บทที่ 118 จับกุม

คู่ชะตาบันดาลรัก

เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิงเดินทางมาถึงประตูใหญ่ก็เห็นว่าเจียวจื้อกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังของตงหนิง เขาได้ยินเจียวจื้อตะโกนว่า “เจ้ามันแค่นายทหารระดับล่าง มีคุณสมบัติอะไรมาคุยกับข้าไปเรียกถูต้าหู่มา!”

เจี่ยงเหวินเฟิงหันกลับมาถาม “เป็นหยวนคุนงั้นหรือ”

“ขอรับ คนของหวงเฉิงซือช้าไปก้าวหนึ่ง อู๋ควนใช้ให้เขาสังหารถูต้าหู่และยึดอำนาจทางการทหารมา”

เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้ว การสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นเรื่องใหญ่มาก

หากไม่ฆ่าก็ยังคิดหาทางก่อนได้ แต่ในเมื่อฆ่าแล้วนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่มีทางถอยกลับได้อีกแล้ว มีทางเดียวเท่านั้นคือการเดินหน้าเข้าไปสู่ความมืดมิด

“ใต้เท้าขอรับ” เหลยหงแนะนำ “จับโจรให้จับหัวหน้าก็สู้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปสู้ไม่ได้หรือขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงโบกมือ “วรยุทธ์ของเจ้าแม้จะอยู่ในระดับสูง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ดูจะเป็นการกระทำที่ไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไร เหตุใดต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงตายด้วย”

“แต่ว่า…”

เจี่ยงเหวินเฟิงไตร่ตรอง “หยวนคุนผู้นั้น ข้าจำได้ว่าเขาเป็นลูกหลานของตระกูลเจี้ยนอันโหวหยวนใช่หรือไม่”

“ขอรับ ปู่ของเขาคือเจี้ยนอันโหวหยวนเซี่ยว”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วเดินออกจากประตูใหญ่

“ใต้เท้า!”

“ใต้เท้าเจี่ยง!” เกิดการจราจลขึ้นด้านนอกศาลว่าการเพราะการปรากฏตัวของเขา ทหารของตงหนิงที่ล้อมรอบศาลว่าการเมื่อเห็นว่าผู้ตรวจการปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ก็รู้สึกขี้ขลาดตาขาวขึ้นมาเล็กน้อย

ไม่ใช่เพราะเจี่ยงเหวินเฟิงเก่งกาจเพียงใด แต่เขาเป็นตัวแทนของโอรสสวรรค์ผู้สูงส่ง ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะตะโกนอย่างแรงแค่ไหน คนส่วนใหญ่ก็ยังแสดงความเกรงกลัวต่อหน้าผู้มีอำนาจอยู่ดี

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าให้กับทหารที่คุ้มครองเขาและเดินออกจากฝูงชน

เจียวจื้อโบกมือทันใดนั้นทหารที่มีโล่ก็วิ่งไปข้างหน้าและล้อมรอบตัวเขา

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแล้วโบกมือ “แม่ทัพเจียวสั่งให้ทหารถอยไปเถอะ ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ทำอะไรข้าแน่นอน”

“ใต้เท้า…”

เจียวจื้อมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อครู่เขาได้ข่าวมาว่าถูต้าหู่ถูกสังหาร ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าสังหารถูต้าหู่ สังหารเจี่ยงเหวินเฟิงด้วยอีกคนจะเป็นอะไรไป เรื่องทุกอย่างผิดไปหมดแล้ว พวกเขาคงไม่สนใจแล้วว่าจะรุนแรงไปกว่านี้หรือไม่

เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “ข้าเชื่อในลูกหลานของเจี้ยนอันโหว ปีนั้นไท่จู่รับรู้ถึงความยากลำบากของไพร่ฟ้าจึงลุกขึ้นมาต่อต้านทรราช เจี้ยนอันโหวละทิ้งสมบัติความมั่งคั่ง ฝากฝังให้มารดาดูแล ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็จะอยู่ด้วยกัน ผู้ที่ภักดีเช่นนี้ ทายาทรุ่นต่อมาจะนำมาเปรียบเทียบกับผู้ร้ายได้อย่างไร”

ทหารที่ยืนล้อมรอบไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ จากนั้นบรรยากาศก็เงียบลง เจี่ยงเหวินเฟิงดูสงบนิ่งเขาหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มกบฏและถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นลูกหลานของเจี้ยนอันโหวหรือ”

ทหารขี่ม้านายหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเอง”

ได้ยินเจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวสรรเสริญบรรพบุรุษของตน หยวนคุนกลับไม่รู้สึกยินดีแต่อย่างใด แววตาของเขาขุ่นมัวในความระวังตัวนั้นมีความรู้สึกรังเกียจอยู่จางๆ

“ท่านคิดว่าสรรเสริญบรรพบุรุษของข้าเพียงไม่กี่ประโยคแล้วจะถอนตัวได้อย่างปลอดภัยงั้นหรือ ความสูงส่งของบรรพบุรุษข้าจำเป็นต้องให้ท่านมายืนยันด้วยหรือ ประวัติศาสตร์ย่อมมีความเห็นที่เป็นธรรม!”

“ประวัติศาสตร์ย่อมมีความเห็นที่เป็นธรรม ท่านแม่ทัพกล้าหาญจริงๆ” เจี่ยงเหวินเฟิงปรบมือเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังทำอะไรอยู่หรือ เจี้ยนอันโหวยกพลติดตามไท่จู่เพื่อลดความทุกข์ทรมานของราษฎร เหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเห็นแก่ตัวด้วย”

…………

กองหนังสือวางเป็นระเบียบวางอยู่ในกล่อง หยางชูหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู จากนั้นก็วางไว้ด้านข้างแล้วหยิบอีกเล่มขึ้นมา ดูเช่นนี้ไปสามสิบห้าเล่ม แววตาของเขาเริ่มมีความจริงจังขึ้นมา

หมิงเวยยื่นมือแตะของในกล่อง “ทรัพย์สินจำนวนมากเช่นนี้ ต้องเป็นสิ่งที่หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเตรียมไว้เป็นแน่ หลายปีที่ผ่านมามีมากมายถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นต้องการก่อกบฏคงไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ แล้วเจ้าค่ะ”

“หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องแตกต่างจากฉีตงจวิ้นอ๋อง” หยางชูตอบ “จิ้นอ๋องท่านน้าของข้าไม่มีความสามารถเท่าอีกสองท่าน แต่บุตรชายของเขาในตอนนั้นได้รับความโปรดปรานมาก แม้กระทั่งหลานชายคนโตยังถูกจัดให้อยู่ด้านหลังเขา”

หลานชายคนโตเป็นทายาทของไท่จู่ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์จราจลเช่นกัน

หมิงเวยหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาและพบว่ามันมีเขียนบันทึกลับแปลกๆ เอาไว้

“นี่คืออะไรเจ้าคะ”

หยางชูรับมันไปดูแล้วตอบ “มันคือข้อมูลรหัสลับ เท่าที่ดูน่าจะเป็นที่อยู่บางอย่าง”

เขาจ้องรหัสลับตาแข็งกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็วในใจไม่นานเขาก็พบสิ่งที่เขาต้องการจากหนังสือเล่มอื่น เขาเปิดออกทีละเล่มแล้วนำมาเชื่อมต่อกันเป็นประโยค

“น่าจะเป็นห้องลับของเขา” เขาเงยหน้าสั่งการหัวหน้าองครักษ์ “จดไว้ซะ”

“ขอรับ” ผู้ที่สามารถทำงานข้างกายเขาได้นั้นล้วนเป็นผู้ที่รู้หนังสือ องครักษ์รีบหยิบกระดาษและพู่กันให้หัวหน้าองครักษ์จดตามคำพูดของเขาทุกประโยค

หมิงเวยเท้าคางแล้วมองอย่างกระตือรือร้น นางมองไปแล้วก็มองหากฎเกณฑ์จากในนั้นไปด้วย ฟังไปสักพักนางก็เปิดปากพูดว่า “ที่พูดมาคือหน้าที่สามสิบสี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หยางชูชะงักเขาอ่านรหัสลับอย่างละเอียด พลิกไปที่หน้าสามสิบสี่อย่างที่คาดไว้…

หยางชูมองนางอย่างสงสัย “ท่านเข้าใจรหัสลับหรือ”

หมิงเวยมองตอบ “ก็ท่านสอนไปเมื่อครู่นี่เจ้าคะ!” ต่างฝ่ายต่างมองตากัน

“เหอะๆ!” หยางชูอารมณ์ไม่ดี “สตรีอย่างท่านเกิดมาเพื่ออะไรกัน ช่างทำให้บุรุษไม่ต้องทำอะไรแล้วกระมัง”

หายากที่จะได้เห็นเขาแสดงอารมณ์ที่แท้จริงเช่นนี้หมิงเวยหัวเราะแล้วไม่รบกวนเขาอีก นางก้มลงดูสิ่งอื่นต่อ ทรัพย์สินมากมายนับไม่ถ้วน อาจเป็นคลังเก็บเสบียงและทหาร และยังมีจุดอ่อนของเจ้าหน้าที่หลายคน ตำราศิลปะการต่อสู้…

การกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องหากเป็นเช่นตอนนี้ หากจัดการไม่ทันเวลาก็คงเกิดภัยเงียบครั้งใหญ่ขึ้นจริงๆ หากเปรียบเทียบกันแล้ว การกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเหมือนเป็นการเล่นพ่อแม่ลูก

นายท่านสามที่แกล้งตายคือคลังสมองของเขา อู่อี้ที่อยู่ข้างกายคือสมุนซ้ายขวา อีกทั้งเจ้าหน้าที่บางส่วนในตงหนิงแล้วยุ้งฉางใต้ดินในวัดเป่าหลิง…

แค่นี้ถือว่ายังห่างไกลจากความสำเร็จของการก่อกบฏ!

ช่างน่าแปลกจริงๆ คนอย่างนายท่านสามจะดูเรื่องนี้ไม่ออกเลยหรือ หากหันไปพึ่งพาหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องยังจะดูมีเหตุผลมากกว่า การไปพึ่งพาฉีตงจวิ้นอ๋องดูเป็นเรื่องที่น่าขัน

เขาสนับสนุนให้ฉีตงจวิ้นอ๋องก่อกบฏ หรือว่าเขาไม่ต้องการให้สำเร็จกันแน่

ไม่ต้องการให้สำเร็จงั้นหรือ…

จู่ๆ หมิงเวยก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางหยิบเครื่องรางที่ทำจากไม้สีดำขึ้นมาพลิกดูและเห็นแผนที่ดาวเรียบง่ายวาดอยู่ด้านหลัง

“กลุ่มดาวกุ่ยจินหยาง…” หมิงเวยพึมพำ

เมื่อหยางชูตีความเสร็จไปช่วงหนึ่งเขาได้ยินเสียงเลยถามออกไปส่งๆ ว่า

“มีอะไรงั้นหรือ”

หมิงเวยส่งเครื่องรางให้เขา “ท่านดูนี่เจ้าค่ะ”

ความรู้ที่หยางชูมีไม่ได้รวมด้านนี้ด้วยจึงได้แต่ถามนางไปว่า “มีปัญหาอะไรหรือ”

“มันคือกลุ่มดาวภูติผี” หมิงเวยตอบ “กลุ่มดาวที่สองทางใต้จากยี่สิบแปดกลุ่มดาวก็คือกลุ่มดาวกุ่ยจินหยาง” เหมือนหยางชูจะพอเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่เขาไม่มั่นใจนัก

“ท่านหมายถึง…”

“ท่านจำได้หรือไม่ว่าเสวียนชื่อที่ช่วยนายท่านสามผู้นั้นพูดว่าอะไรเจ้าคะ”

“เหลากุ่ย!”

หมิงเวยพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเป็นแค่คำเรียก แต่ตอนนี้อาจจะเป็นชื่อเฉพาะก็ได้”

กุ่ยจินหยาง เหลากุ่ย

หมิงเวยนึกถึงชาติก่อนตอนที่ท่านอาจารย์และศิษย์ผู้ติดตามทั้งสามถูกฆ่า นางเคยได้ยินการสนทนาของคนสองคน

พวกเขาเรียกกันและกันว่าโต้วมู่เซี่ย ปี้ฉุยอวี่

ล้วนเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดกลุ่มดาว

มือของนางสั่นเล็กน้อย ชาติที่แล้วท่านอาจารย์และศิษย์ผู้ติดตาม พวกเขาทั้งสามคนไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคนพวกนั้นต้องตามฆ่าพวกเขาด้วย

ตอนนี้นางข้ามมาเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนหรือว่านี่จะเป็นการเปิดเผยความจริงทั้งหมดกัน ไม่รอให้นางได้พูดอะไรก็มีองครักษ์รีบเข้ามาหา “คุณชาย! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ กองกำลังตงหนิงได้มาล้อมรอบศาลว่าการ ใต้เท้าเจี่ยงกำลังเผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่ขอรับ!

……………………………………………..