ฮึ่ย สมุนไพรปรุงยามีตั้งสามสิบกว่าชนิด ทั้งยังเติบโตในแหล่งที่ต่างกัน นางต้องใช้เวลาเก็บอีกกี่ปีกี่ชาติก็ไม่รู้ถึงจะได้ครบ สู้เจียดเงินสักนิดหนึ่งไปซื้อสมุนไพรมาเสียเลยยังจะดีกว่า

คำพูดของอาจารย์สวีเป็นเหมือนการสะกดจิต ยิ่งเมื่อยังไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยตั้งแต่ข้ามภพมาจนถึงตอนนี้ กู้ชูหน่วนจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนที่นางตกใจตื่นขึ้นมาก็เป็นเพราะเซี่ยวอวี่เซวียนฟาดจนตื่น

นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง “เช้าแล้วเหรอ”

อาจารย์สวีโมโหมาก “กู้ชูหน่วน เจ้ายังเห็นหัวคนแก่อย่างข้าอยู่หรือไม่ฮึ”

กู้ชูหน่วนเกาหูที่มีเสียงดังหึ่งๆ ของตัวเอง

ตาเฒ่าเน่าเปื่อยนี่ แก่แล้วขี้โมโหแถมยังขี้ฉุนเฉียวอีก

ทุกคนในโรงเรียนอดหัวเราะไม่ได้

มาช้าก็แล้ว คิดไม่ถึงว่ายังจะกล้าหลับในห้องเรียนอีก

แต่อาจารย์สวีขึ้นชื่อเรื่องความโมโหร้ายอยู่แล้ว

“ที่นี่คือโรงเรียนแห่งราชสำนัก มีผู้คนมากมายอยากจะเข้ามาเรียนที่นี่ แต่เจ้าเล่า… เจ้ากลับมานอนในห้อง เจ้า… เจ้าจะทำให้ข้าโกรธจนตายหรืออย่างไร”

เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เขาควรจะดีใจหรือเห็นใจนางดี

ตอนที่กู้ชูหน่วนไม่มา เขาจะเป็นคนที่ถูกอาจารย์จับผิดตลอดเวลา ตอนนี้ดูเหมือนว่าลมจะเปลี่ยนทิศ แม่สาวอัปลักษณ์ผู้นี้ดูเหมือนจะไร้เหตุผลเสียยิ่งกว่าเขา

อย่างมากเขาก็แค่แอบงีบหลับ แต่นางกลับหลับจนถึงขั้นกรนออกมา

กู้ชูหน่วนแก้ตัวอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว สำนักศึกษาในวังคือที่ใดกัน มีหรือที่ข้าจะไม่อยากเข้ามาเรียน ข้าจะกล้าหลับไปได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ข้าแค่กำลังใคร่ครวญถึงคำสอนของท่านก็เท่านั้น”

“สามหาว เจ้าหลับในห้องเรียนแล้วยังจะมาอ้างเหตุผลอะไรอีก ไหนเจ้าลองบอกมาสิ เมื่อครู่นี้ข้าอธิบายไปถึงตรงไหน”

กู้ชูหน่วนเบนหน้าและกวาดสายตาไปทางเซี่ยวอวี่เซวียน ส่งสายตาบอกใบ้เขา

เซี่ยวอวี่เซวียนยกหนังสือมาบังหน้าและกระซิบว่า “หนูไป”

หนูไป? หนู? มันอะไรกันเนี่ย

นางกะพริบตาอย่างงงงวย

“หนูไป หนูไปแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้ชูหน่วนก็ยิ่งงงงัน

นี่มันวิชาบ้าบออะไรกันแน่เนี่ย

“กู้ชูหน่วน เซี่ยวอวี่เซวียน พวกเจ้าสองคนยักคิ้วหลิ่วตาอะไรกันน่ะ”

“ท่านอาจารย์ เมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับ วันนี้ตาก็เลยไม่ค่อยดี กระตุกตลอดเวลาเลยขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน” เซี่ยวอวี่เซวียนอธิบาย

นักเรียนในห้องต่างพากันหัวเราะ

สองคนนี้อยู่ร่วมโต๊ะเดียวกัน คนหนึ่งเป็นลูกคนมีฐานะ คนหนึ่งเป็นพวกสมองขี้เลื่อย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะกันเสียจริง

กู้ชูหลานยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง

น้องสาวอย่างนางมีปัญญาความรู้มากแค่ไหนคนอย่างนางรู้ดีกว่าใคร นี่นางก็แค่รอดูเรื่องตลกเท่านั้น

“กู้ชูหน่วน เจ้ายังไม่รีบตอบมาอีกว่าเมื่อครู่นี้ข้าอธิบายถึงตรงไหน”

“หนูออกไปแล้ว” กู้ชูหน่วนจำต้องตอบออกไป ได้แต่หวังว่าจะเชื่อถือเซี่ยวอวี่เซวียนได้

“ฮ่าๆๆๆ….”

ทุกคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนแทบจะหายใจกันไม่ทัน

กู้ชูหน่วนดึงสีหน้า จ้องไปทางเซี่ยวอวี่เซวียนอย่างไม่พอใจ กระซิบสาปแช่งว่า “ข้าก็ไปหลงเชื่อความชั่วร้ายของเจ้า”

เซี่ยวอวี่เซวียนทำหน้าไม่พอใจ “ก็อธิบายมาถึงหนูออกไปแล้วไง”

“เจ้าพวกนี้ พวกเจ้า… พวกเจ้าสองคนคิดจะทำให้ข้าโกรธจนตายหรืออย่างไร”

อาจารย์สวีทุบอกและชี้ไปที่ด้านนอก “พวกเจ้า… พวกเจ้าออกไปวิ่งรอบสำนักศึกษาในวังมาห้าสิบรอบ ถ้าวิ่งไม่ครบไม่ต้องกลับมา”

เซี่ยวอวี่เซวียนตกใจ “อาจารย์ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

“คุณชายเซี่ยวหนอคุณชายเซี่ยว พี่ชายคนโตของเจ้าเพียบพร้อมทั้งการบู๊การบุ๋น พี่ชายคนรองเข้ามาเป็นปราชญ์ในราชสำนักและเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่หาใดเทียบ เจ้า… เหตุใดเจ้าจึงไม่ได้รับเศษเสี้ยวพรสวรรค์จากพี่ของเจ้ามาบ้างเลยฮึ ข้าพร่ำสอนอยู่ที่นี่เป็นนาน เจ้ากลับพูดมาว่าหนูออกไปแล้ว อยากทำให้ข้าโกรธจนตายรึ เจ้าจะให้ข้าแบกหน้าไปพบกับท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยวได้อย่างไร”

เขาช่วยแม่สาวอัปลักษณ์ ทั้งยังหาทางหนีความผิดให้ตัวเองด้วย

ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็คิดอะไรขึ้นมาได้ นางเม้มปากและเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้ก็แค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น ดูท่านโกรธเข้าสิ ท่านฟังนะ ข้าจะท่องให้ฟัง”

ทุกคนไม่เชื่อและรอนางดูนางเล่นอะไรสนุกๆ ต่อ

เจ๋ออ๋องยิ่งพ่นลมหายใจอย่างดูถูก

สิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตที่เขาทำลงไปคือการถอนหมั้นกับนาง ไม่เช่นนั้นคนที่จะขายหน้าวันนี้คงเป็นเขา

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดเลยว่ากู้ชูหน่วนจะท่องออกมาได้ทุกคำทุกประโยค

“ทุ่งท้องข้าวฟ่าง กล้าฟ่างละลานตา ราบช้าเป็นทิวแถว แนวกลางสะบัดไหว คนรู้จักข้า กล่าวว่าข้าเป็นทุกข์ คนไม่รู้จักข้า กล่าวว่าข้ากำลังแสวงหา สวรรค์ช่างกว้างใหญ่! ใครหนอที่สรรค์สร้าง” (บทกวีสู่หลี)

หือ…

เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั่วชั้นเรียน

นะ… นางท่องออกมาได้อย่างไรกัน

ไม่ใช่ว่าบทกวีสู่หลีไร้คนสืบทอดไปนานแล้วหรือ พวกเขารู้เพียงแค่ครึ่งแรกของบทกลอนเท่านั้น

อาจารย์สวีถึงกับตกตะลึง

กู้ชูหลาน กู้ชูอวิ๋น รวมถึงคนอื่นๆ ก็ตกใจเช่นกัน

เจ๋ออ๋องหันไปมองกู้ชูหน่วนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

แม้แต่มือของซั่งกวนฉู่ที่ถือหนังสืออยู่ข้างๆ อาจารย์สวียังสั่นระริก เขาเงยหน้าขึ้นมาและมองกู้ชูหน่วนด้วยแววตาที่งงงันสุดขีด

ตรงที่คนรู้จักข้า กล่าวว่าข้าเป็นทุกข์ คนไม่รู้จักข้า กล่าวว่าข้ากำลังแสวงหา

นะ… นางรู้กลอนสู่หลีได้อย่างไร

“ทุ่งท้องข้าวฟ่าง รวงฟ่างละลานตา ราบช้าเป็นทิวแถว หวิวไหวแลมัวเมา คนรู้จักข้า กล่าวว่าข้าเป็นทุกข์ คนไม่รู้จักข้ากล่าวว่าข้ากำลังแสวงหา สวรรค์ช่างกว้างใหญ่! ใครหนอที่สรรค์สร้าง”

สายตาแปลกๆ ของทุกคนทำให้กู้ชูหน่วนเอะใจ

ไม่ใช่บทกวีสู่หลีหรอกหรือ

เหตุใดนางจึงรู้สึกกระดากที่จะท่องกลอนบทที่สามออกมา

นางได้แต่ทำหน้าแหยๆ เอ่ยออกมาว่า “อา… ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าออกไปวิ่งห้าสิบรอบนะเจ้าคะ แต่ว่ากู้ชูหลานมาเรียนพร้อมกับข้า ข้าถูกลงโทษให้วิ่ง นางเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่วิ่ง”

กู้ชูหลานเพิ่งจะได้สติขึ้นมาหลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

“จะไม่เกี่ยวกับเจ้าได้อย่างไร ในฐานะที่มาเรียนด้วยกัน ในเมื่อนายของเจ้าทำผิด เจ้าก็ควรถูกลงโทษด้วยมิใช่หรือ”

“นี่มันเหตุผลอะไรกัน”

“ก็เหตุผลแบบนั้นละ หากเจ้าจะว่ากระไรก็ออกไปแล้วเลี้ยวซ้าย ไปหาฝ่าบาทเสีย ทูลขอฝ่าบาทว่าไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นเพื่อนเรียนของข้าอีก”

“เยี่ยมๆๆๆ ยอดเยี่ยมจริงๆ คุณหนูสาม นี่คือบทกวีสู่หลีที่ครบถ้วนแล้วใช่หรือไม่”

ทันใดนั้นอาจารย์สวีก็ถลันเข้ามาทั้งยังพูดจารื่นหู ทำเอากู้ชูหน่วนเกือบจะผงะ

ตาเฒ่านี่สมองกลับแล้วหรืออย่างไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นคนสองบุคลิกงั้นรึ

เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนไม่ตอบ อาจารย์สวีจึงถามย้ำอย่างร้อนใจว่า “คุณหนูสาม นี่คือบทกวีสู่หลีที่ครบถ้วนแล้วใช่หรือไม่”

“มิใช่เจ้าค่ะ”

“แล้วที่เหลือเล่า ท่องออกมาได้หรือไม่”

“ท่านเป็นอาจารย์มิใช่หรือ ท่านสอนก็ดีแล้วนี่ จะให้ข้าท่องทำไม”

ประโยคนี้ทำเอาอาจารย์สวีถึงกับสำลัก

บทกวีสู่หลีสูญหายไปนับพันๆ ปี ที่ยังเหลืออยู่มีแค่บท ‘ทุ่งท้องข้าวฟ่าง กล้าฟ่างละลานตา ราบช้าเป็นทิวแถว แนวกลางสะบัดไหว’ สั้นๆ นี้เท่านั้น

เหล่าบัณฑิตจำนวนมากกำลังพยายามรวบรวมบทกวีสู่หลี แต่น่าเสียดายที่ยังรวบรวมได้ไม่ครบ

อาจารย์สวีไม่สนใจความเห็นของนาง จิตใจจดจ่ออยู่แค่ที่บทกวีท่อนสุดท้ายที่นางรู้เท่านั้น

“พูดตรงๆ เลยนะ บทกวีสู่หลีสูญหายไปนานแล้ว ดังนั้น… ที่คุณหนูสามรู้…”

กู้ชูหน่วนค้นดูในความทรงจำและจำได้รางๆ ว่าในช่วงเวลาที่เกิดสงครามระหว่างฉู่-ฮั่น มิติเวลาถูกหมุนกลับ ดินแดนของพวกเขาล่มสลายตอนที่เกิดสงครามระหว่างฉู่-ฮั่น ซึ่งนั่นก็ผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว

ในช่วงสองพันปีที่ผ่านมานี้เกิดสงครามขึ้นมากมาย มีหลายสิบราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครอง งานเขียนของฉู่และฮั่นก่อนหน้านี้สูญหายไปนานแล้ว และพงศาวดารจำนวนไม่น้อยก็จมไปกับกระแสแห่งประวัติศาสตร์

เท่าที่นางจำได้ ดูเหมือนตอนนั้นจะเป็นราชวงศ์เซี่ยงแห่งฉู่ตะวันตกที่แย่งชิงราชบัลลังก์ได้ แต่ครองอำนาจได้ไม่ถึงยี่สิบปีก็ถูกรัฐฉีเข้ามาแทนที่

นี่ไม่เท่ากับว่าสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างฉู่-ฮั่นทำให้เกิดมิติเวลาแยกออกจากกันหรอกหรือ

มิติหนึ่งคือการขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดิหลิวปังซึ่งนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นการสถาปนาราชวงศ์ฮั่น และมีเซี่ยงอวี่ที่บั่นคอปลิดชีพตัวเองที่แม่น้ำอู่

อีกมิติหนึ่งคือมิติที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ ราชวงศ์เซี่ยงขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลหลิวต่างถูกสังหารจนสิ้น

กู้ชูหน่วนค้นเข้าไปในความทรงจำที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้น รู้สึกว่าภายในหัวสับสนวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง

“กวีนี้มีทั้งหมดสามบท ตอนนี้ข้าท่องไปสองบท ยังเหลือบทสุดท้ายอีกบทหนึ่ง ซึ่งถ้าจะให้ข้าท่องก็ย่อมได้ เพียงแต่ว่า… ท่านต้องสัญญาอะไรกับข้าอย่างหนึ่ง”

鼠离 หนูไป/หนูออกไป และ 黍离 สู่หลี (บทกวีสู่หลี) ออกเสียงว่าสู่หลีเหมือนกัน