EP.113 เข้าสู่ขอบเขตนภา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

“ตู้ม!”

เปลวเพลิงกลืนกินลำต้นไปพร้อมกับวิญญาณต้นไม้ และเผาส่วนที่เหลือจนกลายเป็นกองขี้เถ้าร้อนระอุ อานุภาพของพลังเจ็ดประทีปชั้นที่หนึ่งบวกกับแก่นเพลิงมังกร กลายเป็นพลังทำลายล้างรุนแรงที่เกินจินตนาการ แม้แต่ตัวหลินมู่อวี่เองก็ตกใจกับอานุภาพการโจมตีนี้เช่นกัน เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามเท่านั้น อานุภาพการโจมตีครั้งนี้ทรงพลังกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตนภาอย่างฉินอินและฉินเหลยหลายเท่านัก!

ในวินาทีที่วิญญาณต้นไม้ถูกเผาจนสิ้น ต้นจิ้นหมู่ก็ได้สูญเสียพลังชีวิตไป ลำต้นขนาดใหญ่โค่นทลายลงมาอย่างรุนแรง กลายเป็นซากที่อ่อนปวกเปียกกองหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ว่าชีวิตนั้นค่อยๆ ไหลลอยหายไปอย่างช้าๆ

“โอย…”

ฉินอินที่อยู่ในพุ่มไม้ห่างออกไปไม่ไกล ส่งพระสุรเสียงครวญครางออกมา

หลินมู่อวี่พุ่งตัวออกไปอย่างรีบร้อน ประคองนางขึ้น “องค์หญิง ไม่เป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ เลือดสดๆ ไหลซึมทะลุอาภรณ์ออกมา การโจมตีของเถาวัลย์นั้นช่างแข็งแกร่งนัก และฉินอินก็ไม่ได้มีการป้องกันที่ดีมากพอ

หลินมู่อวี่รีบหยิบโอสถฟื้นสภาพขวดหนึ่งส่งให้ถังเสี่ยวซี พร้อมพูด “เอานี่ไปรักษาองค์หญิง ข้าจะไปดูพี่ฉินเหลย”

“อือ!”

เมื่อมาถึงข้างกายฉินเหลย ก็เห็นเขานั่งอยู่บนโขดหิน ขาข้างหนึ่งยืดออกมา เขากัดฟันดึงหนามเถาวัลย์ที่ปักอยู่ที่ขาออก เลือดค่อยๆ ไหลออกมา ไม่ปริปากร้องสักคำ ฉินเหลยผู้นี้เป็นชายอกสามศอกที่มีความทรหดอดทนดังคาด หลินมู่อวี่ยื่นโอสถฟื้นสภาพขวดหนึ่งให้เขา พร้อมเอ่ยว่า “พี่ฉินเหลย รีบใช้โอสถฟื้นสภาพนี่เถอะ โอสถฟื้นสภาพชนิดนี้สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว มันจะทำให้ท่านดีขึ้น”

“อืม ขอบใจเจ้ามากอาอวี่!”

ฉินเหลยรับโอสถมาแล้วก็ฉีกขากางเกงออก เทยาลงไปบนปากแผลพร้อมกับเม้มปากแน่น เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “อาอวี่ ต้นจิ้นหมู่นี้อายุเจ็ดพันปี หากเจ้าต้องการละก็ วิญญาณสัตว์นี่ยกให้เจ้า ตอนนี้ข้ายังฝึกไม่ถึงขั้นที่จะต้องทะลวงระดับ ดูดซับวิญญาณสัตว์ตัวนี้ไปก็เสียเปล่า”

หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ”

“อือ ไปเถอะ!”

เมื่อมาถึงข้างๆ ซากของต้นจิ้นหมู่ เขาก็เรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าออกมาโดยพลัน น้ำเต้าสีส้มสัมผัสถึงพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์นี้ได้ทันที มันดูดซับอย่างตะกละตะกลาม หลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมอาวุธขึ้นมา แล้วหลอมวิญญาณสัตว์ด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด

“กี้ กี้…”

หลังจากทำการหลอมไปเกือบสามสิบนาที วิญญาณสัตว์ก็มีเสียงของต้นจิ้นหมู่ดังลอดออกมา มันกำลังต่อต้าน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยินยอมเป็นเครื่องสังเวยให้แก่น้ำเต้า แต่การต่อต้านนี้เห็นได้ชัดว่าไร้ประโยชน์ หลินมู่อวี่บังคับเร่งไฟปฐพี ซึ่งเป็นเพลิงชั้นที่สามของติ่งหลอมอาวุธ และหลอมส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของวิญญาณสัตว์อย่างรวดเร็ว!

“วิ้ง วิ้ง…”

น้ำเต้าดูดซับพลังจนเต็มที่แล้วก็เกิดแสงวูบวาบ และหลังจากดูดซับวิญญาณสัตว์ของต้นจิ้นหมู่แล้ว สีของน้ำเต้าก็เปลี่ยนจากสีส้มไปเป็นสีคราม สวยงามยิ่งนัก นอกจากนี้ก็ยังดูดซับได้ทักษะ ‘ฟื้นฟู’ ของต้นจิ้นหมู่มาด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มระดับพลังในการฟื้นฟู ถึงขนาดที่หลินมู่อวี่ยังรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาในชีพจร ความรู้สึกที่ส่งผ่านออกมาจากบาดแผลที่หัวไหล่นั้น ดูเหมือนแผลเมื่อครู่จะค่อยๆ สมานด้วยตัวของมันเอง!

“อาอวี่ หลอมได้ทักษะมาหรือไม่” ฉินเหลยถาม

“อือ” เขาพยักหน้า “ทักษะของต้นจิ้นหมู่ดูเหมือนจะเป็นการงอกใหม่ ถูกข้าหลอมจนกลายเป็นทักษะการฟื้นฟู เกรงว่าจากนี้ไประดับการสมานแผลของข้าคงจะเร็วจนน่าประหลาดใจเลยล่ะ”

“ยินดีด้วย!” ฉินเหลยพยุงร่างกับดาบอสนีทลาย พลางหัวเราะ “คิดไม่ถึงว่าต้นจิ้นหมู่ต้นเดียว จะทำให้พวกเราสามคนได้รับบาดเจ็บกันหมด มีเพียงเสี่ยวซีคนเดียวที่ไม่มีบาดแผลใดๆ แม้แต่น้อย

ถังเสี่ยวซีหน้าแดง “คงเป็นเพราะข้าหลบอยู่ไกลกระมัง”

หลินมู่อวี่พูดอารมณ์ดี “นี่เป็นเรื่องดี เสี่ยวซี พลังของเจ้านั้นต่ำที่สุดในหมู่พวกเรา หลบไกลหน่อยพวกเราถึงจะมีสมาธิในการต่อสู้ ควรจะเป็นเช่นนี้นั่นแหละ”

ถังเสี่ยวซีกลับจู๋ปาก “แต่ข้าก็ฝันที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งด้วยเหมือนกันนะ อยู่กับพวกที่แข็งแกร่งจนเพี้ยนอย่างพวกเจ้า สั่นคลอนความมั่นใจของข้ามากเกินไป!”

ฉินอินลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม “พวกเราหาที่หยุดพักกันหน่อยเถอะ แล้วค่อยออกตามหากระดูกมังกรกันทีหลัง”

ฉินเหลยพูดขึ้น “ในเมื่อพวกเราเข้ามาในสุสานมังกรแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อนเกินไปนัก พวกเราต่างได้รับบาดเจ็บ ข้าเสนอว่าวันนี้เราพักรักษาตัวกันก่อนสักคืน พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปยังส่วนลึกของสุสานมังกร ว่าอย่างไร”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าเห็นด้วย”

“ตกลง” สาวงามทั้งสองก็พยักหน้าตามกัน

พวกเขาตั้งค่ายอยู่กันที่ริมลำห้วย หลินมู่อวี่หาหญ้าแห้งจำนวนหนึ่งมาปูพื้นทำเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ จากนั้นก็หาฟืนแห้ง ถังเสี่ยวซีรับหน้าที่ตักน้ำทำกับข้าว ด้านฉินอินกำลังพันผ้าพันแผลให้ตัวเองอยู่ นางแย้มพระโอษฐ์พร้อมตรัสขึ้น “อาอวี่ กลิ่นอายของเจ้ามีการเปลี่ยนแปลง หรือว่าหลังจากหลอมวิญญาณสัตว์เจ้าเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่สะกดกลั้นความปีติยินดีภายในใจเอาไว้ เขากางฝ่ามือออกช้าๆ ทันใดนั้นปราณยุทธ์สีขาวน้ำนมก็ลอยขึ้นมาแทนปราณแท้ ปราณยุทธ์เหล่านี้รวมตัวกับธาตุอัสนีในอากาศ เกิดเสียงดัง “เพียะ เพียะ” ขึ้นและกลายเป็นพลังอัสนี และพลังอัสนีนี้ก็ทรงพลังขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกด้วย หลังจากเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว คุณภาพพลังของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ผลของการที่ปราณแท้เปลี่ยนเป็นปราณยุทธ์ทำให้พลังการทำลายล้างของแก่นเพลิงมังกรและจตุธาตุควบคุมกระบี่ของเขาเพิ่มสูงขึ้นด้วย

“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” ฉินอินถามอย่างยิ้มแย้ม

หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า “มีความรู้สึก เหมือนกับตอนนี้กระหม่อมได้เป็นยอดฝีมือแล้ว องค์หญิงอย่าหัวเราะเยาะกระหม่อมสิ…”

ฉินอินห้ามพระทัยไม่ไหว ทรงพระสรวลออกมา “เจ้าก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว อีกอย่าง เจ้าก็เป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตำแหน่งนี้ในจักรวรรดิเป็นตำแหน่งที่โดดเด่นมาก หรือตัวเจ้าไม่คิดเช่นนั้น”

หลินมู่อวี่หัวเราะน้อยๆ นั่งลงที่ข้างกายฉินอิน หูก็ฟังเสียงกระแสน้ำไหลไปพลางกล่าวขึ้น “องค์หญิง ท่านว่าบนแผ่นดินนี้มียอดฝีมือเท่าใดกันแน่ที่ฝืมือเหนือล้ำกว่าพวกเรา”

ฉินอินชะงัก มองออกไปยังผืนป่าเวิ้งว้างที่ไกลออกไป แย้มพระโอษฐ์ก่อนตรัสว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่เท่าที่รู้มา ยอดฝีผือขอบเขตปราชญ์นั้นมีน้อยมาก ส่วนยอดฝีมือขอบเขตเทวะ ดูเหมือนว่าทั้งแผ่นดินในตอนนี้จะมีเพียงแค่สองคน และหลบซ่อนตัวหายไปหลายปีแล้ว อันที่จริงบนแผ่นดินนี้เดิมมียอดฝีมือขอบเขตปราชญ์และขอบเขตเทวะจำนวนไม่น้อย แต่ตั้งแต่เหตุการณ์การต่อสู้ที่หลิ่งตงเมื่อหลายร้อยปีก่อน คนเหล่านี้ดูเหมือนกับจะหายสาบสูญกันไปหมด”

“หือ?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ “ทรงเล่ารายละเอียดให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนนั้นเหตุการณ์ที่แน่ชัดเป็นอย่างไรข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ข้าทราบมาจากบันทึก จริงเท็จยากที่จะบอกได้ แต่เดิมทีบนแผ่นดินนี้มียอดฝีมือขอบเขตเทวะจำนวนไม่น้อยจริงๆ อย่างเช่นบรรพบุรุษข้า จักรพรรดิฉินอี้ที่สถาปนาจักรวรรดิต้าฉิน ท่านเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทวะที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด เพียงแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน จู่ๆ พวกเขาก็หายสาบสูญกันไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ใด ลือกันหนาหูว่าพวกเขาทั้งหมดโบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ไปอีกด้านหนึ่งของโลกแล้ว”

ฉินอินตรัสไป พระโอษฐ์ก็สั่นเล็กน้อย ก่อนจะแย้มพระโอษฐ์ออกมาด้วยความคาดหวัง “ที่จริงข้าก็รอว่าสักวันข้าจะได้ขึ้นไปสู่สวรรค์บ้าง คงต้องรอลิขิตสวรรค์สินะ!”

แน่นอนว่าหลินมู่อวี่ไม่กล้าบอกว่าฉินอี้ร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว ความหวาดหวั่นในจิตใจนั้นกลับรุนแรงยิ่งนัก หรือว่าตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ฉินอี้ได้นำพายอดฝีมือแห่งโลกมนุษย์หลายร้อยคนตามไล่สังหารราชันย์เจ็ดประทีป ผลลัพธ์คือตอนที่ตนเองทะลุมิติมา ดันบังเอิญทะลุมายังนรกขุมที่สิบแปด และเห็นเหตุการณ์ที่พวกเขากับราชันย์เจ็ดประทีปสู้กันจนได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเช่นนั้นหรือ

ขณะที่กำลังมองใบหน้างดงามภายใต้แสงจันทร์ของฉินอิน หลินมู่อวี่ไม่อาจทำใจบอกนางได้ว่า ยอดฝีมือขอบเขตเทวะทั้งหมดนั้นได้ตายไปแล้ว แต่เขากลับยิ้มกว้าง “อือ ข้าก็ใฝ่ฝันที่จะบินไปสวรรค์เช่นกัน”

“คิกๆ ใช่ไหมล่ะ!”

ฉินอินทรงพระสรวลก่อนตรัสขึ้น “เพียงแต่พวกเราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือสืบทอดภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือพยายามฝึกยุทธ์ เพื่อเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องจักรวรรดิ ใช่หรือไม่เล่า”

“อือ ใช่”

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ฝึกพลังกันอีกสักพัก ฉินอินกับถังเสี่ยวซีก็นอนหลับกันไปก่อน ส่วนหลินมู่อวี่กับฉินเหลยก็คุยปรึกษากันว่า เขาจะอยู่เฝ้าช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืน ส่วนหลังเที่ยงคืนฉินเหลยจะรับหน้าที่ไป

เมื่อถึงหลังเที่ยงคืน เขาก็ล้มตัวลงนอน ในที่สุดก็ได้พักผ่อนเสียที หลินมู่อวี่หลับตาลง แล้วก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีเสียงดุร้ายเสียงหนึ่งลอยมาให้ได้ยิน

“เจ้าหน้าโง่!”

ในฝัน เงาดำปรากฏขึ้นท่ามกลางพื้นที่ที่ดูลางเลือน หลินมู่อวี่ยืนอยู่ใต้ลำแสง ยื่นมือไปหวังจะชักกระบี่เหลียวหยวนออกมา แต่กลับพบว่าไม่มีกระบี่ติดกาย

เงาในความมืดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มองไม่เห็นใบหน้า แต่หลินมู่อวี่รู้ว่าเขาคือใคร—ราชันย์ปีศาจเจ็ดประทีป!

“เจ้าเป็นแค่วิญญาณ จะเอายังไงอีก”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ…” ใบหน้าของราชันย์ปีศาจเจ็ดประทีปดูดุร้ายยิ่งนัก มันกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้าอาศัยอยู่ในกายเจ้า เจ้าคิดว่าจะสามารถขโมยพลังเจ็ดประทีปของข้าได้หรือ ฝันไปเถอะ!”

ขณะที่พูด ราชันย์เจ็ดประทีปก็กระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในมือกุมดวงดาวเอาไว้มากมาย มันคำรามเสียงดัง “ตายซะเถอะ—เจ็ดประทีปพลิกดารา!”

“อ้าก!”

หลินมู่อวี่พลันตกใจตื่น แล้วจึงพบว่านี่เป็นแค่ความฝัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความฝันไปเสียทั้งหมด มันดูจริงเกินไป เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังที่คมชัดของเจ็ดประทีปพลิกดาราที่มิอาจต่อต้านได้!

“อรุณสวัสดิ์ มู่มู่” ด้านข้าง ถังเสี่ยวซีกำลังอุ่นอาหารเช้า นางยิ้มแย้ม “อีกเดี๋ยวต้องกินเยอะๆ นะ จะได้รีบหาเถาวัลย์เอ็นมังกรให้เจอในตอนเช้า!”

“อืม…”

แต่ฉินอินมีความละเอียดลออมากกว่า นางตรัสถามขึ้น “ฝันร้ายหรือ”

“เอ้อ…จะว่าอย่างนั้นก็ได้!” เขายิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหัว “อาจจะเป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันเหนื่อยเกินไปน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม”

หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ทั้งสี่คนก็ออกเดินลึกเข้าไปในป่าต่อ

จิ้งจอกอัคคีที่สวยงามกำลังวิ่งวนไปมาบนไหล่ของถังเสี่ยวซี และมองไปรอบๆ อย่างกระสับกระส่าย มันร้องเสียงแหลม “จี๊ด จี๊ด” อยู่ตลอดเวลา จนถังเสี่ยวซีรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไรไปเหรอ”

จิ้งจอกอัคคีพูดไม่ได้ มันยังคงร้องจี๊ดจี๊ดไปยังทิศทางหนึ่ง

ถังเสี่ยวซีหรี่ตาคู่งามลง แล้วยิ้ม “ข้าเดาว่าพวกเราจะหากระดูกมังกรเจอได้ทางทิศนั้น พวกเราไปกันเถอะ!”

ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าจะสามารถหากระดูกมังกรเจอได้ที่ใด ฟังเสียงชี้นำของจิ้งจอกอัคคีก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกหนึ่ง ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงเดินไปยังทิศที่มันชี้นำ

หลายชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ข้ามเขาลูกเล็กๆ นั้น จู่ๆ ถังเสี่ยวซีก็เกิดอาการตกตะลึง “ว้าว…”

หลินมู่อวี่รีบเดินขึ้นหน้ามา แล้วก็เห็นภาพที่น่าตื่นตะลึงเช่นกัน ท่ามกลางขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ มีร่างยาวร่างหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนมังกรนอนอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่มังกรแท้ห้าเล็บ เป็นแค่มังกรดิน แต่ก็ยังถือว่าเป็นมังกรชนิดหนึ่งได้อยู่

“หาเจอแล้ว!”

เขาพุ่งลงเนินไปอย่างปีติยินดี กระโดดเพียงครั้งเดียวก็ไปอยู่บนโครงกระดูกมังกรตัวนั้น และเห็นว่าบนกระดูกสันหลังมีเถาวัลย์ต้นไม้สีเขียวขึ้นอยู่หลายพุ่ม มีกลิ่นอายมังกรแผ่ออกมาบางๆ เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “เถาวัลย์เอ็นมังกร…พวกเราเจอเถาวัลย์เอ็นมังกรแล้ว!”

แต่ในตอนนี้เอง ปราณไร้รูปสายหนึ่งก็เข้าปะทะที่ด้านหลัง

ถังเสี่ยวซีตกใจ รีบร้องตะโกนเสียงดังว่า “มู่มู่ ระวัง!”

“พรึ่บ!”

มวลอากาศเย็นยะเยือกสายหนึ่งโฉบผ่านด้วยความรวดเร็ว พัดผ่านเถาวัลย์เอ็นมังกรจนเกิดเสียงหวีดแหลม ส่วนหลินมู่อวี่จู่ๆ ก็ขยับร่างกายไม่ได้ ราวกับว่ามีแรงกดดันกดร่างกายของเขาเอาไว้ ขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!

ในที่สุด คนที่ควรมา ก็มาถึงแล้ว!