ตอนที่ 80-3 ความลับใจกลางภูเขา

ชายาเคียงหทัย

เมื่อเดินเข้าไปได้ระยะหนึ่ง พื้นทางเดินก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัว แต่ยังดูแห้งดีอยู่ จนเมื่อเดินเข้าไปจนไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงได้หยิบแท่งไฟขึ้นมาจุด เยี่ยหลีขมวดคิ้ว การจุดไฟในทางเดินที่มีอากาศอยู่เพียงเบาบางนั้นมิใช่ความคิดที่ดีเสียเลย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว

 

 

หานหมิงซีที่เดินตามหลังมา มององครักษ์ลับสามและเยี่ยหลีที่เดินหันหลังให้กันแล้วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนหัวเราะขึ้นเบาๆ “จวินเหวย พวกเจ้าตื่นกลัวกันไปหรือเปล่า”

 

 

เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา “เมื่อเทียบกับคนที่มีวิชาตัวเบาชั้นยอดเช่นท่านแล้ว ข้าจะไม่ตื่นกลัวได้หรือ”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคหันมองทั้งสองคนทีหนึ่ง ก่อนยกแท่งไฟสูงขึ้นพร้อมเดินไปข้างหน้า ทางเดินที่สร้างอยู่กลางเขานี้ ดูมิได้สร้างขึ้นเพื่อหลอกให้ศัตรูหลงทาง ตลอดทางพวกเขาจึงไม่เจอทางแยกหรือเขาวงกตใดๆ เลย อีกทั้งทางยังเป็นทางที่ลาดลงไปเรื่อยๆ อีกด้วย

 

 

จนเมื่อเยี่ยหลีคิดว่าพวกนางใกล้จะลงถึงตีนเขานั่นเอง ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว บัณฑิตขี้โรคยกมือขึ้นดับไฟจากแท่งไฟในมือ ก่อนหยุดยืนอยู่ที่หัวมุมทางเลี้ยวแล้วยื่นหน้าไปมอง เขาเห็นชายสองคนแต่งตัวเหมือนคนหนานเจียงยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ด้านหลังทั้งสองเป็นประตูบานหนึ่ง เสียงจ๊อกแจ๊กที่ได้ยินนั้นก็เป็นเสียงที่ดังลอดมาจากหลังประตูบานนั้น

 

 

           องครักษ์ทั้งสองดูจะไม่คิดว่าจะมีใครผ่านมาทางนี้จึงเอาแต่พูดคุยหัวเราะกัน แต่ทางตรงข้างหน้ามีความยาวอย่างน้อยๆ หนึ่งร้อยเมตร ทั้งยังค่อนข้างแคบ พวกเขาไม่มีใครสามารถจัดการกับคนเฝ้าประตูทั้งสองคนนั้นได้โดยไม่ให้เกิดเสียงดัง และหากทั้งสองคนนี้เกิดมีความเคลื่อนไหวใดๆ นั่นย่อมเป็นการทำให้คนด้านในรู้ตัวด้วย

 

 

           บัณฑิตขี้โรคหยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้วเล็งไปยังทิศทางที่ทั้งสองอยู่ เกิดเสียงสวบๆ ดังขึ้นสองครั้ง แล้วคนหนานเจียงทั้งสองนั้นก็นิ่งแข็งขยับไม่ได้ทันที

 

 

ทั้งสี่รีบแทรกตัวเข้าไป บัณฑิตขี้โรคแทรกตัวเข้าไปในประตูก่อนเป็นคนแรก เมื่อตอนที่เยี่ยหลีเดินผ่านประตู นางหันไปมองคนเฝ้าประตูทั้งสองที่ยังยืนนิ่งอยู่ ก็เห็นว่าที่มุมปากของทั้งสองคนมีเลือดสีดำไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว แววตาของนางมืดครึ้มลง ก่อนที่เยี่ยหลีจะแทรกตัวตามเข้าไปในประตูบานใหญ่นั้น

 

 

           ความมืดสลัวและความเย็นของภายในถ้ำและภายนอกถ้ำนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่นี่มีความอบอ้าวและสว่างไสว ห่างไปไม่ไกลเริ่มมีผู้คนเดินไปเดินมาและมีการวางกำลังดูแลกันอย่างแน่นหนา แต่ทั้งสี่คนล้วนเป็นยอดฝีมือ หากต้องการหลบสายตาขององครักษ์เหล่านี้ย่อมมิใช่เรื่องยาก

 

 

           หานหมิงซียอบตัวหลบอยู่หลังแผ่นหินก้อนใหญ่ ก่อนมองไปด้านนอกด้วยความสนใจ ด้านนอกมีเสียงคนพูดคุยกัน และมีเสียงตีเหล็กดังมาเป็นพักๆ “นี่พวกเขากำลังทำอะไรกันน่ะ”

 

 

บัณฑิตขี้โรคเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “พวกเขากำลังทำอาวุธ” พร้อมชี้มือไปยังที่ไกลๆ จุดที่เขาชี้ไปนั้นมีอาวุธที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ววางอยู่ไม่น้อย

 

 

องครักษ์ลับสามหันไปส่งสัญญาณมือให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความเข้าใจ อาวุธที่คนพวกนั้นทำมิใช้อาวุธที่คนในยุทธภพหรือคนที่มีความชื่นชอบในอาวุธนิยมกัน แต่เป็นอาวุธทั่วไปที่ใช้ในสนามรบ ด้วยคนจำนวนมากและกำลังผลิตมากเช่นนี้ ดูว่าน่าจะเป็นการผลิตอาวุธให้กับกองทัพใดกองทัพหนึ่ง

 

 

           “นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราไปกันได้” บัณฑิตขี้โรคไม่มีความสนใจในอาวุธที่คนเหล่านี้ผลิต ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือดอกปี้ลั่ว

 

 

           “ท่านรู้ว่าชายแซ่เหลียงอยู่ที่ใดหรือ” หานหมิงซีเอ่ยถาม

 

 

           บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น “เขาหนีไม่รอดหรอก”

 

 

หานหมิงซีพยักหน้า “ข้านึกออกแล้ว ท่านวางยาเขาไว้หรือ ผีเสื้อตัวน้อยของท่านเล่า”

 

 

บัณฑิตขี้โรคปรายตาเยียบเย็นมองเขา ก่อนยืนขึ้นเดินไปอีกทางหนึ่ง

 

 

หานหมิงซียักไหล่พร้อมหันไปยิ้มให้เยี่ยหลีแล้วเดินตามไป

 

 

องครักษ์ลับสามเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณชาย อาวุธพวกนี้ผลิตให้กับกองทัพใดกองทัพหนึ่งของต้าฉู่ขอรับ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

องครักษ์ลับสามชี้นิ้วไปยังมีดที่วางเรียงอยู่ “คนหนานเจียงเคยชินกับการใช้มีดสั้น มีดของซีหลิงจะค่อนข้างเรียว ส่วนเป่ยหรงนั้น คนเป่ยหรงเก่งเรื่องทหารม้า พวกเขานิยมใช้อาวุธยาว หรือมีขนาดใหญ่ ส่วนอาวุธแบบนี้เป็นอาวุธที่ทหารต้าฉู่ของพวกเรานิยมใช้ขอรับ”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนยืดตัวขึ้นเดินตามหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคไป

 

 

           ที่บัณฑิตขี้โรคเดาไว้นั้นไม่ผิดเลย ที่นี่เป็นลานผลิตอาวุธที่มีขนาดไม่เล็กนัก ในถ้ำที่กว้างใหญ่ทั้งสองถ้ำนั้น เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการหลอมอาวุธ ผู้ผลิตอาวุธส่วนใหญ่เป็นคนจากจงหยวนกว่าครึ่ง และมีส่วนหนึ่งเป็นคนหนานเจียง

 

 

ทั้งสองเดินตามบัณฑิตขี้โรคหลบคนเหล่านี้ไป เส้นทางเดินเป็นทางลาดลงและค่อยๆ พาพวกเขาออกห่างจากถ้ำผลิตอาวุธเข้าไปอีกถ้ำหนึ่ง เมื่อเทียบกับถ้ำก่อนหน้าที่ดูดิบๆ หยาบๆ แล้ว ถ้ำที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนวังใต้ดินที่ผ่านการตกแต่งมาแล้วเสียมากกว่า พื้นปูด้วยหินอ่อนที่ผ่านการแกะสลักมาอย่างสวยงามและพรมที่สวยงามและดูเข้ากันได้ดี

 

 

“คนพวกนั้นตายแล้วหรือยัง!” ทั้งสี่เดินเข้าไปใกล้ได้ไม่เท่าไร ก็ได้ยินเสียงแหลมบาดหูดังลอยมาจากด้านใน เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นั่นเป็นเสียงของพ่อค้าวาณิชแซ่เหลียงผู้นั้น ตอนนี้น้ำเสียงของเขาไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่ฟังดูเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม แต่กลับฟังดูมีความร้อนใจและอำมหิต

 

 

           “ท่านวางใจได้ พวกมันหนีไปไม่ได้หรอก” เสียงของเล่อเจียงที่เป็นหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้ดังขึ้น

 

 

           “เหตุใดเจ้าจึงไม่ส่งคนไปฆ่าพวกมันทิ้งเสีย!” นายท่านเหลียงพูดด้วยความไม่พอใจ “เจ้าบัณฑิตที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่นน่ากลัวนัก หากไม่รีบฆ่าเขาให้ตายเขาจะต้องเป็นปัญหาในภายหลังแน่นอน หากมิใช่เพราะเขาตามข้ามาด้วย ข้าคงมาถึงหนานเจียงเร็วกว่านี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็สลัดเขาไม่หลุด! แล้วยังเจ้าคนแซ่หานนั่นอีก ดูมันจะรู้จักเจ้าขี้โรคนั่นด้วย จะให้พวกมันมีชีวิตรอดไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใดก็ตาม!”

 

 

           “ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอันใดก็ตามหรือ” เล่อเจียงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนเอ่ยแดกดันว่า “สิ่งที่ต้องแลกมานั่นผู้ใดเป็นคนเสียหรือ คนพวกนั้นไม่ธรรมดา ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ แม้แต่ฝูงงูยังทำอันใดพวกเขาไม่ได้ ชายหนุ่มในเผ่าหลัวอีปู้ของพวกเราล้วนมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากขึ้นไปต่อสู้กับพวกเขาตรงๆ จะต้องสละชีวิตคนไปเท่าไร ท่านคิดว่าคนเผ่าหลัวอีปู้ของข้ามีมากเช่นคนต้าฉู่ของท่านที่ฆ่าเท่าไรก็ไม่หมดอย่างนั้นหรือ”

 

 

           “เจ้าอย่าลืมนะ…” นายท่านเหลียงพูดด้วยความโกรธ

 

 

เล่อเจียงพูดเสียงดังขัดขึ้น “ท่านวางใจได้ ข้าไม่ลืมว่าข้าควรต้องทำสิ่งใด แต่เรื่องที่เกินจากขอบเขตที่ตกลงกันไว้นั้น ท่านอย่าได้มาออกคำสั่งกับข้าจะดีกว่า” ดูเหมือนคนด้านในจะนิ่งไป

 

 

พักใหญ่นายท่านเหลียงจึงได้เปิดปากพูดขึ้นว่า “แต่ว่า…หากคนพวกนั้นหนีไปได้ เจ้าคิดว่าพวกมันจะปล่อยพวกเราไปไหม สามคนนั้นข้าไม่รู้ แต่ชื่อเสียงของเจ้าขี้โรคนั่นข้าคิดว่าท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง เขาเป็นหัวหน้าสำนักสามแห่งสำนักเยี่ยนอ๋องแคว้นซีหลิงเชียวนะ”

 

 

           “เหตุใดท่านถึงได้ไปยั่วยุคนของสำนักเยี่ยนอ๋อง!” เล่อเจียงดูโกรธจัดขึ้นทันที เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

 

 

           “ข้าจะไปรู้ได้ย่างไร! ข้าออกเดินทางได้ไม่กี่วันเขาก็เข้ามาหาข้าได้อย่างไรไม่รู้ ข้าคิดจะไล่เขาไปยังไม่ได้ เจ้านั่นขึ้นชื่อเรื่องแค้นต้องชำระ ข้าจะไปทำอันใดได้”

 

 

           “เช่นนั้นท่านถึงได้พาเขามาที่หนานเจียงนี่ด้วย!” เล่อเจียงกัดฟันกรอดอยู่พักใหญ่ แล้วจึงได้ส่งเสียงเหอะขึ้น “ข้ารู้แล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปจัดการพวกมันให้เร็วที่สุด ท่านวางใจได้ ทางลงเขานี่ถูกปิดตายไปนานแล้ว ตอนนี้บนเขานั่นมีแต่แมลงและงูมีพิษเต็มไปหมด ต่อให้เขาเป็นบัณฑิตขี้โรคที่ชำนาญด้านการใช้ยาพิษ ข้าก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถวางยางูพิษและแมลงมีพิษทั้งภูเขาได้!”

 

 

           “สรุปก็คือระวังไว้หน่อย จะต้องเห็นศพเขาให้ได้ หากท่านลงมือฆ่าพวกเขาเสียตั้งแต่แรก คงไม่ต้องวุ่นวายเช่นนี้”

 

 

           เล่อเจียงหัวเราะเสียงเย็น “เขาไม่ออกห่างจากข้างกายท่านเลยแม้แต่ก้าวเดียว ท่านคิดว่าพวกเราจะฆ่าเขาได้ก่อนหรือเขาจะฆ่าท่านได้ก่อนหรือ ข้าจะออกไปสั่งการ ท่านอยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน อย่าลืมของของท่านล่ะ หากนายท่านมิได้ของที่ท่านต้องการ ท่านคงรู้ผลที่จะตามมา!”

 

 

เสียงลมหายใจของนายท่านเหลียงชะงักไป รีบพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ ของครึ่งหนึ่งนั้นข้านำมาด้วยแล้ว ท่านเอาอีกครึ่งมาให้ข้าเถิด”

 

 

           เล่อเจียงส่งเสียงเหอะ “เดิมทีนั่นก็เป็นของของหนานเจียงเรา”

 

 

           หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์แล้ว นายท่านเหลียงมิใช่คนอ่อนแอ “ของอยู่ในมือข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะได้มันมาได้อย่างไร”

 

 

           “นั่นเป็นของที่ท่านอ๋องหนานจ้าวคนก่อนฝากให้ตระกูลเหลียงช่วยดูแลเท่านั้น มิได้ให้ท่าน” เล่อเจียงเอ่ยเสียงขรึม

 

 

           “ฮ่าๆ เช่นนั้นแล้วอย่างไร เจ้าเองก็รู้ว่านั่นเป็นของของราชวงศ์หนานจ้าวมิใช่ของของพวกเจ้ามิใช่หรือ” นายท่านเหลียงพูดกลั้วหัวเราะ “ข้ามิได้ส่งมันให้คนของราชวงศ์หนานจ้าวก็ดีมากแล้วมิใช่หรือ”

 

 

           “มิใช่พวกเราที่จ่ายค่าตอบแทนมากกว่าหรือ หากท่านส่งให้ราชวงศ์หนานจ้าว นอกจากคำขอบคุณเพียงไม่กี่ประโยคแล้วท่านคงไม่ได้อย่างอื่นอีกเลย” เล่อเจียงหัวเราะเสียงเย็น

 

 

           นายท่านเหลียงพูดว่า “พวกเจ้าอยากได้สมบัติล้ำค่า ข้าอยากได้เงิน ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการมิใช่หรือ ดังนั้น ทางที่ดีเจ้าเอาของอีกครึ่งมาให้ข้าเสียดีกว่า อย่าได้เล่นลูกไม้อีกเลย ภูเขาลูกนี้คงถูกพวกเจ้าทะลวงจนใกล้กลวงหมดแล้วกระมัง หากไม่มีข้าพวกเจ้าไม่มีทางหาสมบัติล้ำค่านั่นเจอเด็ดขาด อีกอย่าง อย่าได้คิดที่จะฆ่าข้าปิดปากเชียว อย่าลืมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังข้าคือ…”

 

 

           น้ำเสียงได้ใจของนายท่านเหลียงนั้นดูจะทำให้เล่อเจียงไม่สบายใจอยู่มาก แต่เขากลับทำอันใดไม่ได้ ทำได้แต่เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะนำมาให้ ให้ดีท่านอย่าได้เล่นลูกไม้เชียว นายท่านบอกไว้แล้วว่า อย่างช้าครึ่งเดือนจะต้องได้เห็นของ มิเช่นนั้น…ต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเป็นโอรสสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์!”

 

 

           นายท่านเหลียงหัวเราะเสียงดังด้วยความได้ใจ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้พูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจได้ ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับนายท่านของเจ้าเป็นเช่นไรข้ารู้ดี ข้าก็มิใช่คนที่ไม่รู้ว่าอันใดควรไม่ควร ของเพียงนำของมาให้ข้า เมื่อไปถึงเมืองหลวงแคว้นหนานจ้าว ข้ารับประกันว่าจะนำของมาส่งให้เจ้าตรงหน้าทีเดียว”

 

 

           “เช่นนั้นก็ดี!” เล่อเจียงพูด เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังห่างไปเรื่อยๆ ภายในห้องกลับสู่ความเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหายใจหนักๆ ของนายท่านเหลียงเท่านั้น

 

 

           ทำอย่างไรดี ทั้งสี่ยืนเงียบอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง หานหมิงซีส่งสายตาให้บัณฑิตขี้โรค บัณฑิตขี้โรคหลุบตาลง ใบหน้าที่เดิมนิ่งขรึมอยู่มีรอยยิ้มมาดร้ายปรากฏขึ้น

 

 

หานหมิงซีตัวสั่นน้อยๆ เหลือบมองนายท่านเหลียงที่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ด้านในด้วยความสงสาร ไม่รู้ว่าตาเฒ่านี่จะต้องถูกทรมานจนกลายสภาพเป็นเช่นไร