ตอนที่ 133 นี่หรือที่เรียกว่าความยุติธรรม

ปฏิญญาค่าแค้น

“เหล่าเหยีย ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ หมิงจูยังเด็ก ไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านค่อยพูดค่อยจากับนาง นางก็รู้จักเชื่อฟังเจ้าค่ะ” ฮานชิวเยว่รีบกล่าวเกลี้ยกล่อม ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แก่หมิงจูและหมิงเจ๋อ 

 

 

หมิงจูรีบคุกเข่าให้ผู้เป็นบิดาแล้วกล่าวอ้อนวอน “ท่านป้า หมิงจูสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ หมิงจูไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หมิงเจ๋อร้องขอด้วยเช่นกัน “ท่านพ่อขอรับ ในเมื่อเปี่ยวเหม่ยสำนึกแล้ว ท่านก็ให้อภัยนางสักครั้งเถิดนะขอรับ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนฉุนเฉียวอย่างยิ่ง หาได้ยินยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมไม่ “เขายังเด็กเช่นนั้นหรือ ปีหน้าก็อายุสิบห้าปีและถึงวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีคิดว่ารอให้นางถึงวัยแล้ว จะหาคู่ครองดีๆ ให้นางสักคน ตอนนี้เห็นทีว่าคงไม่จำเป็นเสียแล้ว จะได้ไม่ไปสร้างความหายนะให้ผู้อื่นเขา แล้วจะพาลให้ผู้อื่นเขามาดูถูกตระกูลหลี่เราได้” 

 

 

ฮานชิวเยว่เกือบโมโหจนสติหลุด คำพูดของผู้เป็นสามีแต่ละประโยคช่างทิ่มแทงหัวใจจนนางอยากปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเสียจริง นอกจากนั้นยังอยากถามผู้เป็นสามีว่ายังมีหัวใจอยู่หรือไม่ พวกเขาปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อบุตรสาวผู้นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือว่ายังต้องทำลายชีวิตของนางทั้งชีวิตอีกเพียงเพราะเรื่องเล็กเช่นนี้ 

 

 

หมิงจูตกตะลึง ตอนแรกที่นางยึดเอาบัตรเชิญไว้ด้วยความรู้สึกโมโหที่ยังไม่จางหาย หลินหลันสาวชาวบ้านผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะบารมีของพี่รอง ภรรยาท่านแม่ทัพเหล่านั้นจะเรียนเชิญนางไปงานเลี้ยงได้อย่างไร ดังนั้น นางจึงจงใจกลั่นแกล้ง โดยคิดว่าคงไม่มีเรื่องอันใดตามมา แต่คาดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้รวมไปถึงผลที่ตามมาจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ทว่านางยังคงไม่เชื่อว่าผู้เป็นพ่อจะขับไล่นางไปจริงๆ 

 

 

หญิงชราแอบถอนหายใจ หลังจากนางมาอยู่เมืองหลวงก็เย็นชาต่อหมิงจูมาโดยตลอด และยังจงใจรักษาระยะห่างเพื่อปิดบังสายตาของผู้อื่น ทว่าถึงอย่างไรหมิงจูก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของนาง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหลี่ หญิงชราจึงอดรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ ทว่าหมิงจูก็ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียเหลือเกิน ปล่อยให้ท่านพ่อของนางได้อบรมสั่งสอนนางสักหน่อยก็เป็นเรื่องอันสมควรเช่นกัน 

 

 

หมิงจูอาจไม่รู้เท่าไหร่นัก ทว่าฮานชิวเยว่รู้ดีว่าสามีของตนเองเป็นคนอย่างไร ผู้เป็นสามีสนใจอะไรเป็นที่สุด นอกเสียจากความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง ผู้ใดกล้าขัดขวาง เขาไม่ไว้หน้าทั้งสิ้น ดังนั้นการที่สามีของนางเอ่ยปากว่าจะไล่หมิงจูไป นางเองก็เชื่อว่าผู้เป็นสามีจะทำเช่นนั้นจริงๆ ฮานชิวเยว่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางจิ้มไปที่หน้าผากของหมิงจูและเอ่ยตำหนิ “หมิงจูอ่าหมิงจู เจ้าจะให้ป้าพูดกับเจ้าอย่างไรดี ป้าปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนบุตรสาวแท้ๆ ผู้หนึ่งมาโดยตลอด เจ้ากลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ครั้งนี้ป้าเองก็ช่วยอันใดเจ้ามิได้แล้ว ตอนนี้เจ้าไปเก็บข้าวของเสีย พรุ่งนี้ป้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเกิด เมื่อเจ้าพบเจอแม่ของเจ้าแล้วก็ฝากขอโทษแทนข้าด้วย โดยบอกว่าป้าผิดเองที่ไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้ดี บุญคุณที่นางมีต่อตระกูลหลี่พวกเรา คงไว้ตอบแทนในชาติหน้าหากมีจริง…” ฮานชิวเยว่ยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าและร้องไห้ออกมาขณะเอ่ย ใช้ช่องวางที่พอหลงเหลืออยู่ระหว่างชายตามองหญิงชรา เมื่อเห็นหญิงชรามีสีหน้าละอายใจ นางจึงบีบน้ำตาออกมาหนักขึ้น 

 

 

เมื่อได้ยินมารดาพูดจาเช่นนี้ หมิงจูถึงได้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น นางกอดขามารดาภายใต้สีหน้าซีดเผือดและกล่าวทั้งน้ำตา “ท่านป้า อย่าไล่หมิงจูไปเลยนะเจ้าคะ หมิงจูสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ…” 

 

 

หลินหลันแสยะยิ้มอยู่ลึกๆ ทักษะการแสดงของแม่มดชราไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็น ทว่าในทุกครั้งนางก็มักสะเทือนใจไปกับการแสดงอย่างเข้าถึงอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกเสมือนละครขื่นขมฉากหนึ่งก็ว่าได้ ทว่านางไม่เชื่อว่าแม่มดชราจะให้หมิงจูกลับไปง่ายๆ แต่อย่างใด หรือต่อให้แม่มดชราส่งหมิงจูกลับไปจริง นางก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก หลักฐานชิ้นนี้เป็นตัวแสดงให้เห็นถึงการหลอกแต่งงานของพ่อผู้ไร้ยางอายได้อย่างดี แล้วจะให้นางหนีไปได้อย่างไรล่ะ อืม ในเมื่อคนเขาทุ่มเทกับบทบาทการแสดงเสียขนาดนี้ เช่นนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาชมละครสนุกๆ ไปก่อนแล้วกัน 

 

 

ท้ายที่สุดหญิงชราก็อดที่จะเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้ “พอได้แล้วๆ จะปีใหม่ทั้งที ร้องห่มร้องไห้เสียเหมือนอันใดไปแล้ว หลี่จิ้งเสียน ในเมื่อหมิงจูสำนึกผิดแล้วเจ้าก็ให้อภัยนางสักครั้ง หากส่งนางกลับไปอย่างไร้เยื่อใย จะพาลให้คนเขากล่าวว่าพวกเราไม่รู้จักบุญคุณเอาได้” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเผยสีหน้าเย็นชาขณะมองดูสองแม่ลูกที่กำลังร้องไห้ระงม ภายในใจรู้สึกอึดอัดอย่างพูดไม่ออก คนหนึ่งก็หมิงเจ๋อที่ไม่ได้เรื่องได้ราว อีกคนหนึ่งก็หมิงจูที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ล้วนเป็นผลจากการอบรมสั่งสอนของนางฮานทั้งสิ้น เขาอดไม่ได้ที่จะตวัดสายตาไปมองนางฮานอย่างชิงชัง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังหมิงจูที่กำลังร้องห่มร้องไห้และกล่าวตำหนิ “เจ้าอย่าคิดว่าความนึกคิดเช่นนั้นของเจ้าผู้อื่นเขาจะมองไม่ออก เป็นเด็กเป็นเล็ก รู้จักเจ้าเล่ห์เจ้ากล นิสัยร้ายกาจ กำเริบเสิบสาน ไร้ซึ่งคุณธรรมความดีงาม เจ้าไม่อับอายผู้อื่นเขาแต่ข้ารู้สึกอับอายแทนเจ้ารู้ไว้เสียด้วย วันนี้เห็นแก่หน้าเหล่าไท่ไทจึงยินยอมให้อภัยเจ้าสักครา นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าช่วยกลับไปไตร่ตรองความนึกคิดให้ดีๆ ด้วยการคัดลอกบทฝึกอบรมสตรีหนึ่งพันชุด และหากบังอาจกล้ากระทำผิดอีกข้าจะไม่เอาเจ้าไว้ที่แห่งนี้อีก” 

 

 

ช่วงแรกที่หมิงจูได้ยินประโยคว่าให้อภัยเจ้าสักครา นางรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที แต่เมื่อได้ยินประโยคท้ายที่ว่ากลับไปไตร่ตรองความนึกคิดให้ดีๆ ด้วยการคัดลอกบทการฝึกอบรมสตรีหนึ่งพันชุด นางถึงกับตะลึงงันโดยมองไปยังผู้เป็นบิดาอย่างเหลือเชื่อ ทว่าบิดากำลังมีสีหน้าเด็ดขาดและนัยน์ตาที่ฉายให้เห็นถึงความดุดันและเฉียบคมดั่งมีด ขณะที่หมิงจูไม่ต่างจากมะเขือยาวที่ถูกสับออกเป็นชิ้นๆ นางไม่อาจปฏิเสธความจริงอันน่าเวทนานี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะหลินหลันผู้หญิงสารเลวที่ทำร้ายนาง หมิงจูจ้องมองไปยังหลินหลันด้วยสายตาโกรธแค้น หลินหลันเลิกคิ้วและเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยให้แก่นาง ภายในใจของหมิงจูจึงยิ่งปะทุไปด้วยอารมณ์เกลียดชังมากยิ่งขึ้น 

 

 

“ท่านพ่อจ้าคะ เปี่ยวเหม่ยก็ยอมรับผิดแล้ว ดังนั้นการคัดลอกบทฝึกอบรมสตรีเป็นจำนวนถึงหนึ่งพันชุดมิดูเป็นการลงโทษที่รุนแรงไปหรือเจ้าคะ” หลินหลันเบนสายตาหนีแล้วหันไปถามอย่างแสร้งเห็นอกเห็นใจ 

 

 

หลี่หมิงอวินหันมาจ้องเขม็งอย่างดุดันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเลิกทำตัวเป็นคนใจดีอยู่เรื่อยได้แล้ว ท่านพ่อหวังดีต่อเปี่ยวเหม่ย การตามใจนางสิถึงเป็นการทำร้ายนาง” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเห็นด้วยอย่างยิ่งจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นี่ถือว่าเป็นโทษสถานเบาแล้ว หนึ่งพันชุดหากยังจำไม่ขึ้นใจ ก็ลงโทษเป็นสองพันชุด ลงโทษไปจนกว่านางจะจำได้ขึ้นใจ” 

 

 

หลินหลันแอบหัวเราะ หากเป็นเช่นนี้จริง ชีวิตหลังจากนี้ของนักเรียนหลี่หมิงจูอาจเป็นไปได้ว่าจะต้องหมดเวลาแต่ละวันไปกับการคัดลอกบทฝึกอบรมสตรีเสียแล้วล่ะ 

 

 

หลี่หมิงจูเกือบกะอักเลือดออกมาก็ว่าได้ หลินหลัน ข้าหลี่หมิงจูกับเจ้าไม่มีทางอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ 

 

 

ฮานชิวเยว่อดกุมขมับด้วยความอนาถใจไม่ได้ สามีภรรยาคู่นี้ไม่ต่างจากดาวมฤตยูในชีวิตของนาง อยากขจัดก็ไม่อาจขจัดไปได้ และบุตรของตนทั้งสองคนก็ดันไม่ได้เรื่องได้ราวจึงตกไปอยู่ในกำมือของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

หลี่หมิงจูเดินร้องไห้ออกไป หลี่จิ้งเสียนด้วยความหงุดหงิดจึงไม่รู้สึกอยากอาหารเสียแล้วจึงกล่าวขออภัยหญิงชราแล้วเดินจากไปเช่นกัน หลี่หมิงอวินส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลินหลันก่อนจะเดินตามบิดาออกไป ทางด้านหลี่หมิงเจ๋อมีท่าทีลังเลใจ ไม่รู้ว่าควรตามไปหรืออยู่ต่อดี ฮานชิวเยว่จึงกล่าวขึ้นทันควัน “ยังไม่รีบตามไปเกลี้ยกล่อมท่านพ่อเจ้าอีก” ขณะนี้เองหลี่หมิงเจ๋อถึงได้ตามออกไป 

 

 

หญิงชรามองดูแต่ละคนที่ค่อยๆ ทยอยเดินออกไปจนหมดก่อนจะถอนหายใจด้วยอารมณ์หดหู่แล้วหันไปกล่าวกับนางฮาน “เจ้าไปบอกกล่าวให้คนนำข้าวปลาอาหารไปส่งให้สามีเจ้า อย่าให้หงุดหงิดจนพาลเสียสุขภาพ” 

 

 

ฮานชิวเยว่ขานรับ นางคารวะกล่าวลาแล้วจึงเดินออกไป 

 

 

หญิงชราดูเหมือนกำลังเหม่อลอยโดยการจ้องไปที่หลินหลันซึ่งยังคงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ เนิ่นนานพอตัวถึงได้กล่าวขึ้น “รับประทานอาหารกันเถอะ” 

 

 

แม่จู้ประคองหญิงชราไปยังห้องรองที่เชื่อมติดกัน หลินหลันลุกขึ้นแล้วเดินตามเข้าไป แม่จู้ช่วยปรนนิบัติหญิงชรากระทั่งนั่งลง หลังจากนั้นก็เตรียมตักข้าวปลาอาหารให้แก่หญิงชรา 

 

 

“ให้เป็นหน้าที่ของหลินหลันเถอะ” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 

 

 

หลินหลันซึ่งเดิมทีหย่อนตัวลงนั่งเป็นที่เรียบร้อยรีบลุกขึ้นยืนโดยเร็วแล้วไปยืนอยู่ด้านข้างหญิงชรา นางรับชามจากมือของแม่จู้มาแล้วตักน้ำแกงเนื้อแกะให้แก่หญิงชรา 

 

 

หลายวันมากแล้วที่หญิงชราไม่ได้เคร่งครัดกฎระเบียบกับนาง เกรงว่าคงรู้สึกไม่พึงพอใจนางเสียแล้วสินะวันนี้ถึงได้ทำเช่นนี้ หลินหลันวางถ้วยน้ำแกงลงเบื้องหน้าหญิงชราอย่างเบามือแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านย่ามีอาการหนาวสั่น น้ำแกงแกะนี้ช่วยบรรเทาอาการหนาวสั่นได้ดีเยี่ยมที่สุดเจ้าค่ะ” 

 

 

หญิงชราไม่แตะต้องน้ำแกงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “หมิงจูนางอยู่กับแม่สามีเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็กจึงมีสายสัมพันธ์ต่อกันเสมือนแม่ลูก แม่สามีเจ้าในปีนั้นเพราะเผชิญความลำบาก แต่ก็ต้องขอบคุณที่แม่ของหมิงจูช่วยดูแล พ่อสามีของเจ้าด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณวันนั้นก็เลยให้หมิงจูอยู่ข้างกายเป็นการเฉพาะ และอนุญาตในนางได้ใช้สกุลหลี่โดยปฏิบัติเสมือนเป็นบุตรของตนเอง แม้ว่าหมิงจูจะมีนิสัยหยิ่งผยอง แต่กลับหาได้มีจิตใจเลวร้ายไม่ เพียงแค่เป็นผู้ที่พูดตรงไปตรงมาจนดูโผงผาง ไว้อีกปีสองปีก็ต้องแต่งงานออกไปแล้ว เวลาที่พวกเจ้าจะได้อยู่ร่วมกันยังมีอีกเท่าใดเชียวหรือ อีกอย่าง เจ้าเป็นพี่สะใภ้ ก็ควรใจกว้างเสียหน่อย ไม่ต้องก่อร่างสร้างปัญหาในคนภายในครอบครัวด้วยเรื่องเล็กๆ เหล่านี้” 

 

 

หลินหลันฟังอย่างเงียบๆ จนจบ ทันใดนั้นภายในใจก็รู้สึกคุกกรุ่นไปด้วยความโกรธเคือง หญิงชรานี่ช่างยุติธรรมเสียจริงนะ หลานสาวของตนเองกระทำผิดแต่ดันโทษว่านางใจไม่กว้างพอ ปฏิบัติต่อตนเองในแบบฉบับเสรีนิยม แต่กลับปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างคอมมิวนิตส์เสียนี่ หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกไป “หลานมิเคยคิดมีปัญหากับผู้ใดทั้งสิ้น อีกอย่างเปี่ยวเหม่ยอยู่ที่นี่ในฐานะแขกคนหนึ่งก็ว่าได้ อีกไม่กี่ปีก็ต้องออกจากบ้านไปแล้ว หลานยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องมีปัญหากับนางแต่อย่างใด เรื่องวันนี้ เดิมทีหลานต้องการปกปิดไว้ ทว่าได้ยินมาว่าภรรยาของท่านแม่ทัพกล่าวตำหนิหลานมาไม่น้อย ในเมื่อคนเขาเอ่ยพูดขึ้นมาหลานจึงรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง และด้วยหลานเป็นสะใภ้รองของตระกูลหลี่ ซึ่งพูดไปพูดมา อาจกลายเป็นผลกระทบต่อตระกูลหลี่ไปได้…และที่สำคัญในเมื่อหลวงแห่งนี้เรื่องการแพร่สะพัดของข่าวลือเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วประดุจสายลม หลานเกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อหมิงอวินและท่านพ่อ จึงตั้งใจถามไถ่ความคิดเห็นของหมิงอวิน ท่านย่าก็ได้เห็นแล้วว่าท่านพ่อโกรธเกรี้ยวเพียงใด ซึ่งความกังวลของหลานนั้นหาได้ไร้สาระไม่ ท่านย่ารักใคร่และเอ็นดูเด็กรุ่นหลังนั่นถือเป็นความเมตตาของท่านย่า ท่านย่าเคร่งครัดกฎระเบียบในบ้านมาแต่ไหนแต่ไร ก็เพื่อการดำรงอยู่ของตระกูลหลี่เช่นกัน แม้ว่าครั้งนี้เปี่ยวเหม่ยจะมิได้ตั้งใจแต่ก็เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจริง หลานอยากเห็นแก่หน้าของทุกคน โดยทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กและทำเรื่องเล็กให้หายไป ทว่าหมิงอวินกลับเอ่ยว่าหลานจะทำตนเป็นคนใจดีอยู่เรื่อยไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่การเป็นคนใจดีแต่เป็นการทำร้ายผู้อื่นมากกว่า ปล่อยปละละเลยนางครั้งนี้แล้วก็คงต้องมีครั้งต่อไปอีก ยังดีที่เปี่ยวเหม่ยยังไม่ออกเรือน หากไปอยู่ที่บ้านแม่สามี แล้วก่อปัญหาอันใหญ่หลวงเช่นนี้ขึ้น เกรงก็แต่ว่าครอบครัวของแม่สามีจะไม่อาจใจกว้างได้เช่นนี้ ท่านย่า แล้วท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ” 

 

 

หญิงชราชักสีหน้าไม่พึงพอใจ ไม่รู้เลยว่าหลินหลันจะพูดออกมาถึงเพียงนี้ และเพียงแค่ประโยคเดียวที่ว่าเคร่งครัดกฎระเบียบในบ้านมาแต่ไหนแต่ไร ก็อุดปากของนางไว้ได้อย่างสนิท เห็นได้ชัดว่าความจริงแล้วเป็นการตำหนิตนเองและแอบตำหนิว่านางทำตัวเป็นคนใจดีคอยตามใจหมิงจู ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดจนเลือดลมเดินไม่สะดวกกันเลยทีเดียว 

 

 

“หมิงจูมีความผิด เจ้าบอกเล่าสู่แม่สามีของเจ้าหรือมาพูดกับข้าก็ย่อมได้ว่าต้องแก้ไขกันอย่างไร ทุกคนมาหารือเพื่อจัดการมันก็ได้ หรือว่าการทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนบ้านไม่สงบสุข เกิดความสับสนวุ่นวายก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้แล้วหรือ ไม่เห็นหรือไรว่าพ่อสามีเจ้าโกรธเกรี้ยวจนเป็นเช่นไรไปแล้ว” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

 

 

หลินหลันรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก หญิงชราช่างเข้าใจประดิษฐ์คำพูดคำจา จนกลายเป็นความผิดของนางไปจนได้ 

 

 

“อย่าคิดว่าการเจ้าที่มีเหตุผลดังกล่าวแล้วจะสามารถไม่ให้อภัยผู้อื่นได้ และก็อย่าได้คิดว่ามีคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ไม่กี่ท่านเรียนเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงจึงคิดว่าตนเองดีเลิศกว่าผู้อื่น หากมิใช่เจ้าเป็นสะใภ้ของตระกูลหลี่ มิได้เป็นภรรยาของหมิงอวิน จะมีผู้ใดมองเจ้าอย่างสูงศักดิ์ไปได้” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวยิ่งขึ้น 

 

 

แม่จู้ได้ยินนายหญิงชรายิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ต่อให้หญิงชรามีใจเข้าข้างหลานสาวเพียงใด ก็ไม่สามารถระบายอารมณ์ลงไปที่หลานสะใภ้รองเช่นนี้ได้ “เหล่าไท่ไทเจ้าคะ น้ำแกงนี่ใกล้จะเย็นแล้วนะเจ้าคะ” นางรีบกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม หวังทำให้บรรยากาศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น 

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้มอย่างดูหมิ่นตนเอง “หลานเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ น้องหมิงจูยึดบัตรเรียนเชิญไปไม่ถือว่ามีความผิด แต่ผิดที่หลานสะใภ้ไม่ควรเปิดเผยเรื่องออกมา ขอเพียงผู้ที่ทำผิดเป็นแซ่หลี่ล้วนถือมิใช่ความผิดแต่อย่างใด แต่หากเป็นหลานสะใภ้ก็มิแน่ว่าจะถูกเสมอไป ท่านย่า ท่านหมายความเช่นนี้สินะเจ้าคะ” 

 

 

หญิงชรามีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางตบมือลงบนโต๊ะแล้วส่งเสียงตะคอกออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้ายอกย้อนผู้อาวุโสเช่นนั้นหรือ” 

 

 

หลินหลันยังคงมีสีหน้าดั่งเดิมพร้อมกับเผยรอยยิ้มแสนงดงามอ่อนหวาน “ท่านย่าใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ หลานเพียงแค่สรุปความหมายในคำพูดของท่านย่าเพื่อทำให้ตนเองกระจ่างแจ้ง คราวหน้าจะได้มิทำให้ท่านย่าโกรธเคืองอีกเจ้าค่ะ หากท่านยาคิดว่าหลานสะใภ้เข้าใจความหมายของท่านผิดไป เช่นนั้นขอท่านย่าโปรดชี้แนะสั่งสอนด้วย หลานจะตั้งใจรับฟังอย่างเคารพโดยมิบังอาจรู้สึกขุ่นเขืองแต่อย่างใดเจ้าค่ะ”