัญญาแน่ ตอนนี้เรารีบหาทางออกไป เพื่อจะได้กลับไปรวมตัวกับนางโดยเร็วที่สุดไงล่ะ”

เฉินหู่พยักหน้าหงึกหงัก

“ถูกต้อง!”

วูบ!

ทันใดนั้นก็มีเสียงอื้ออึงแผ่วเบาดังขึ้น!

ทั้งสองคนมองใจจดใจจ่อ แต่กลับเห็นว่าค่ายกลนิลกาฬในมือกู้หมิงเฟิงวาดโครงสร้างค่ายกลได้สมบูรณ์แบบแล้ว

แสงสว่างเจิดจ้า รวมพลังสำเร็จ

“สำเร็จแล้ว!”

เฉินหู่ชูกำปั้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ทว่าในไม่ช้า แสงของค่ายกลก็อ่อนลงในทันใด พลังที่พวกเขาเคยรู้สึกมาก่อนก็ดูเหมือนจะไม่เสถียร

“นี่มันอะไรกัน” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหู่นิ่งค้าง

ทันใดนั้นมู่หงอวี๋ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“หรือว่า…เป็นเพราะพลังของกู้หมิงเฟิงคนเดียวไม่เพียงพอที่จะเปิดค่ายกลนิลกาฬนี้ได้”

เพราะเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ เขาจึงมีข้อด้อยในแง่นี้อยู่มาก ผู้ฝึกยุทธ์มักจะใช้พลังงานมากกว่าปรมาจารย์เพื่อที่จะเปิดผลึกค่ายกลนิลกาฬได้สำเร็จ!

“แต่ตอนนี้เราสองคนช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้ว…พลังของข้าหมดลงแล้ว” เฉินหู่กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น แสงเริ่มสลัวลงไปเรื่อยๆ

มู่หงอวี๋ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนแรง

“หากตอนนี้ข้าบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ได้ก็คงจะดี”

หากเป็นดั่งที่พูด จะต้องไม่มีอุปสรรคแน่นอน!

หลิวเยว่มอบไพ่ใบสุดท้ายไว้ให้พวกเขาและออกไปเผชิญอันตรายเพียงลำพัง แต่เรื่องแค่นี้พวกเขาก็ยังทำไม่สำเร็จเลย…

บรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็ง

วูบ วูบ!

เสียงวูบวาบดังขึ้นอีกครั้ง มู่หงอวี๋และเฉินหู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าพลังปราณในร่างกายกู้หมิงเฟิงแข็งแกร่งมากขึ้นในทันใด

ค่ายกลนิลกาฬที่อยู่ตรงหน้าเขาส่องแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง!

มู่หงอวี๋ลืมตาอ้าปากค้าง

เฉินหู่เผลอสบถคำหยาบอย่างอดมิได้

“โอ้! กู้หมิงเฟิง มารดาเจ้าสิ นี่เจ้าบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ได้ตั้งนานแล้วหรือ!”

ตู้ม!

ทันใดนั้นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาจากค่ายกลนิลกาฬ

ฉู่หลิวเยว่กัดฟันยืนขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปข้างหน้า

นางเดินเชื่องช้า เลือดในร่ากายไหลออกมาไม่หยุด ทุกย่างก้าวจะทิ้งรอยเท้าเปื้อนเลือกที่น่าตกใจไว้ข้างหลังของนาง

นาคาปีกทมิฬกลืนเวหามองลงมาที่นางด้วยความเย็นชา เจตนาฆ่าในดวงตาของมันก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น

การปฏิเสธยอมรับความพ่ายแพ้ของฉู่หลิวเยว่ทำให้มันโกรธเกรี้ยว

แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่ยอมฆ่านางให้ตายรู้แล้วรู้รอดสักที!

ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หยุดฝีเท้า

จากนั้นนางก็ก้มลงเพื่ออุ้มเพียงพอนน้อยที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนพื้นขึ้นมา

เมื่อดูใกล้ๆ ร่างกายของมันดูสั่นเทาเล็กน้อยจากการหายใจ มันยังมีชีวิตอยู่

ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถึงแม้มันจะไม่ใช่สัตว์อสูรของนาง แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่ามันจะยอมเสียงตายเพื่อนาง

โดยเฉพาะช่วงวิกฤตสุดท้าย มันเลือกที่จะยืนเคียงข้างนาง

ในขณะที่มือของฉู่หลิวเยว่กำลังจะแตะต้องตัวมัน คลื่นอันทรงพลังพลันซัดสาดเข้ามา!

ฉู่หลิวเยว่กระเด็นออกไปอีกครั้ง!

ในที่สุด คราวนี้นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาเคลื่อนไหวแล้ว

มันกระพือปีก แล้วบินมาทางฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นมันก็อ้าปากเสมือนแอ่งโลหิตของมัน ราวกับว่ามันสามารถกลืนเวหาและปฐพีได้!

ฉู่หลิวเยว่แทบจะหมดสติจากการโจมตีครั้งนี้ นางทำได้เพียงใช้แรงเฮือกสุดท้ายประคองสติ

ในขณะที่นางกำลังกระอักเลือดออกมาเต็มปากและแทบลืมตาไม่ขึ้น สิ่งที่นางเห็นคือเขี้ยวแหลมคมเย็นยะเยือก!

นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาอยู่ในสายตาแล้ว! และมันกำลังจะกลืนกินนาง!

ฉู่หลิวเยว่หลบหนีโดยสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าร่างกายครึ่งหนึ่งรู้สึกเหน็บชา ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย!

ในรูม่านตาแนวตั้งคู่นั้นมองเยาะเย้ยนางอยู่เบื้องบน

ผู้ที่อ่อนแอกว่า ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม

ฉู่หลิวเยว่กัดฟัน…นางจะมาตายที่นี่ไม่ได้!

วูบ!

ทันใดนั้นหยดน้ำในจุดตันเถียนของนางก็เกิดความปั่นป่วน!