“อืม ในเมื่อเธอพูดขนาดนี้ ฉันไม่พยายามไม่ได้แล้ว” ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ตอบด้วยความจริงจังมาก แต่หลิงหลานกลับไม่รู้ นึกว่าอีกฝ่ายแค่พูดเล่นเท่านั้น
ผู้ควบคุมเสือชีตาห์นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยชื่นชมว่า “คราวนี้ความเร็วของนายเร็วกว่าฉันแล้ว ล่าสุดฉันเข้าสู่จุดคอขวดแล้ว และก็หยุดอยู่ที่เวลานี้ตลอด ไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นได้เลย ความเร็วมือของฉันถึงขีดจำกัด ดูท่าฉันได้แต่ต้องหยุดลงแล้ว” เสียงของผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ฟังดูผิดหวังอยู่บ้าง บางทีอาจจะถึงเวลาที่จะต้องแยกจากกันแล้ว
“งั้นก็ฝึกความเร็วมือสิ” หลิงหลานหลุดพูดออกมา หลังจากที่คบหารู้ใจกันมาหลายเดือนทำให้หลิงหลานอาลัยอาวรณ์กับการจากไปของอีกฝ่ายอย่างยิ่งยวด ทว่าเมื่อเสียงพูดของเธอเพิ่งจะหลุดไป เธอก็ตื่นตัวขึ้นมา นี่เธอไม่ได้ระมัดระวังตัวกับอีกฝ่ายเลยสักนิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ฝึกความเร็วมือ? ฝึกยังไงเหรอ?” ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ตกตะลึงกับคำพูดของหลิงหลานมากเหมือนกันแล้วก็หลุดปากเอ่ยถามโดยไม่คาดคิด
อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว มีความเป็นไปได้สูงว่าคำถามของเธออาจจะเป็นความลับที่อาจารย์ของอีกฝ่ายถ่ายทอดให้โดยที่ไม่แพร่งพรายให้คนนอกรู้ เขาจะละโมบต้องการความลับการฝึกฝนของอีกฝ่ายได้ยังไง “ขอโทษนะ ฉันถามมากไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร….” หลิงหลานลอบขมวดคิ้ว อันที่จริงในใจเธออดรู้สึกแย่ไม่ได้ เหมือนกับว่าการที่ไม่บอกเขาเป็นความผิดอย่างหนึ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหลานมีจิตใจแน่วแน่ละก็ เกรงว่าเธอคงจะพูดวิธีการฝึกฝนออกไปโดยไม่รู้ตัวนานแล้ว
“เสี่ยวซื่อ นายสัมผัสความผิดปกติได้หรือเปล่า?” ในใจหลิงหลานรีบเรียกเสี่ยวซื่อให้เข้ามาช่วยเหลือ
“ไม่นะ…ปกติมากเลย! เอ๋? นี่คืออะไรอะ? คลื่นความคิดประหลาดจัง….” เสี่ยวซื่ออุทานขึ้นมา “ความถี่เหมือนกับคลื่นสมองที่แท้จริงของลูกพี่เลย…รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปตรวจสอบคลังข้อมูลของฉันก่อนว่านี่หมายความว่าอะไร”
“มีผลร้ายต่อฉันหรือเปล่า?” หลิงหลานเอ่ยถามด้วยความเคร่งเครียด เธอถูกหลอกไม่ได้เป็นอันขาด อีกฝ่ายเป็นถึงคนที่สามารถพัฒนาเป็นผีซวีที่อันตรายเชียวนะ
เสี่ยวซื่อหาข้อมูลเจอแล้วก็พูดด้วยความยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นอยู่บ้าง “ก็ไม่มีอะไร มันแค่สามารถขยายสสารที่ดีบางอย่างได้โดยไม่มีจำกัด ยกตัวอย่างเช่น เธอคิดว่าเขาไม่เลว เธอก็จะคิดว่าเขาดีอย่างไร้ที่สิ้นสุดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอรู้สึกดีต่อเขามาก ความรู้สึกดีๆ นี้ก็จะขยายไปถึงระดับสนิทสนมรู้ใจกันทันที ถ้าหากในใจเธอมีความรู้สึกรักใคร่ชื่นชมเล็กน้อย หึๆ ลูกพี่ งั้นเธอก็แย่แล้วล่ะ เธอจะรักเขาทันที รักจนถึงขั้นตายเพื่อเขา”
คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานกลอกตาใส่เขาแรงๆ เธอดูหิวกระหายขนาดนั้นเลย? รู้สึกวาบหวามขนาดนั้นเลยเหรอ?
“แล้วก็นะ ความสามารถแบบนี้สามารถลดสสารที่ไม่ดีบางอย่างได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น สามารถลดระดับความเกลียดชังของศัตรูได้ แก้ไขความคิดด้านลบของคนอื่นอะไรแบบนี้….ไม่ว่ายังไงก็ทำให้ใครเห็นใครก็รัก!”
“เขาจงใจเหรอ?” หลิงหลานทำหน้ายักษ์ ถ้าเกิดอีกฝ่ายจงใจใช้ความสามารถแบบนี้ละก็ เธอจะจัดให้เขาอยู่ในแบล็คลิสต์แน่นอน ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกดีกับเขา แต่ใครจะไปรู้ว่านี่เป็นผลผลิตจากความสามารถนี้หรือเปล่า
“ไม่ใช่ นี่เป็นความสามารถที่ติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด ควรพูดว่าเขาไม่มีทางตั้งใจใช้ได้เลย” เสี่ยวซื่อลูบคางพลางหัวเราะอย่างชั่วร้าย “หึๆๆ…เพราะว่าเขามีความรู้สึกดีๆ กับเธอมากเกินไป หวังว่าเธอจะชอบเขาได้ ดังนั้นความสามารถนี้เลยแสดงผลออกมาตามความปรารถนาของเขา พูดแบบนี้ละกัน ความสามารถนี้จะปรากฏได้ต่อเมื่อใจจริงของเขาเต็มใจทำดีกับคนผู้นั้น ดังนั้น ยินดีด้วยนะลูกพี่ เธออยู่ในหมวดหมู่คนที่เขายินดีเต็มใจทำดีต่อเธอมากๆ”
หลิงหลานค่อยวางใจลง เสี่ยวซื่อถึงขนาดมองเห็นว่ามุมปากของเธอโค้งขึ้นอย่างเล็กสุดขีดออกมา ดูท่าลูกพี่ของเขาจะมีความสุขมากเลยนะ เสี่ยวซื่อทอดถอนใจอย่างยิ่งยวด นับตั้งแต่ที่ลูกพี่เขาพัฒนาไปทางทำหน้าตายแล้ว เขาก็เห็นรอยยิ้มของลูกพี่น้อยมาก นี่ทำให้เขาคิดถึงสุดๆ ไปเลย ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของลูกพี่ในตอนนั้นอาจจะล่มชาติไม่ได้ แต่ก็ล่มเมืองได้เหลือเฟือเลย
เสี่ยวซื่อใคร่ครวญอยู่สักพักก็เริ่มตำหนิพวกอาจารย์ของมิติการเรียนรู้ ทำไมต้องตั้งค่าให้อาจารย์หน้ายิ้มเป็นคนโรคจิตหน้าเนื้อใจเสือกันหมดเลยนะ? ส่วนอาจารย์ที่เปิดเผยซื่อตรงเข้มงวดกวดขันก็ทำหน้าเป็นน้ำแข็งเนี่ยนะ? พาให้ลูกพี่ของเขาหลงผิดไปเลย…ลูกพี่เกลียดอาจารย์หมายเลขห้าที่ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดกาลแต่ว่าภายในโรคจิตสุดขีดเอามากๆ
คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานยินดีปรีดามากแน่นอน ควรรู้ไว้ว่าระยะห่างของช่วงเวลาหลังจากที่เธอบอกความสำคัญของพื้นฐานให้ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ฟังนั้นผ่านไปหลายเดือนแล้ว คบหากันมานานขนาดนี้ ต่อให้เป็นก้อนหินก็มีความรู้สึกบ้างเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ที่มีชีวิตสองคนเลย ไม่เพียงแต่ผู้ควบคุมเสือชีตาห์เห็นหลิงหลานเป็นเพื่อนของตัวเองแล้ว หลิงหลานก็เห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่คบหาได้เช่นเดียวกันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในเวลานี้เอง หลิงหลานที่กำลังผ่านด่านภารกิจก็เอาชนะอุปสรรคมากมายไปได้
เนื่องจากหลิงหลานทะลวงจุดคอขวดแล้ว ทำให้ความเร็วมือของตัวเองทะลวงขีดจำกัดไปได้อีกครั้ง นี่ทำให้เวลาในการผ่านด่านของหลิงหลานรุดหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกรอบ จนกระทั่งอยู่ภายในเวลาสามนาที สิบวินาที ซึ่งห่างจากเงื่อนไขสามนาทีของภารกิจเกือบๆ สิบวินาทีเท่านั้น
จากนั้นหลิงหลานก็ทำภารกิจผ่านด่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขข้อผิดพลาดในการควบคุมหลายครั้งในรอบก่อนๆ ของตัวเอง หลิงหลานทำผิดพลาดน้อยลงเรื่อยๆ เวลาในการฝึกฝนผ่านด่านก็เข้าใกล้สามนาทีมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่พอถึงเวลาสามนาที สามวินาที หลิงหลานก็ตกอยู่ในสภาวะอับจนอีกครั้ง หลังจากที่เธอฝึกฝนผ่านด่านติดต่อกันหลายครั้งก็พบว่าไม่มีความก้าวหน้าขึ้นสักนิดเลย
หลิงหลานไม่ได้ร้อนใจมากนัก ถึงแม้ว่าเวลาจะเข้าใกล้กับเวลาที่ภารกิจกำหนดไว้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอรู้ดีว่า ความร้อนใจแก้ไขเรื่องราวไม่ได้ มีเพียงความเยือกเย็นเท่านั้นถึงจะหาวิธีแก้ไขสุดท้ายได้
หลิงหลานเริ่มหวนนึกถึงการเคลื่อนไหวผ่านด่านของหุ่นรบเสือชีตาห์ ตอนนั้นการเคลื่อนไหวของเสือชีตาห์ลื่นไหลมาก ความเร็วก็รวดเร็วมากเช่นกัน แต่ว่าจังหวะการวิ่งกระโดดของมันกลับไม่มีความดุเดือดเหมือนกับความเร็วแบบนั้นเลย มันเหมือนกับว่าการกระโดดแต่ละครั้งจะใช้ขีดจำกัดทั้งหมดของหุ่นรบ พูดอีกอย่างก็คือ เขาขุดกำลังแฝงทุกส่วนของหุ่นรบออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจคือ เขาใช้ประโยชน์จากแรงสะท้อนกลับทุกครั้งที่เหยียบ บวกกับรักษาแรงขับเคลื่อนผลักดันความเร็วให้ถึงขีดสุด ทำให้มันปล่อยความเร็วนอกเหนือจากความสามารถของผู้ควบคุม
ส่วนเธอก็ปลดปล่อยความเร็วของหุ่นรบกระต่ายของตัวเองจนถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน เธอเองก็สามารถใช้แรงสะท้อนกลับจากการเหยียบครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้มาเพิ่มความเร็วได้เหมือนกันหรือปล่า?
หลิงหลานรู้ว่ากระต่ายทะยานฟ้าเป็นทักษะแรงสะท้อนกลับจากการเหยียบที่ดีที่สุด เพียงแต่เธอไม่อาจแน่ใจได้ว่าหุ่นรบกระต่ายของมิติการเรียนรู้จะทนฝืนได้นานพอไหม
หลิงหลานเคยลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็เข้าใจจังหวะแล้ว เธอใช้ได้แค่ช่วงเวลาครั้งหลังเท่านั้น นอกจากนี้เวลาต้องเกินสองส่วนสามด้วย ถ้าหากเร็วเกินไป หุ่นรบก็จะพังก่อนที่จะผ่านด่าน
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของมิติการเรียนรู้ก็แสดงออกมาให้เห็นอีกครั้ง นั่นก็คือหุ่นรบที่อยู่ข้างในคือหุ่นรบที่ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซม หลังจากที่พังแล้วก็กลับไปที่จุดเริ่มต้น สภาพของหุ่นรบก็ฟื้นคืนกลับมาหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์อีกครั้ง
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้หลิงหลานเจ็บปวดใจคือ แต้มเครดิตของเธอถูกหักไปสิบแต้ม ทั้งหมดนี้คือจำนวนที่เธอเรียนวิชาลับกระต่ายทะยานฟ้าเลยนะ!
หลิงหลานใช้แต้มเครดิตไปเกือบแปดสิบแต้มภายใต้การวิจัยศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้เอง เธอถึงค่อยรู้เวลาที่จะใช้ท่ากระต่ายทะยานฟ้า ต่อให้หุ่นรบไม่พัง การซ่อมบำรุงก็ต้องใช้แต้มเครดิตเหมือนกัน เพียงแต่จะถูกลงนิดหน่อยเท่านั้น
และแล้วในที่สุดหลิงหลานก็โชคดีทะลวงขีดจำกัดเวลาสามนาทีได้ในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อถึงเวลาสองนาที ห้าสิบเก้าวินาที ค่าตอบแทนค่อนข้างชอกช้ำใจยิ่งนัก คราวนี้หุ่นรบกระต่ายเกือบจะพังทุกส่วนเนื่องจากความเร็วสูงมากเกินไป แต่ยังดีที่เธอทำภารกิจสำเร็จก่อนที่มันจะพัง
อย่างไรก็ตาม มิติการเรียนรู้ไม่ได้ให้เวลาหลิงหลานภาคภูมิใจเลย ตอนนี้เอง อาจารย์หมายเลขสามก็ปรากฏตัวออกมาด้วยความร่าเริง จากนั้นก็ให้หลิงหลานรีบนั่งลงบนที่นั่งเสริม แล้วเขาก็บังคับหุ่นรบกระต่ายให้ผ่านด่านภารกิจใหม่อีกครั้ง
หลิงหลานมองเห็นชัดเจนมากว่า ความเร็วมือของอาจารย์หมายเลขสามไม่ได้เร็วเลย ถึงขนาดที่เธอมองเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดได้อย่างชัดเจนมาก แต่ก็เป็นการควบคุมแบบนี้แหละ กระต่ายถึงดูเหมือนกระโดดโลดเต้นในเส้นทางด้วยความปราดเปรียวก็ไม่ปาน ถึงขนาดที่มีอยู่หลายครั้งมันทิ้งแสงสายหนึ่งที่พุ่งผ่านไปตามเส้นทางออกมา
อาจารย์หมายเลขสามควบคุมไปพลางอธิบายเหตุผลที่เขาควบคุมแบบนี้ให้หลิงหลานฟังไปพลาง หลิงหลานเปรียบกับวิธีการควบคุมของตัวเอง แล้วก็พบสิ่งที่ตัวเองขาดไป ตอนนี้เธอเข้าใจสาเหตุแล้วว่าทำไมตอนแรกอาจารย์ถึงไม่สอนวิธีการควบคุมให้เธอ แต่ว่าให้เธอทดลองทำเอาเอง เนื่องจากการควบคุมบางอย่างจำเป็นต้องให้ตัวเองไปทำก่อนถึงจะเข้าใจได้ว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ และมีแค่ปฏิบัติแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าใจว่าอะไรคือข้อผิดพลาด เรื่องที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต่างก็มีความเคยชินในการควบคุมของตัวเอง วิธีการควบคุมที่เข้ากับตัวเองถึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
หลิงหลานได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการควบคุมมาตลอดทาง ส่วนอาจารย์หมายเลขสามก็ผ่านด่านได้สบายมาก เวลาก็คือสองนาที สิบเอ็ดวินาทีไม่ถึงจุดทศนิยม
หลิงหลานสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างยิ่งยวด ในขณะที่ความเร็วมือของอาจารย์หมายเลขสามช้ากว่าเธอ แต่ทำไมเขาไปถึงความเร็วในการผ่านด่านที่น่ากลัวแบบนี้ได้ล่ะ แน่นอนว่าในตอนที่หลิงหลานถามคำถามนี้ออกมา สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นการถามกลับของอาจารย์หมายเลขสามว่า ความเร็วมือของเขาช้ากว่าเธอจริงๆ เหรอ?
หลิงหลานมองข้อมูลการทดสอบความเร็วมือที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์ของหุ่นรบรวบรวมไว้ด้วยความตื่นตะลึง เธอพบว่าข้อมูลความเร็วมือของอาจารย์หมายเลขสามเหมือนกับเธอเลย แต่ทำไมดูแล้วถึงช้ากว่าความเร็วมือของเธอล่ะ ถึงขนาดที่มองไม่เห็นภาพซ้อนปรากฏขึ้นมาเลย หลิงหลานรู้ว่า เมื่อความเร็วมือของเธอไปถึงความเร็วในระดับหนึ่งแล้วก็จะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ออกมา
“เธอรวบรวมความเร็วทั้งหมดไปที่ช่วงเวลาหนึ่ง แบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้มือและจิตใจของเธอเหนื่อยแล้ว แม้กระทั่งตัวหุ่นรบเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน” อาจารย์หมายเลขสามตบลำตัวหุ่นรบเบาๆ ในแววตาเผยความรักและสงสารออกมา ราวกับว่าหุ่นรบตรงหน้าไม่ใช่หุ่นรบ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องปกป้องดูแลอย่างระมัดระวัง และไม่สามารถควบคุมมันอย่างป่าเถื่อนได้
หลิงหลานประหลาดใจกับการกระทำของอาจารย์ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอยังไม่สามารถเข้าใจสภาพจิตใจแบบนี้ของผู้ควบคุมหุ่นรบได้ เธอได้แต่หวนนึกถึงความเร็วในตอนที่อาจารย์ควบคุมเมื่อสักครู่นี้ด้วยความจริงจัง ก่อนจะพบว่าเขาแทบจะรักษาการควบคุมความเร็วไว้ นี่มันแปลกๆ อยู่บ้าง ควรรู้ไว้ว่าฉากแต่ละแห่งภายในเส้นทางต่างไม่เหมือนกัน ถึงขนาดที่ยังมีเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นกะทันหันด้วย อาจารย์หมายเลขสามทำเรื่องนี้ได้ยังไงกัน?
“ในหมู่การออกคำสั่งควบคุมหุ่นรบ มีการออกคำสั่งอย่างหนึ่งที่เรียกว่าโหมดควบคุมล่วงหน้า เธอควรจะใช้มันให้เหมาะสมนะ” คำพูดของอาจารย์หมายเลขสามทำให้หลิงหลานรู้แจ้งขึ้นมาฉับพลัน เธอรู้ดีว่าโหมดควบคุมล่วงหน้าคืออะไร ท่วงท่าการสแตนด์บายของเธอก็คือโหมดควบคุมล่วงหน้าอย่างหนึ่ง เพียงแต่แบบนั้นอยู่ในโหมดควบคุมล่วงหน้าที่ตั้งค่าไว้แล้ว เธอป้อนข้อมูลเข้าไปในหุ่นรบไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ใช้ปุ่มกดที่เธอฝึกฝนขึ้นมาเป็นพิเศษทำให้มันแสดงท่วงท่าออกมา…
………………………..