บทที่ 120 ราชาปีศาจผู้โหดเหี้ยม[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 120 ราชาปีศาจผู้โหดเหี้ยม[รีไรท์]

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาหยุดแล้วเห็นร่างที่กำลังเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว

คนของสำนักราชาปีศาจเมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นหยุดเคลื่อนไหวก็รู้สึกตื่นเต้นและอยากจะร้องออกมา ในที่สุดชายผู้โหดเหี้ยมคนนี้ก็ตระหนักได้ที่จะไม่ก้าวเดินต่อไป

เสียงทะลุอากาศดังขึ้นและพวกเขามองย้อนกลับไปทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสเหลย” น้ำเสียงเนิบนาบดังราวกับถูกซ้อมมาหลายร้อยครั้ง

ตู้ม!

เหลยกังเท้าถึงพื้น พื้นดินใต้เท้าของเขาก็แตกออกเขาตั้งใจทำแบบนั้นเพราะเขาคิดว่าการเปิดตัวนั้นสำคัญและตื่นเต้น

“ผู้อาวุโสเหลยมาแล้ว ไอ้บ้านี่ตายแน่!”

“เขาฆ่าคนของเราไปตั้งเยอะ ผู้อาวุโสเหลยไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่”

“คนโหดเหี้ยมเช่นนี้มาเจอผู้อาวุโสเหลย คงต้องรามือล่ะนะ”

คนเหล่านี้กำลังกระซิบ แต่พวกเขาตั้งใจให้เหลยกังได้ยินพวกเขาชื่นชม

….

เหลยกังนั้นร่างเล็กแต่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งความเร็วและพละกำลังนั้นเหมือนกับเสือไม่มีผิด

“แกเป็นใคร?”

เหลยกังถามฉู่ชวิ๋นพร้อมกับมองหน้า

“คนที่จะมาฆ่าพวกแก” ฉู่ชวิ๋นพูดเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงที่แห่งนี้

“เขาพูดได้!?” ใครบางคนพูดขึ้น

“ฉันคิดว่ามันหูหนวกซะอีก สรุปว่ามันหยิ่งเกินกว่าที่จะพูดกับพวกเรา”

เหลยกังดูแปลกใจมากที่คำตอบของฉู่ชวิ๋นนั้นหยาบ ๆ และเรียบง่ายมาก

“มีใครในสำนักของฉันทำให้แกไม่พอใจงั้นเหรอ?”

“ใช่” ฉู่ชวิ๋ตอบ

“ใคร?” เหลยกังถามกลับ

“ไม่รู้” คำตอบนั้นเรียบง่ายจนน่ากลัว

เหลยกังตาเหลือกทันที ใบหน้าของเขาก็มืดลง เขารู้สึกว่าฉู่ชวิ๋นกำลังแหย่เขาอยู่ เขาจึงพูดอย่างเยือกเย็น “งั้นมันก็ไม่สำคัญหรอก ยังไงซะแกก็เป็นศัตรูกับพวกเราสำนักราชาปีศาจแล้ว!”

ฉู่ชวิ๋นก็จนปัญญา เพราะสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนลักพาตัวถางโร้วไป เขารู้แค่ว่าคนคนนั้นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ในกรณีนี้ตราบใดที่เป็นสมาชิกของสำนักราชาปีศาจก็ไม่มีอะไรผิดที่จะฆ่ามัน

ออร่าที่น่ากลัวปรากฏขึ้นบนร่างกายของเหลยกังเช่นเดียวกับเสือที่ตื่นขึ้นพร้อมกับแรงกดดัน

ฉู่ชวิ๋นบีบฝ่ามือของเขาและปล่อยมันออกไป

ฝ่ามือจอมเชือด—พังพินาศ!

รอยมือขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงโดยลมปราณปกคลุมไปทั่วอากาศ จากนั้นอากาศก็บิดและระเบิดออก

ตู้ม!

เมื่อฝ่ามือโดนเหลยกัง ฝุ่นก็กระจายเหมือนคลื่นและรอยแตกบนพื้นก็กระจายไปทั่ว

ฝุ่นฟุ้งกระจายและรอยพิมพ์ฝ่ามือขนาดใหญ่จมลงไปที่พื้น ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนว่ามีคนยืนอยู่ในภาพพิมพ์ฝ่ามือ นั่นคือเหลยกังที่ยังคงยืนอยู่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรทั้งสิ้นและมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม

“นี่นายกำลังจั๊กจี้ฉันรึไง?” เหลยกังยิ้มเยาะ

ฉู่ชวิ๋นยกคิ้วขึ้น และพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “วิชากายาทองคำ?”

“ถือว่าแกยังฉลาดอยู่บ้าง!” เหลยกังพูดอย่างภูมิใจ เขาเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ได้ด้วยวิชากายาทองคำ คนในระดับเดียวกันไม่มีใครสู้เขาได้ พลังในการต่อสู้ของเขาก็มากกว่าฉู่ชวิ๋นแน่ ๆ

ฉู่ชวิ๋นเริ่มสนใจในตัวของชายคนนี้

ตู้ม!

พูดจบเหลยกังก็วิ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นเหมือนกับสิงโตกระหายเลือด เท้าของฉู่ชวิ๋นขยับเล็กน้อยและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับแสง

ตู้ม!

หมัดของเหลยกังพลาดเป้าและลมจากกำปั้นทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่พื้น

“พวกมันเรียกแกว่าราชันปีศาจผู้โหดเหี้ยม แต่ในความคิดของฉันแกชื่อหลบเก่งดีกว่าเพราะมันอ่อนแอยิ่งกว่าผู้หญิง” เหลยกังพูดจาดูถูก

มุมปากของฉู่ชวิ๋นยกขึ้น วิชากายาทองคำ เขาชอบมาก

ร่างกายเชื่อมถึงกันอย่างดี กระดูกในร่างกายเปล่งประกายสีขาวราวกับหยก การทำงานของอวัยวะภายในสอดคล้องกับจังหวะการเต้นของหัวใจ เหมือนกับจังหวะของกลองชุด ทำให้พลังของเขาไหลเวียนและแข็งแกร่งขึ้น

ฉู่ชวิ๋นกระดิกนิ้วยั่วยุให้อีกฝ่ายเข้ามา

ฮึ่ม!

เหลยกังถีบตัวออกไปลอยอยู่กลางอากาศ เป้าหมายของกำปั้นคือร่างของฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นเคาะนิ้วเบา ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศและสวนกลับไป

“แหลกไปซะ!” เหลยกังตะโกนออกมา สีหน้าของเขามืดลง เขาต้องการที่จะฆ่าฉู่ชวิ๋นด้วยหมัด

ตู้ม!

หมัดทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง

แกร๊ก!

เสียงกระดูกร้าวดังขึ้นพร้อมกับสายฝนเลือด ร่างหนึ่งล้มลงกับพื้นกระแทกพื้นให้เป็นหลุมขนาดใหญ่ ฉู่ชวิ๋นใช้มือข้างหนึ่งเสยผมอย่างเฉยเมย ในเวลานี้มีเสียงกรีดร้องดังออกมาในหลุม

“ผู้อาวุโสเหลย!” มีคนกลัวจนฟันกระทบกัน

ปัง!

พื้นดินระเบิด เหลยกังกระโดดขึ้นมาตั้งหลัก คนจากสำนักราชาปีศาจต่างก็อ้าปากค้าง ทุกคนเห็นเหมือนกันว่ามือขวาของเหลยกังนั้นพังไปแล้ว กระดูกขาว ๆ โผล่ออกมาจากด้านหลังของมือด้วยซ้ำ

“ฉัน จะ ฆ่า แก!!!”

เหลยกังตกอยู่ในความบ้าคลั่ง เขารู้สึกทะนงตัวและอยู่ยงคงกระพันอยู่เสมอด้วยวิชากายาทองคำของเขาแล้ว คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันงั้นยากที่จะต่อกรกับเขาได้ แต่ตอนนี้มือขวาของเขาถูกทำลายด้วยหมัดเพียงครั้งเดียว สิ่งนี้จะทำให้เขาทนได้อย่างไร?

ฮึบ!

ทันทีที่เสียงของเหลยกังแหบลง ดวงตาเปิดกว้างเหมือนเห็นผี เพราะจู่ ๆ ฉู่ชวิ๋นก็มายืนเผชิญหน้ากับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้และเหวี่ยงหมัดออกมา ด้วยความตกใจเขาใช้แขนซ้ายข้างเดียวปัดป้อง

ปัง!

เหลยกังร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของเขาบินกลับหัวและแขนซ้ายของเขาก็แตกด้วยหมัด ร่างของฉู่ชวิ๋นกะพริบตามไปเหมือนเงาที่ตามติดตัวเหลยกัง แล้วเขาก็ต่อยไปอีกหมัด

แกร๊ก!

เหลยกังร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง และกระอักเลือดเพราะอาการซี่โครงหัก

ปัง! แกร๊ก!

หน้าอกของเหลยกังยุบตัวลง และมีหลุมเลือดขนาดใหญ่กลางตัว สามารถมองเห็นกระดูกขาว ๆ ที่หักได้หลังจากที่กระเด็นมาไกลกว่า 10 เมตร และลมหายใจของเขาก็หยุดนิ่ง

ทั้งสี่หมัดของฉู่ชวิ๋นได้ระเบิดกายาทองคำของเหลยกังไม่เหลือชิ้นดี คนของสำนักราชาปีศาจสั่นเทา พวกเขาไม่สามารถหายใจได้ด้วยซ้ำในตอนนี้ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง

ขั้นปรมาจารย์ระดับ2 ผู้สง่างามถูกซัดไปสี่หมัดจริง ๆ นี่เป็นจังหวะที่ทำให้คนกลัวตาย บนแท่นหินลึก กลุ่มคนกัดฟันแน่น เปลือกตาของพวกเขากระโดดอย่างดุเดือด บางคนก็สูดลมหายใจลึกเข้าปอด

แม้แต่ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามที่คอยเฝ้าดูการต่อสู้ยังรู้สึกเสียวแทน ต่อให้เหลยกังมีท่าสัก 100 ท่าก็ยังสู้หมัดธรรมดาของฉู่ชวิ๋นไม่ได้เลย

“ไอ้บ้านั้นมันมาจากไหนกันแน่?” ขั้นปรมาจารย์คนหนึ่งกล่าวขึ้น

เขาเป็นถึงขั้นปรมาจารย์ระดับ1 และเขายังคงคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเห็นเหลยกังซึ่งเป็นขั้นปรมาจารย์ระดับ2 เสียชีวิตอย่างสาหัส ในขณะนี้เขาก็รู้สึกได้ว่าขั้นปรมาจารย์ระดับ1 อย่างเขานั้นอ่อนแอราวกับผู้ป่วยที่กระดูกหักและเปราะบาง

“ใครเป็นคนลากจอมมารมาที่สำนักของฉัน!”

“อย่าเพิ่งสนใจเลยว่าใครไปยั่วโมโหเขา มาคิดว่าทำยังไงกันก่อนดีกว่าไหม? เขากำลังจะมาฆ่าแล้ว วิธีการฆ่าของเขาพวกคุณก็เห็นแล้ว มันช่างเผด็จการ ไม่ให้โอกาสอธิบายเลย ตอนนี้เจ้าสำนักก็ไม่อยู่ ไม่มีใครรั้งเขาอยู่แล้ว”

…..

…..

“วิ่งเร็ว!” ใครสักคนตะโกนบอกกับคนอื่น ๆ

ฟิ้ว!

เหล่าศิษย์ของสำนักราชาปีศาจกลับมาสู่บทผู้ถูกล่าอีกครั้ง กลายเป็นนกและสัตว์ร้ายหนีไปอย่างลนลานตื่นตระหนก แม้จะมีคนวิ่งเข้าไปหาฉู่ชวิ๋น แต่พวกเขาก็ทำไปเพราะความกลัวและความรู้สึกหมดหนทางเท่านั้น

ฉึก!

หัวกระเด็นไปมา ชิ้นส่วนร่างกายกระเด็นเต็มทางเดิน กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นทั่วไปหมด

ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ตามล่าใคร เขารู้ว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถหลบหนีได้เขาได้รับแจ้งมาว่ากองทัพได้ทำการปิดล้อมหุบเขาลูกนี้เอาไว้แล้ว ถ้าวิ่งพรวดพราดออกไปล่ะก็ ปืนกลกว่า 100 กระบอกก็รอต้อนรับคนพวกนี้อยู่

เพราะหัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็เห็นด้วยว่าถึงเวลาที่จะเผด็จศึกกับพวกสำนักราชาปีศาจบ้า ๆ นี่ได้แล้ว ซึ่งเขาพยายามหาจังหวะมาโดยตลอดและจะไม่ให้โอกาสพวกเขาหยั่งราก

ฉู่ชวิ๋นเงยหน้าขึ้นและมองเข้าไปในส่วนลึก มองไปที่คน 2-3 คนบนแท่นหิน

“ผู้อาวุโสฉิน รีบคิดวิธีสิครับ ตอนนี้เราควรทำยังไงกันดี? ไอ้จอมมารนั้นกำลังจะมาฆ่าพวกเราแล้วนะ!” ใครบางคนมองไปที่ชายวัยกลางคนที่สง่างามและถาม

ชายวัยกลางคนมีชื่อว่าฉินจื่อ อย่ามองว่าภายนอกเขาดูดี เพราะเขานั้นโหดร้ายมาก มีหญิงพรหมจารีไม่น้อยกว่าร้อยคนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาทุกปี

สีหน้าของเขาหม่นหมองมาก เขาตัวสั่นกับรูปลักษณ์ของฉู่ชวิ๋นและพูดด้วยเสียงทุ้ม “ที่นี่สำคัญเกินไป อย่าให้มีอะไรผิดพลาด!”

เมื่อได้ยินเขาบอกสำคัญมาก พวกเขาก็นึกถึงสิ่งสิ่งนั้นเป็นใจเดียวกัน แววตามีความกลัวอยู่

“อีกนานแค่ไหน?” มีคนพูดขึ้นมา

“อีกประมาณครึ่งปี ผู้เฒ่าราชาปีศาจถึงจะออกจากการจำศีล ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ เวลาหลายปีที่เราเฝ้ารอมาก็สูญเปล่า” ฉินจื่อกล่าวอย่างไม่เต็มใจ

“แต่ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักไม่อยู่ ใครจะรั้งเขาได้?”

พวกเขาพยักหน้า แม้แต่เหลยกังก็ถูกเขาจัดการด้วยหมัดเพียงสี่หมัด ถ้าเป็นพวกเขาคงไปให้เขาฆ่าเล่น

“บางทีเราอาจจะคุยกับเขาได้” ดวงตาของฉินจื่อเปล่งประกายขึ้นมา

คนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยสายตาแปลก ๆ คนแบบนี้ถ้าคุยด้วยไม่ใช่ว่าจบตั้งแต่มองหน้ากันแล้วเหรอ? ที่สำคัญคือใครจะคุยกับเขา? นี่เป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่และหากคุณสร้างความแตกต่างก็อาจถูกถล่ม

“แล้วตอนนี้นายน้อยไปไหน?” ฉินจื่อหันกลับมาและมองไปที่อาจารย์หญิงเพียงคนเดียวที่นี่ จงเหยียน “เธอไปดูแลนายน้อยด้วย ถ้าการเจรจาไม่เป็นผล พาเขาออกไปยังเส้นทางลับของเราเลย”

จงเหยียนอายุ 40 กว่าแล้ว เพราะการฝึกตนจึงเหมือนอายุประมาณ 30 ปี เธอยังคงมีเสน่ห์ เธอจ้องมองไปที่ฉินจื่อและจากไป

คนอื่น ๆ ม้วนริมฝีปากอย่างลับ ๆ ไม่มีใครรู้ว่าจงเหยียนเป็นคนรักของฉินจื่อ ไม่มีใครกล้าหยุดฉู่ชวิ๋น เขากลายเป็นแสงและพุ่งไปที่แท่นบูชาหินในไม่กี่ลมหายใจ ฉินจื่อและคนอื่น ๆ ตัวแข็งทื่อ

“ท่าน…ขอถามหน่อยว่าพวกเรามีใครไปทำให้ท่านไม่พอใจกัน?” ฉินจื่อเอ่ยปาก เขาไม่รู้จะเรียกยังไง อีกฝ่ายยังหนุ่มยังแน่น มันทำให้พวกเขาตะลึงมาก ต้องเป็นคนแบบไหนกันที่สอนคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้?

“มี!” ฉู่ชวิ๋นตอบเสียงเรียบ

มีใครบางคนทำให้จอมมารคนนี้ขุ่นเคืองและก่อให้เกิดหายนะแก่สำนักราชาปีศาจ ฉินจื่อและคนอื่น ๆ เกลียดมันจนอยากจะทุบไอ้บ้านั่นเป็นชิ้น ๆ

“ขออภัยด้วย คนคนนั้นเป็นใครกัน พวกเราจะได้ให้คำตอบที่ดีกับท่าน” ฉินจื่อพูด

เขารู้สึกสงบใจในเวลาเดียวกัน ขอเพียงอีกฝ่ายยอมเจรจาก็เพียงพอแล้ว ฉู่ชวิ๋นยักคิ้วขึ้นและส่ายหน้า “ฉันไม่รู้!”

เอ่อ!

ฉินจื่อและคนอื่น ๆ สีหน้ามึนงง ดูไม่เหมือนฉู่ชวิ๋นกำลังล้อเล่น นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

“ฉันแค่รู้ว่าเขาเป็นคนของสำนักราชาปีศาจแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตราบใดที่เป็นคนของที่นี่ ฉันฆ่าไปก็ไม่เป็นอะไร เพราะยังไงก็มีคนที่ฉันต้องการหา” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไร

และคนอื่น ๆ ไม่สามารถสงบลงได้ ในตอนแรกพวกเขาดูตกตะลึงจากนั้นพวกเขาก็ต้องการที่จะจัดการใครบางคน แม้ไม่รู้ว่าเป็นใครดังนั้นจึงฆ่าพวกเขาและทำลายพลังที่สำนักราชาปีศาจใช้เวลาสร้างมาหลายปี มีเหตุผลอะไรไหมเนี่ย? คุณสามารถฆ่าใครก็ตามที่ยั่วยุเหรอ? มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ที่จะให้เราตรวจสอบ นี่มันหยาบขนาดนี้ได้อย่างไร? ถ้าไม่เห็นด้วยก็ฆ่าและทำลายเนี่ยนะ?

โชคไม่ดีเลยที่พวกเขาทำได้แค่บ่นในใจเท่านั้นเอง

“ท่านแน่ใจนะว่าเป็นคนของเรา” ฉิ๋งจื้อถาม ในใจเขาลุกเป็นไฟ คนคนนี้ป่าเถื่อนเกินไป บอกว่ามีใครบางคนในสำนักราชาปีศาจทำให้ขุ่นเคือง แล้วไอ้คนนั้นมันไปทำให้ขุ่นเคืองได้อย่างไร?

ฆ่าทุกอย่างเช่นนี้และรากฐานส่วนใหญ่ของสำนักราชาปีศาจก็ถูกทำลาย ถ้าสุดท้ายแล้วฉู่ชวิ๋นคือฝ่ายที่ผิดแล้วไอ้นั่นไม่ได้มาจากสำนักราชาปีศาจล่ะ?

“แกจะบอกว่าฉันเข้าใจผิดงั้นเหรอ?” จิตสังหารของฉู่ชวิ๋นก็พวยพุ่งออกมาทันที

ฉินจื่อและคนอื่น ๆ ตกใจ เขากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มาก พูดไม่ถูกใจก็จะฆ่าอย่างเดียวเลย

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้นเราแค่อยากรู้ว่าเขาทำให้ท่านไม่พอใจเรื่องอะไร? เช่นเขามีลักษณะยังไง เพื่อที่พวกเราจะได้ช่วยตรวจสอบดีไหมครับ?” ฉินจื่อยิ้มพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่เขาสบถอยู่ในใจ บ้าคลั่ง จอมมาร….

ฉู่ชวิ๋นพึมพำและกล่าวว่า “เสียงของมันน่าเกลียดมาก เป็นเสียงที่เมื่อได้ยินแล้วอยากตบให้ตาย ก็แค่นั้น”

ห๊ะ?

กลุ่มคนที่กำลังตกตะลึงอยากจะถามเขาอย่างกล้าหาญจริง ๆ ว่านี้มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? ชายคนนี้ไม่ควรจะตัดสินคนอื่นว่าการที่คนคนนั้นมีน้ำเสียงไม่น่าฟัง คนนั้นสมควรตายสิ แบบนี้มันไม่ใช่ ถึงแม้จะพวกเขาจะชื่อสำนักราชาปีศาจ แต่ไม่ได้แปลว่าเสียงของพวกเขาเหมือนผีหรือปีศาจนะ