บทที่ 142 เกิดเรื่องวุ่นวาย

ราชาซากศพ

บทที่ 142
เกิดเรื่องวุ่นวาย

เป็นระยะเวลากว่ายี่สิบวันผ่านมา จูต้าชางตกเป็นทาสของหลินเว่ยและเขาได้ให้ความช่วยเหลือเหล่าภูตวิญญาณ และภารกิจอของหลินเว่ยนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ยังเหลือเวลาอีกกว่า 10 วัน ที่หลินเว่ยต้องกลับไปยังสถานศึกษา

อย่างไรก็ตาม รูธอยากจะเที่ยวชมเมืองมนุษย์และเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ดีในดินแดนมนุษย์ หลินเว่ยจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

ณ ดินแดนอู่โฮ่ว, เมืองอู่เฟิง, บนถนนที่พลุกพล่าน, หลินเว่ยและเสี่ยวไป๋ และคนอื่น ๆ กำลังเดินไปอย่างไร้จุดหมายเที่ยวเล่นฆ่าเวลา

“อืม….เราอยู่ที่นี่ได้เพียงวันเดียวเท่านั้น” หลินเว่ยพูดกับรูธที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นว่า อีกฝ่ายมีพลังล้นเหลือราวกับอยากรู้อยากเห็นทุกอย่าง ถ้าหลินเว่ยไม่กำหนดเวลา ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเที่ยวเล่นนานแค่ไหน

“เอาล่ะ…ข้าเข้าใจแล้ว! เข้าใจแล้ว……..ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อนเสียหน่อย” เห็นได้ชัดว่ารูธ ไม่ได้คำนึงถึงคำพูดของหลินเว่ย นางตกปากรับคำแบบลวก ๆ จากนั้นนางก็ถูกดึงดูดด้วยขนมหวานหลายอย่าง

รูธมีความสุขมากที่ได้วิ่งไปรอบ ๆ แต่เรื่องนี้นั้น มันขมขื่นสำหรับจูต้าชางไม่น้อย เพราะเขาต้องเพ่งสมาธิจับตาดูนางจนหัวหมุน นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าขนมให้นางอีกหลายเหรียญ เนื่องจากนางไม่มีแม้แต่เหรียญทองแดงบนตัว

และนางไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายเงินสำหรับการซื้อของอย่างไร นางรับสิ่งของและวิ่งจากไป จูต้าชางทำได้เพียงรีบนำเงินไปจ่าย

“นายน้อย! รูธก็วิ่งกลับไปหาหลินเว่ย และพลางส่งกีบเท้าหมูในมือของนาง แล้วส่งให้หลินเว่ย ตั้งใจให้หลินเว่ยนั้นกินด้วยกัน

เมื่อมองไปที่กีบเท้าหมูที่มีเนื้อเหลืออยู่ในมือ หลินเว่ยก็ขบคิดกับตัวเองว่า “ยัยตัวเหม็น….ข้าไม่ใช่หมา ไม่ต้องเอามาให้ข้ากิน จากนั้นหลินเว่ยก็โยนกีบเท้าหมูปาลงไปบนพื้นและส่ายหัว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเว่ย เจ้าจะมีเวลาได้กินข้าวหรือไม่?! สาวน้อยคนนี้เก่งมาก ข้าชอบนาง”เสี่ยวไป๋ยืนบนไหล่ของหลินเว่ยและหัวเราะ

“ ……”
“มีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เร็ว ๆ รีบไปดูกันเถอะ” ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้คนหนึ่งเอ่ยร้องเรียกในขณะที่เขาออกวิ่งไปดูความวุ่นวาย

“น้องชาย! ใครกำลังสู้กับใคร?”
“ข้าได้ยินว่าเป็นคนต่างทหารรับจ้างปีศาจทมิฬ โอ้! อย่าขวางทางข้า! หากสนใจก็รีบตามมาเถอะ

เมื่อได้ยินความพลุกพล่านเบื้องหน้า ดวงตาของรูธก็สว่างขึ้น นางถือของว่างและเดินติดตามชายคนนั้นไป
“นายน้อย! จะทำอย่างไรดี?” จูต้าชางมองไปที่หลินเว่ยและถามขึ้น

หลินเว่ยกางมือออกดูผ่อนคลาย และพูดด้วยรอยยิ้ม “ตามไปดูกันเถอะ! ผ่อนคลายหน่อย”

“ใช่แล้ว……นายน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย คิ้วของจูต้าชางก็คลายขึ้นทันที และพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเดินมาถึงสถานที่นั่น ปรากฏว่ามีผู้คนแออัดคับคั่ง เมื่อพวกเขามาถึงผู้คนจำนวนมากได้ล้อมรอบเหตุการณ์กันอยู่ก่อนแล้ว รูธยืนอยู่ด้านนอกฝูงชนเป็นเพราะนางไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปข้างในได้ รูธก็รีบหันกลับมา เมื่อเห็น หลินเว่ยดวงตาของนางก็สว่างขึ้นทันที และนางก็วิ่งไปที่ด้านข้างของหลินเว่ย เตรียมคำพูดที่จะพูดกับหลินเว่ย “นายน้อย! ช่วยด้วย ข้าอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน”

หลินเว่ยขมวดคิ้วเมื่อเห็นฝูงชน เขาต้องการดูผู้คนต่อสู้กัน แต่เขาไม่ต้องการไปเบียดเสียดกับพวกเขา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นตาของเขาก็สว่างขึ้น และปากของเขาก็ยกยิ้ม

“ไป! ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่ดี เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะมองเห็นได้ชัดเจน” หลินเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เยี่ยม! รูธพูดอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นว่ารูธเห็นด้วย หลินเว่ยก็เดินไปข้างหน้า และโอบแขนของเขาเข้ากับรอบเอวของอีกฝ่าย จากนั้นด้วยความประหลาดใจ หลินเว่ยอุ้มรูธไว้ในอ้อมแขนของเขา กระโดดขึ้นไปในอากาศและกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้าน พบสถานที่ที่เหมาะสม

และวางรูธลงบนหลังคาที่แห่งนี้มีพื้นที่โล่งมาก หลินเว่ยพบว่ามีผู้ที่มีความแข็งกร่งก็อยู่ในระดับทั่วไป นอกจากนี้ยังมีนักรบหลายคน ในระดับราชาแห่งการต่อสู้ พวกเขาเองก็ไม่ต้องการไปเบียดเสียดกับผู้อื่น
การมาถึงของหลินเว่ยนั้น ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามหลังจากพบการฝึกฝนของหลินเว่ย แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่บางคนก็เริ่มมีความคิดที่ไม่ดีกับรูธ
“สวัสดี! แม่นางคนงาม! ข้าขอยลโฉมเจ้าเพียงนิดได้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้ากะลิ้มกะเลี่ย พลางเดินมาหยอกเย้ารูธ ดวงตาของเขาหรี่ลงและพูดโพล่งออกมา หลังจากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏต่อหน้าหลินเว่ย

ซึ่งบดบังสายตาของหลินเว่ย
“นายน้อย!” ใบหน้าของรูธสว่างขึ้น ด้วยความโกรธ ขณะที่นางเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธสุมอก

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลินเว่ยก้าวไปข้างหน้า ขวางสายตาของชายเบื้องหน้า และดึงรูธไปอยู่ข้างหลัง และมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

“ทำไมเกิดอะไรขึ้น?! สัตว์ประหลาดโอวหยางก้วย เจ้าผีผู้หิวโหย…. ดูเหมือนว่าสาวใช้ของเด็กคนนี้ จะถูกฉุดคร่าเสียแล้ว”

“โอ้! ถ้าแค่สาวใช้ถูกแย่งชิงไปจะเป็นไรไป รักษาชีวิตตนเองไว้ซะจะดีกว่า แต่ข้าได้ยินมาว่าสัตว์ประหลาดโอวหยางก้วยคนนี้ เป็นสัตว์ประหลาดประเภทหนึ่ง เขาชอบฉุดคร่าผู้หญิงของคนอื่น และจะสังหารชายหนุ่ม ต่อหน้าหญิงสาว”
“จริงเหรอ ช่างโหดร้ายยิ่งนัก” เสียงผู้คนซุบซิบกันระงมถึงเบื้องหลังของชายที่มีชื่อว่า โอวหยางก้วย

เหตุการ์ณความโชคร้ายของหลินเว่ยนั้น ดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ทันที อย่างไรก็ตาม พวกเขาที่กำลังจับกลุ่มคุยกัน ทุกคนต่างก็รอดูเรื่องสนุกสนาน ไม่มีใครคิดจะเข้ามาเพื่อห้ามปราม

แม้ว่าเสียงของผู้คนรอบข้างจะแผ่วเบา แต่หลินเว่ยก็ยังคงได้ยินพวกเขาอย่างชัดเจน เขารู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง เขารู้ว่าใบหน้าของรูธและตัวตนของภูตวิญญาณ จะทำให้เกิดปัญหามากมายอย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนที่จะเข้าเมือง

หลินเว่ยจึงขอให้รูธ สวมหมวก เสื้อคลุมและผ้าคลุมหน้า ตอนแรกเขาคิดว่าแนบเนียนมาก ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาวุ่นวาย

“เจ้าได้ยินที่พวกเขาพูดกันหรือไม่?” โอวหยางก้วยได้ยินความคิดจากคนเหล่านั้นอย่างเป็นธรรมชาติ เขาไม่โกรธเคืองแต่กลับสนุกสนานมาก
“ข้าได้ยิน!”หลินเว่ยมองไปที่โอวหยางก้วยอย่างเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“อืม! วันนี้ข้าอารมณ์ดีมาก ทิ้งสาวใช้ของเจ้าไว้ที่นี่แล้วเจ้าออกไปแต่ตัว” เมื่อโอวหยางก้วยพูดจบ เขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อจับรูธที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหลินเว่ย

เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย นัยน์ตาของหลินเว่ยฉายแววไอสังหารเล็กน้อย

“หยุดมือของเจ้า!” จูต้าชางส่งเสียงดังคมชัด และร่างของเขาก็เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว เขาปิดกั้นร่างของหลินเว่ยทันที และตีไปที่มือที่ยื่นออกมาของโอวหยางก้วยแทน

“พรึ่บ!”
“พรึ่บ!” จูต้าชางไม่ได้ถอยหลังหนี เขาแค่ทุบกระเบื้องใต้เท้าของตนเอง อย่างไรก็ตามโอวหยางก้วยถูกโจมตีโดยตรงและปลิวออกไป และกระเบื้องจำนวนมากก็ตกลงบนพื้นด้วยกัน

“เกิดอะไรขึ้น! นี่ไม่ใช่….จูต้าชาง งั้นหรือ? เหตุใดเขาช่วยเด็กคนนี้….ได้อย่างไรกัน” เห็นได้ชัดว่า ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้บนหลังคาต่างก็รู้จักจูต้าชางเป็นอย่างดี

“สารเลว…..กล้าโจมตี ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ” โอวหยางก้วยกระโดดขึ้นไปบนหลังคาอีกครั้ง พร้อมกับรอยเลือดไหลอยู่ที่มุมปากของเขา เขามองไปที่จูต้าชางด้วยสีหน้าต้องการที่จะสังหาร

เมื่อเขารู้สึกถึงลมหายใจของจูต้าชาง ดวงตาของเขาก็หรี่ลง และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว เพราะเขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของจูต้าชางนั้นดีกว่าเขามาก ด้วยระดับความแข็งแกร่งของราชาแห่งการต่อสู้ ระดับอย่างน้อยสามหรือสูงกว่านั้น

อย่างที่เขาคิด ระดับพลังของจูต้าชางคือราชาแห่งการต่อสู้ระดับห้า ในฐานะหัวหน้ากองทหารรับจ้างปีศาจทมิฬ ความแข็งแกร่งของเขาจะไม่มีทางต่ำกว่านั้น
“เจ้าเป็นใคร…เหตุใดต้องเข้ามาช่วยเหลือมัน?” เสียงคำรามก่อนหน้านี้ของจูต้าชาง แน่นอนว่าเขาได้ยิน นั่นเป็นเหตุผลที่เขารู้สึกแปลกใจ

“โอวหยางก้วย! ถ้าเจ้ากล้าพูดกับนายน้อยเช่นนี้ เจ้าก็ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่เถอะ จูต้าชางเห็นว่าโอวหยางก้วย ยังไม่รู้จักสำนึกผิด อย่างไรในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร

“เจ้า…!” เมื่อรู้สึกถึงความหนาวเย็นจากจูต้าชาง โอวหยางก้วยก็รู้สึกประหลาดใจ เขาอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเขาได้สติ เขามองไปที่จูต้าชางด้วยความอับอาย และความขุ่นเคือง เขาแค่ถามเพียงเล็กน้อยไม่คิดว่าอีกฝ่ายต้องการสังหารเขา

“นายน้อย ชายคนนี้ดูหมิ่นท่าน และต้องการแย่งชิงคนของท่าน โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยสังหารด้วยเถอะ” จูต้าชางไม่ได้สนใจโอวหยางก้วย แต่กล่าวกับหลินเว่ยด้วยความเคารพ

“อืม หลินเว่ยนั้นไม่อยากจะเปลืองพลัง เมื่อเห็นจูต้าชางอาสาหลินเว่ยก็ตกลงตามคำขอของอีกฝ่าย โดยไม่ลังเล
“ขอรับ! นายน้อย” จูต้าชาง พยักหน้าและหันไปมอง โอวหยางก้วย โดยไม่พูดอะไรสักคำ และเขารีบวิ่งขึ้นไป

“เจ้า…!” เมื่อเห็นว่าจูต้าชางรีบวิ่งเข้ามาต่อสู้กับเขา โอวหยางก้วยก็ตกใจ เมื่อรู้ว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่าตัวเอง เขาก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้อย่างหนัก เขาหันกลับมาและกระโดดลงจากหลังคา เพื่อหลบหนีทันที

ทันทีที่โอวหยางก้วยกระโดดลงบนพื้น เขาก็เริ่มวิ่งหนีไป พร้อมกับคิดในใจ “เลว! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะไปเรียกคนมาสังหารเจ้า”

“หวิวววว!” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่โอวหยางก้วยจะวิ่งออกไปไม่กี่ก้าว เขาพลันรู้สึกหนาวสันหลัง หัวใจของเขาก็สะดุ้งทันที เขาหันหน้าไปมองดาบยาวซึ่งกำลังจะแทงเข้ามาในร่างของเขา ในเวลานี้ดาบอยู่ในมือของจูต้าชาง

เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าเขาจะมีโอกาสหลบ แต่ความเร็วของอีกฝ่ายนั้นก็เร็วกว่าตัวเขาเองอย่างเห็นได้ชัด
“ปัง!” ดาบปรากฏขึ้นในมือของโอวหยางก้วย ปลายดาบสกัดกั้นกับดาบของจูต้าชาง ใบมีดของดาบทั้งสองเสียดสีกันบนพื้นผิวของดาบ แต่ไร้ซึ่งร่องรอยเหลือ โอวหยางก้วยยังใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของเขา

ในการวิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นหยุดและหันไปเผชิญหน้ากับจูต้าชาง พลางถือดาบไว้ในมือทั้งสองข้าง และมองไปที่จูต้าชางด้วยความระมัดระวังบนใบหน้าของเขา

โอวหยางก้วยนั้นเสียใจที่มีผู้หญิงหลายพันคนบนโลกใบนี้ เหตุใดเขาถึงต้องตาต้องใจกับสาวใช้ของหลินเว่ย! ตอนนี้ ทั้งหนีไม่ได้และไม่มีทางสู้ได้

เมื่อคิดว่า ตนเองจะตายอยู่ที่นี่ โอวหยางก้วยกัดฟันและตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน ข้าเป็นสมาชิกของกองพลทหารรับจ้างปีศาจทมิฬเช่นเดียวกับเจ้า เจ้าสังหารข้าไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม จูต้าชางทำราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาหยิบดาบออกมาและส่งดาบพุ่งสกัดกั้นทุกวิถีทางการหลบหนีของโอวหยางก้วย
“สารเลว! ข้าจะสู้กับเจ้า….คิดว่าข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ?!” เมื่อเห็นจูต้าชางทำเป็นหูหนวกกับคำพูดของเขา และยังคงโจมตีตัวเองอย่างต่อเนื่อง โอวหยางก้วยก็กัดฟันของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ สายตาของเขามองไปยังเบื้องหน้า

“พรึ่บ!” โอวหยางก้วยถือดาบไว้ในมือทั้งสองข้าง ตัวเรือนดาบถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีแดง ร่างของเขากระโจนขึ้นข้างบน ดาบในมือของเขาฟันลงมา ทิศทางคือจูต้าชาง ดาบเปลวเพลิงพุ่งออกจากฝัก และกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวพุ่งไปที่จูต้าชาง

“นี่คือทักษะเฉพาะตัวที่มีชื่อเสียงของโอวหยางก้วย มันเป็นทักษะการต่อสู้ระดับกลาง เรียกว่า ดาบเพลิงอสูร”เมื่อเห็นศิลปะการต่อสู้ของโอวหยางก้วย บางคนก็ร้องอุทานทันที

ดาบเปลวเพลิงสีแดงร้อนแรงและรวดเร็ว ก่อนที่มันจะเข้าใกล้ เกิดคลื่นความร้อนระอุเป็นทางยาว แม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ และขนาดของดาบก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ใบหน้าของจูต้าชางดูสง่างามมากในเวลานี้ เขาหยุดนิ่ง เขานั้นเคยได้ยินชื่อเสียงของดาบเพลิงอสูร และยังรู้ดีกว่าหลาย ๆ คน เพราะศิลปะการต่อสู้นี้มาจากโอวหยางก้วยไห่ รองหัวหน้ากองทหารรับจ้างปีศาจทมิฬ และเป็นปรมาจารย์ในระดับจักรพรรดิ

ดังนั้นตัวตนของโอวหยางก้วยจึงเปิดเผยออกมา อีกฝ่ายต้องเป็นญาติของโอวหยางก้วยไห่ มิฉะนั้นอีกฝ่ายจะใช้ทักษะเฉพาะตัวของโอวหยางก้วยไห่ที่โด่งดังได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลาให้เขาคิดมาก ชุดเกราะชิ้นหนึ่งปกคลุมร่างกายส่วนบนของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายรำดาบยาว ซึ่งดาบนั้นพุ่งไปที่ดาบเปลวเพลิง

เห็นได้ชัดว่าพลังดาบของเขานั้นไม่ดีเท่าดาบโอวหยาง แม้ว่ามันจะมีความรวดเร็วมาก แต่ทางฝ่ายโอวหยางนั้นก็มีดาบมากกว่าสิบเล่ม ซึ่งกระจัดกระจายออกไป อย่างไรก็ตาม ดาบนั้นมีจำนวนมากเมื่อเทียบกับดาบเพียงเล่มเดียวของจูต้าชาง มีดาบทั้งสิ้น 81 เล่มอยู่เบื้องหน้า

ใบหน้าของจูต้าชางแม่ว่าขะดูเรียบเฉย แต่ไร้ซึ่งความมั่นใจ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะสูงกว่าโอวหยางก้วยมาก แต่สำหรับพลังการฝึกฝนดาบนั้นไม่โดดเด่นเท่าโอวหยางก้วย

สิ่งที่เขาใช้มีเพียงทักษะศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงของซวนเจี๋ย ซึ่งห่างไกลจากความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นอาวุธในมือของเขานั้นดีกว่าของจูต้าชางอย่างเห็นได้ชัด

“ท่าไม่ดีแล้ว!” จูต้าชางรู้สึกประหลาดใจโดยไร้เหตุผล เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเรียกใช้พลังปราณ เพื่อสร้างชุดเกราะ พลังปราณรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และตัวเขาเองก็ถอยกลับเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ

“บูม” ด้วยเสียงดัง ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ซึ่งอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ถูกคลื่นความร้อนกระแทกจนล้มลง และเสื้อผ้าของพวกเขาก็ไหม้เกรียมในหลายจุด

เหตุผลก็คือ พลังการสร้างความเสียหายของจูต้าชางนั้นมีจำกัด ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะทำลายดาบทั้ง 81 เล่ม เขาเร่งพลังและโจมตีไปยังจุดเดียวกัน ซึ่งทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายภายในทันที ดาบเพลิงอสูรระเบิดโดยตรง

“หืม!” เมื่อเห็นพลังที่ไม่คาดคิดของดาบเพลิงอสูรของโอวหยางก้วย แต่เขานั้นไม่ได้ผ่อนคลายความระมัดระวังของเขาลงไป เขารู้ว่าไม่สามารถสังหารจูต้าชางได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาใช้พลังปราณส่วนใหญ่ของเขาให้กับทักษะเฉพาะระดับสูงนี้ไปเป็นจำนวนมาก

“กึก!” ร่างกายของจูต้าชางขยับและค่อย ๆ ยืนขึ้น ภายใต้สายตาของผู้คน ฝุ่นละอองจำนวนมากตกลงมาจากร่างของเขา

“เฮือก!” จูต้าชางกระอักเลือดออกมาคำโต แต่สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นมาก เขามองไปที่ชุดเกราะของเขา ด้วยท่าทางมีความสุข ถ้าเขาไม่ได้มองการณ์ไกล เตรียมพร้อมสร้างชุดเกราะพลังปราณ มิเช่นนั้นเขาคงไม่ได้ลงเอยเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ชุดเกราะพลังปราณเสียหายหลายแห่ง จนต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
ข้าสบายดีมาก!” จูต้าชางกล่าวด้วยความเยาะเย้ย จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหว และเปิดการโจมตีอีกครั้ง เมื่อเทียบกับทักษะศิลปะการต่อสู้ระดับกลางของโอวหยางก้วยแล้ว พลังปราณในร่างกายของเขานั้น ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่เขาไม่มีเวลาตัดสินใจแล้ว

“ตัดสินกันที่พลังดาบเถอะ โอวหยางก้วยถือดาบสั้นไว้ในมือทั้งสองข้าง เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ด้านหน้าของจูต้าชางและฟันออกไป

“ปัง!” เสียงปะทะหนัก ๆ ของโลหะ ฝั่งหนึ่งคือดาบของจูต้าชาง ในขณะที่มือซ้ายของจูต้าชางใช้โอกาสนี้เพื่อซัดฝ่ามือออกไป

สีหน้าของโอวหยางก้วยเปลี่ยนไปทันที เขาใช้ดาบสกัดกั้นอย่างรวดเร็ว และหลบฝ่ามือของจูต้าชาง อย่างไรก็ตาม เขาถูกคู่ต่อสู้ของเขากระชากไปที่มือ และดาบของเขาเกือบจะตกลงไปที่พื้น
“พ่อของข้าคือโอวหยางก้วยไห่ แน่ใจหรือว่าต้องการสังหารข้าในฐานะสมาชิกของปีศาจทมิฬ รู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากทำให้บิดาของข้าขุ่นเคือง?

“ฮึบ!” คำตอบที่โอวหยางก้วยได้รับกลับมาคือ เสียงฮัมเย็น ๆ ของจูต้าชาง และดาบยาวในมือของเขาก็ปะทะกันหลายครั้งต่อเนื่อง โอวหยางก้วยเป็นคนแรกที่พลาดพลั้ง ดังนั้นจูต้าชางจึงตบเขาที่หน้าอก และทั้งคนและดาบก็ปลิวออกไป

โอวหยางก้วยนั้นกระอักเลือดออกมากองโต
หลังจากโอวหยางก้วยล้มลงกับพื้น เลือดก็พุ่งออกมาอีกครั้ง ร่างกายของเขาอ่อนแอ แม้แต่ยืนก็ยังไม่สามารถทรงตัวได้

หลังจากชัยชนะ จูต้าชางรีบวิ่งขึ้นมาพร้อมดาบของเขา โดยปกติแล้วเขาจะไม่พลาดโอกาสนี้ และรอให้คู่ต่อสู้ฟื้นตัว

“หยุดมือ!” ขณะที่จูต้าชางกำลังจะฟันเขาด้วยดาบ ก็พลันเกิดเสียงดังขึ้น และจากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงลมแรง ๆที่พุ่งเข้ามาปะทะเขา

จากนั้นเขาเห็นคนคนหนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้าเขา
ใบหน้าของจูต้าชางมืดมน เขาลุกขึ้นยืนช้า ๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ ชายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เขาพูดด้วยเสียงต่ำ “เหว่ยซุน!”

“จูต้าชางรู้หรือไม่ เจ้ากำลังจะทำอะไร?” เหว่ยซุนขมวดคิ้วแน่น และมองไปที่จูต้าชางด้วยสีหน้าที่ไม่ดี

“ข้าต้องการสังหารเขา……อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า จูต้าชางพูดอย่างเย็นชา

“เรื่องของเจ้างั้นหรือ เจ้ามันโง่เขลา! รู้หรือไม่ว่า หากเขาตายลงไป คิดว่ารองหัวหน้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรือ ? จูต้าชางได้ยินคำพูดของเหว่ยซุน เขาโกรธทันทีที่หัวเราะออกมา ด้วยน้ำเสียงและใบหน้าบิดเบี้ยว

“เขาต้องถูกสังหารในวันนี้ ถ้าเจ้ากล้ามาหยุดข้า ข้าจะสังหารเจ้าด้วยอีกคน” จูต้าชางกล่าวอย่างเย็นชาด้วยท่าทีที่มั่นคง
“ฮ่าฮ่า! ฆ่าข้าหรือ? จูต้าชาง เจ้าต้องการสังหารข้าด้วยกำลังของเจ้า?” เมื่อได้ยินคำพูดของจูต้าชาง ดูเหมือนเหว่ยซุนจะได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิตของเขา หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดด้วยความรังเกียจ

บางทีเหว่ยซุนนั้นหยิ่งผยองเกินไป ทันทีที่เสียงของเขาสิ้นลงก็ถูกตีทันที ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปี เขาเดินเข้ามาช้า ๆ และพูดว่า “เป็นอย่างไร…..เจ้าแข็งแกร่งมากงั้นหรือ ? ต้าชางสังหารเขาสิ เหว่ยซุนจะไม่มีทางรบกวนเจ้าได้

“เจ้า…”! เจียงเทา….อย่ารังแกผู้อื่นมากเกินไป นี่คือกิจการภายในของกองทหารรับจ้างปีศาจทมิฬของเรา ไม่มีที่ให้ตระกูลเจียงเข้ามาก้าวก่าย ข้าจะแก้ปัญหาของเราในภายหลัง “ทันใดนั้นเหว่ยซุน รู้สึกเสียใจมาก

เมื่อถูกทุบตี อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นผู้ที่ทำร้ายเขา เขาก็ระงับความโกรธ และไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม