ตอนที่ 110 บอกกล่าว

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“เกรงว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติอยู่บ้าง” โจวเจิ้นกล่าวขึ้นอย่างตรึกตรอง

 

 

โจวเสาจิ่นเบิกตาโพลง “ผิดปกติอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

ตอนนี้บุตรสาวกำลังช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวของจวนหลักคัดลอกพระธรรมอยู่ อีกทั้งเขายังปรารถนาจะยกฐานะทางสังคมของบุตรสาวผ่านฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อย เปรียบเทียบกับจวนรองและจวนสามแล้ว โจวเจิ้นย่อมโอนเอียงไปทางจวนหลักมากกว่า

 

 

ให้บุตรสาวช่วยนำความไปแจ้งจวนหลักก็ดีเหมือนกัน!

 

 

โจวเจิ้นตัดสินใจ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าวงศ์ตระกูลจะสูงส่งเพียงใด กำลังทรัพย์ ทรัพยากร และเส้นสายล้วนมีจำกัด มีเพียงบุตรหลานที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลถึงจะได้รับการผลักดันอย่างเต็มที่จากตระกูล แต่แม้นเป็นเช่นนี้ เหตุเพราะ ‘งานขึ้นอยู่กับคน ผลขึ้นอยู่กับฟ้า’ ฉันใด บุตรหลานที่โดดเด่นคนอื่นๆ ของวงศ์ตระกูลจึงไม่อาจยอมแพ้ด้วยฉันนั้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบนายท่านสี่ฉือเพียงสองครั้ง แต่ไม่เคยสนทนาด้วย ทว่าครั้งนี้พอได้พบ…” เขาขมวดคิ้วแน่น “ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขามียศตำแหน่ง เพียงแค่กริยาท่าทางและการกระทำที่หนักแน่นแต่ไม่ขาดความยืดหยุ่น ละเอียดรอบคอบแต่ไม่อ้อมค้อม ก็นับว่าเป็นบุคคลที่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างยิ่งผู้หนึ่ง โดดเด่นเหนือกว่าบรรดาบุรุษวัยเดียวกันที่ข้าเคยพบเจอ โดดเด่นยิ่งกว่าบุรุษที่สูงวัยกว่าเขาเสียอีก ทว่าเหตุใดตระกูลเฉิงถึงได้มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลกิจการภายในของตระกูลแทนการรับราชการเล่า เช่นนี้ไม่เป็นการเสียของเปล่าๆ หรอกหรือ”

 

 

ต้องรู้ว่า ไม่ง่ายเลยที่จะมีจิ้นซื่อคนหนึ่งเกิดขึ้นในตระกูล

 

 

“ท่านพ่อก็คิดอย่างนี้หรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วนัยน์ตาเบิกโพลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็คิดว่าแปลกเช่นกันเจ้าค่ะ แต่ได้ยินคนในซอยจิ่วหรูกล่าวกันว่า เนื่องจากนายท่านใหญ่กับนายท่านรองของจวนหลักรับราชการอยู่ต่างถิ่น กิจการภายในตระกูลจึงไม่มีใครดูแล”

 

 

“ยังมีเฉิงเจียซ่านอยู่มิใช่หรือ”

 

 

“แต่เฉิงเจียซ่านเป็นอั้นโส่วผู้หนึ่งนะเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวพึมพำอย่างระมัดระวัง

 

 

โจวเจิ้นกลับไม่คิดเช่นนั้น กล่าวแย้งว่า “ตอนนี้เขาเป็นเพียงอั้นโส่วผู้หนึ่ง แต่นายท่านสี่ฉือนั้นเป็นผู้ที่มียศตำแหน่งอยู่ในมือแล้ว”

 

 

จริงด้วย!

 

 

ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าเฉิงเจียซ่านจะสอบผ่านจนมีตำแหน่งเป็นจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อได้ แต่เฉิงฉือผู้นี้มีทุกสิ่งครบถ้วนแล้ว ขาดแต่เพียงลมบูรพาเท่านั้น

 

 

ต้องเป็นเพราะหยวนซื่อที่ต้องการทำเพื่อบุตรชายของตนเอง ฉะนั้นจึงหาวิธีรั้งเฉิงฉือให้อยู่ในจวนเป็นแน่

 

 

โจวเสาจิ่นคาดเดาด้วยเจตนาร้าย ทว่ากลับกล่าวออกไปอย่างไม่อคติว่า “เฉิงเจียซ่านเป็นทายาทสายตรงของจวนหลัก หากว่าเขาต้องมาดูแลกิจการต่างๆ ของตระกูล ครั้นพวกท่านลุงใหญ่จิงเกษียณแล้ว ใครจะมาช่วยหนุนหลังจวนหลักได้เจ้าคะ”

 

 

โจวเจิ้นยิ้มพลางกล่าว “หากเป็นตามที่เจ้ากล่าวมา เช่นนั้นตระกูลโจวของพวกเราไม่ต้องอดตายกันแล้วหรอกหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก

 

 

ตระกูลโจวของพวกนาง มีบิดารับราชการอยู่ข้างนอก ฝากฝังบุตรสาวทั้งสองคนให้ตระกูลฝั่งท่านยายช่วยดูแล กิจธุระภายในตระกูลไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ล้วนอาศัยหม่าฟู่ซานเป็นผู้จัดการ ไม่เพียงแต่พวกนางพี่น้องจะไม่เคยขาดแคลนอาหารการกินหรือเครื่องนุ่งห่มแล้ว ในทางกลับกันทรัพย์สินที่ดินของตระกูลกลับเพิ่มทวีมากขึ้นในทุกๆ ปี กระทั่งเมื่อถึงยามที่พี่สาวออกเรือน บิดาก็ยังสามารถซื้อที่นาขนาดสามร้อยหมู่ที่เมืองหูโจวสำหรับเป็นสินสอดมอบให้พี่สาวอีกด้วย

 

 

ต้องรู้ว่าทางตอนใต้นั้นแตกต่างจากตอนเหนือ มีประชากรน้อยกว่า หากว่าตระกูลใดครอบครองที่นาเจ็ดถึงแปดหมู่ก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีอันจะกินแล้ว ที่นาขนาดสามร้อยหมู่นั้นมีค่าเทียบเท่าเรือกสวนไร่นาขนาดใหญ่หลายฉิ่งในตอนเหนือ

 

 

โจวเจิ้นกล่าวขึ้นว่า “ปีนี้เฉิงฉือเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าปี ถ้าหากไม่เกิดเคราะห์ร้ายใดๆ ยามที่เขาเกษียน อย่างน้อยที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องในอีกสามสิบปีข้างหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะถึงสี่สิบปีก็เป็นได้ ป่านนั้นเกรงว่าเฉิงเจียซ่านคงมีหลานแล้วกระมัง ต่อให้คิดว่าเฉิงเจียซ่านเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ผู้หนึ่ง จะฉุดรั้งความก้าวหน้าของเขาก็เป็นที่น่าเสียดาย ทว่านายท่านรองเว่ยก็มีบุตรชายคนหนึ่งมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ส่งเขากลับมาที่บ้านเดิมเพื่อเรียนรู้กิจการงานต่างๆ ของตระกูลกับนายท่านสี่ฉือเล่า ภายในตระกูลมีพ่อบ้านใหญ่ผู้มากความสามารถคอยสนับสนุนอยู่ ทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แม้นเขาจะโง่งมเป็นโคลนตม ก็พอถูไถไปได้อีกหลายปี ยิ่งกว่านั้นโดยปกติแล้วครอบครัวของขุนนางก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ขอเพียงการงานในราชสำนักของสามพี่น้องตระกูลเฉิงจวนหลักมั่นคงยืนนาน กิจการงานของตระกูลเฉิงย่อมไม่มีสะดุด เหตุผลนี้แม้แต่ข้ายังเข้าใจ แล้วท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองและฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่เข้าใจได้อย่างไร!”

 

 

เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืนด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง เดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องถึงสองรอบถึงหยุดชะงักลง เอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินหยวนทราบเรื่องที่นายท่านสี่ฉือไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงวันนี้หรือไม่ แล้วพวกนางมีท่าทีอย่างไรบ้าง”

 

 

โจวเสาจิ่นมองบิดาด้วยความประหลาดใจ ถามกลับไปว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้มาร่วมงาน ส่วนฮูหยินหยวนนั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกออกไปแล้ว เป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จากจวนสามที่นำท่านป้าใหญ่หลูและฮูหยินคนอื่นๆ มาดูแลต้อนรับมารดาเจ้าค่ะ”

 

 

เนื่องด้วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวครองตัวเป็นหม้าย หลายปีมานี้จึงไม่พบปะหรือรับแขก ดังนั้นผู้ที่มาเยี่ยมเยียนตระกูลเฉิงจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเมื่อได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากัว คราวก่อนที่พวกนางไปเยี่ยมจวนหลัก ทุกคนต่างคิดว่าจะได้พบเพียงแค่ฮูหยินหยวนเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมาต้อนรับหลี่ซื่อด้วยตนเอง โจวเจิ้นถึงได้กล่าวว่า พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับอานิสงส์จากโจวเสาจิ่นอย่างแท้จริง

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” โจวเจิ้นได้ยินแล้วก็กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “มีเรื่องหนึ่งที่เกรงว่าเจ้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน หลังจากจบงานเลี้ยงต้อนรับในตอนกลางวัน เจ๋อเหล่าเรียกข้าเข้าไปยังห้องหนังสือของเขา และแนะนำพี่ชายสือของเจ้าให้ข้าอย่างเป็นทางการ ซ้ำยังให้เขาคอยอยู่ข้างๆ และเล่นหมากรุกกับข้าสองสามตา ระหว่างนั้นเขาไม่เพียงกล่าวถึงบรรดาสหายเก่าและลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่าที่อยู่จิงเฉิง ทว่ายังเอ่ยถึงคนของตระกูลหงและตระกูลหวงอีกด้วย…”

 

 

นี่หมายความว่าอะไร

 

 

คิดจะตีสนิทบิดาอย่างนั้นหรือ

 

 

หรือว่าด้วยเหตุนี้ เฉิงซวี่ถึงได้ออกหน้ามาต้อนรับบิดาด้วยตนเอง ทั้งยังต้อนรับอย่างใหญ่โต โดยให้บรรดาบุรุษเกือบทุกคนของตระกูลในซอยจิ่วหรูมาต้อนรับแขก

 

 

ทว่าท่านพ่อเป็นเพียงเจ้าเมืองเป่าติ้งชั้นผู้น้อย ห่างไกลจากตำแหน่งจิ่วชิงมากยิ่งนัก…

 

 

เฉิงซวี่กระทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเป็นการขโมยไก่ไม่สำเร็จแต่กลับต้องเสียข้าวอีกหนึ่งกำมือด้วยหรืออย่างไร

 

 

“ชะ…เช่นนั้นท่านว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

 

เฉิงซวี่ปล่อยคนดีมีความสามารถอย่างเฉิงฉือไม่ยอมใช้งาน แต่กลับไปซื้อใจผู้อื่นไปทั่วอย่างกระวนกระวายใจเพื่อช่วยเหลือเหลนชายสืบสายเลือดที่มีตำแหน่งเป็นเพียงซิ่วไฉผู้นั้นของตน!

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษผู้หนึ่งมิใช่หรือ จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร!

 

 

เฉิงฉือเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงขนาดนั้น ย่อมไม่ยอมลดตัวมาแก่งแย่งชิงดีด้วยเป็นแน่ แต่หากว่าเขาไม่สู้ เบื้องหน้ามีเฉิงสวี่ เบื้องหลังมีเฉิงสือ ข้างๆ ยังมีเฉิงซวี่ผู้เปรียบเสมือนเสือที่จ้องเหยื่ออยู่ไม่วางตาผู้นั้น เขาคงจะต้องข่มใจลงและยอมดูแลกิจการงานของตระกูลเฉิงไปตลอดชีวิตเสียแล้ว

 

 

เช่นนั้นการที่เขาสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อมาอย่างยากลำบากจะมีประโยชน์อันใดเล่า

 

 

ไม่แปลกใจที่ชาติก่อนนางจะไม่มีภาพจำของท่านน้าฉือผู้นี้เลย!

 

 

สุดท้ายตระกูลเฉิงก็ถูกยึดทรัพย์สินและกวาดล้างทั้งตระกูล ท่านน้าฉือที่หลบหนีไปแล้ว ก็ยังย้อนกลับมาบุกลานประหาร…ด้วยเหตุผลเพราะเฉิงสวี่เป็นหลานคนโตของตระกูลเฉิงจวนหลักอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากว่าเขาปกปิดตัวตนของเขาเพียงคนเดียว ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้เป็นแน่ จะถูกทางการตามฆ่าอีกได้อย่างไร เฉิงลู่กล่าวว่า เฉิงสวี่แขนขาดไปข้างหนึ่ง ท่านน้าฉือจะได้รับบาดเจ็บเหมือนกันหรือไม่…เกลียดตนเองเหลือเกินที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านน้าฉือเป็นใครเลยแม้แต่น้อย จึงไม่ได้ซักถามอะไรมาเลยสักคำ…

 

 

โจวเสาจิ่นคิดแล้วก็รู้สึกขมขื่นใจแทนเฉิงฉือ มุ่ยปากโดยไม่รู้ตัว และกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ถูกท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองหลอกใช้เอาได้นะเจ้าคะ เขาคือหลี่ว์ปู้เหวยผู้ที่ ‘กักเก็บของมีค่าหายากเพื่อเก็งกำไร’! หากว่าในการสอบขุนนางของราชสำนักในรครั้งต่อไป ท่านยังคงดำรงตำแหน่งเป็นเพียงเจ้าเมืองเป่าติ้ง ท่านก็ดูสิว่าท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองยังจะให้ความสำคัญกับท่านเช่นนี้อยู่หรือไม่”

 

 

“พูดจาเหลวไหลไปได้” โจวเจิ้นยิ้มพลางกล่าวเอ็ดโจวเสาจิ่น “การ ‘กักเก็บของมีค่าหายากเพื่อเก็งกำไร’ ควรใช้พูดกับสถานการณ์นี้หรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นมองบิดาพลางมุ่ยปาก

 

 

โจวเจิ้นเห็นแล้วก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้

 

 

ดูเหมือนว่าเด็กน้อยผู้นี้จะคาดเดาเอาไว้เช่นเดียวกับตน ตระกูลเฉิงมีหลายจวน นอกจากจวนสี่แล้ว นางเลือกอยู่ข้างจวนหลัก

 

 

“เจ้าเด็กโง่” โจวเจิ้นยิ้มน้อยๆ พลางลูบศีรษะของนาง กล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องทำได้เพียงรับรู้เอาไว้แต่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ เจ๋อเหล่าไม่สามารถกล่าวต่อหน้าข้าว่านี่คือเหลนของข้า หากวันหน้าเจ้าช่วยเลี้ยงดูอุปถัมภ์เขามากสักหน่อย ข้าจะให้บรรดาญาติสนิทมิตรสหายและเหล่าลูกศิษย์ช่วยเหลือเกื้อกูลเจ้า ทำให้หน้าที่การงานของเจ้าราบรื่น ข้าเองก็ไม่อาจตอบไปว่าท่านโปรดวางใจ ขอเพียงข้ามีวันนั้น ข้าจะดูแลค้ำจุนเหลนของท่านอย่างแน่นอน…ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยังถือว่าเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม” ขณะที่เขากล่าว น้ำเสียงแผ่วเบาลงทันใด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “จวนต่างๆ ของตระกูลเฉิงต่างมีปัญหาขัดแย้งกันวุ่นวาย วันหลังเจ้ากับพี่สาวของเจ้าจะกระทำสิ่งใดก็ต้องระมัดระวังเอาไว้สักหน่อย อย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วยเลย”

 

 

ตระกูลเฉิงขัดแย้งกันมานานแล้วอย่างนั้นหรือ

 

 

พี่เขยเคยกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเริ่มเน่าเสียจากข้างในก่อน พอข้างในเน่าเฟะหมดแล้ว คนภายนอกจึงสามารถโจมตีเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

 

 

ด้วยเหตุนี้ ตระกูลเฉิงจึงหนีชะตาที่ถูกโค่นล้มตระกูลไม่พ้นใช่หรือไม่

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้ามีอีกเรื่องอยากจะบอกท่านเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเจิ้นเลิกคิ้วขึ้น

 

 

โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่ตนค้นพบเกี่ยวกับจวนหลักและจวนรองที่เหมือนจะร่วมมือกันเพื่อกดทับจวนสามเอาไว้ให้ท่านพ่อฟัง “…ดูเหมือนจะเกิดขึ้นมานานแล้วเจ้าค่ะ ท่านคิดว่าเป็นเพราะเฉิงเจ๋อเคยกระทำอะไรผิดต่อเฉิงเป้ยและเฉิงซวี่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

โจวเจิ้นประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด และกล่าวว่า “เจ้าอาจจะเดาถูกแล้วก็เป็นได้ หากว่าเฉิงเจ๋อของจวนสามเคยกระทำเรื่องไม่เป็นธรรมต่อจวนหลักกับจวนรองแล้วล่ะก็ การที่จวนหลักกับจวนรองกดทับเขาไว้ก็เป็นที่เข้าใจได้ ตราบใดที่จวนสามไม่มีจิ้นซื่อหรือซู่จี๋ซื่อคนหนึ่งมาเกื้อหนุนวงศ์ตระกูล จวนสามย่อมต้องทำมาค้าขายโดยที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยคนของจวนหลักกับจวนรอง หนำซ้ำยังต้องคอยระแวดระวังว่าจะถูกจวนหลักกับจวนรองกดขี่ข่มเหงตลอดวันและคืนของพวกเขาหรือไม่”

 

 

ทว่าสุดท้ายแล้วจวนสามกลับเป็นผู้ชนะ

 

 

ถ้าหากมีคนมาบอกโจวเสาจิ่นตอนนี้ว่าเรื่องที่นางถูกขืนใจในชาติก่อนไม่เกี่ยวข้องกับจวนสามแต่อย่างใด ต่อให้ตีนางจนตายนางก็ไม่เชื่อ!

 

 

โจวเสาจิ่นเงียบงัน

 

 

โจวเจิ้นเพียงแค่นึกว่าโจวเสาจิ่นคิดเป็นกังวลเกี่ยวกับตระกูลเฉิง จึงยิ้มกล่าวว่า “พวกเด็กๆ ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก เรื่องของตระกูลเฉิงยังมีท่านลุงใหญ่จิงกับท่านลุงใหญ่เว่ยของเจ้าอยู่มิใช่หรือ หากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมาล่ะก็ เจ้าเพียงกลับมาที่ตระกูลโจวก็พอ ไม่ว่าอย่างไรพ่อจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ เอง”

 

 

โจวเสาจิ่นเชื่อในคำมั่นสัญญานั้น

 

 

นางพยักหน้าตอบรับ แล้วดึงแขนเสื้อของบิดา กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ หากว่าท่านสืบเรื่องของเฉิงลู่ได้แล้ว ก็แจ้งให้ข้าทราบสักหน่อย เฉิงลู่ผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะถูกท่านป้าใหญ่จิงส่งตัวไปอยู่ที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่แล้ว ทว่าใครจะรู้ว่าเขาจะวางแผนร้ายอะไรอีกบ้าง พวกเราต้องระวังเขาเอาไว้นะเจ้าคะ”

 

 

“ได้!” โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ “หากมีข่าวคราวอะไร ถึงเวลานั้นข้าจะบอกเจ้าอย่างแน่นอน” แม้ว่าน้ำเสียงจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ทว่ากลับฟังดูไม่ใส่ใจมากนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจคำเตือนของโจวเสาจิ่นมากสักเท่าใด

 

 

โจวเสาจิ่นลอบถอนหายใจอยู่ในใจ

 

 

นางรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้

 

 

ทุกคนต่างไม่เชื่อนางแม้แต่น้อย

 

 

หากว่าท่านน้าฉืออยู่ที่นี่ก็คงดี

 

 

เขาจะต้องรับฟังทุกเรื่องที่นางเล่าอย่างตั้งใจเป็นแน่

 

 

คิดถึงตรงนี้ อยู่ๆ โจวเสาจิ่นก็ค้นพบว่าเฉิงฉือเหมือนจะเป็นผู้ที่รอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

 

ให้ความสนใจกับเรื่องหยุมหยิมหรือรายละเอียดเล็กน้อยเป็นอย่างยิ่ง

 

 

หรือจะกล่าวว่า ถ้าหากนางได้รับความเชื่อใจของท่านน้าฉือ จะทำให้สามารถช่วยกอบกู้ตระกูลเฉิงให้ปลอดภัยได้?

 

 

สงสัยนางจะต้องโผล่หน้าไปให้ท่านน้าฉือเห็นมากขึ้นถึงจะถูก

 

 

จะดีจะร้ายก็ต้องทำให้เป็นคนคุ้นหน้ากันคนหนึ่ง!

 

 

ไม่เช่นนั้นท่านน้าฉือจะเชื่อนางได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ จึงไม่ผูกใจกับเรื่องที่บิดาไม่พาตนไปอยู่ด้วยอีก แต่กลับสนใจเรื่องของบิดาแทน “พรุ่งนี้ท่านจะออกไปข้างนอกอีกหรือไม่ จะไปทำอะไรบ้างเจ้าคะ”

 

 

“มีสหายร่วมชั้นเรียนที่กลับบ้านเดิมมาเพื่อร่วมพิธีไว้ทุกข์เชิญข้าไปทานอาหารเจที่วัด” โจวเจิ้นกล่าวพลางนึกถึงบุตรสาวคนเล็กที่ไม่ค่อยออกไปนอกเรือน กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากับพี่สาวของเจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะรัวไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง ร้องขึ้นว่า “ข้าไม่ไป ท่านพาท่านพี่ไปเถอะเจ้าค่ะ!”

 

 

เมื่อครั้งที่นางไปเที่ยวทะเลสาบโม่โฉวในเทศกาลวันสารทจีน ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากมาย ไม่สู้นางนั่งทำงานเย็บปักอยู่ที่บ้านยังจะดีเสียกว่า

 

 

……………………………………………………………