ออกเดินทางตั้งแต่เช้าแต่ต้องเสียเวลาระหว่างเดินทางหนึ่งชั่วยาม เวลาในอดีตหนึ่งชั่วยามเท่ากับเวลาในปัจจุบันสองชั่วโมง

พวกเขาเดินทางเกือบจะสองชั่วยาม ตอนนี้ถ้าเป็นเวลาในปัจจุบันก็น่าจะตอนเช้าแปดโมงกว่าแล้ว

ใช่แล้ว ระยะห่างจากหมู่บ้านเหรินจยาถึงตำบลถงเหยานั้นไม่ไกลนัก

ลองนึกดู หมู่บ้านอื่นที่ห่างไกลออกไป ถ้าอยากมาขายของต้องลำบากแค่ไหน แค่ขายไข่ไก่ก็ต้องสะสมทีละหลายๆ ตะกร้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่คุ้มกับการเดินทาง

ไม่มีรถ เรียกใครก็ไม่ได้

ช่วงเวลานี้ บรรยากาศภายในถงเหยาคึกคักมาก

มีคนจูงวัว มีรถม้า มีคนเข็นรถเข็นล้อเดียว มีคนแบกฟืน สารพันเสียงร้องขอทางหน่อย ดังมาไม่ขาดสาย

เดินผ่านก็สอบถามเส้นทาง เมื่อรู้เส้นทางไปตลาดว่าต้องไปทางไหน จะต้องข้ามสะพานเก่าที่อยู่ห่างไม่ไกลจากตรงนี้ก่อน

ซ่งฝูหลิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ขนาดนั้นเลยหรือ บนสะพานเล็กนั่นมีผู้คนและสัตว์เดินผ่านไปมา ตัวสะพานไม่กว้างนัก คิดไม่ถึงว่าโลกในอดีตยังจะได้เห็นบรรยากาศรถติดจนต้องต่อแถวรอคิวเพื่อข้ามสะพาน

ระหว่างมุ่งหน้าไปทางสะพาน ซ่งฝูหลิงกับซ่งฝูเชิงมองเห็นอะไรก็รู้สึกแปลกใหม่ไปหมด

ซ่งฝูหลิงสังเกตว่าพ่อของนางเอามือสองข้างซ่อนไว้ในแขนเสื้อคลุม นางก็ทำตามบ้างเพื่อให้เกิดความอบอุ่น

พวกชายหนุ่มที่กำลังเข็นรถ สายตาของพวกเขาก็มองบรรยากาศโดยรอบจนตาลาย

พวกเขาสอดส่ายสายตามองหาของกินมากที่สุด

จากเมื่อวานตอนเที่ยงจนถึงเวลานี้ อาหารแทบจะไม่ตกถึงท้อง ทุกคนมัวแต่ทำงานกัน พอถึงเวลาเช้าก็หิวจนทนไม่ไหว

ตามแผงลอยมีขายขนมปังปิ้ง บ้างก็ขายบะหมี่

มีซาลาเปาร้อนๆ เพิ่งออกจากซึ้งนึ่ง พอเปิดผ้าคลุมออกมาจะเห็นไอความร้อนจากซาลาเปาที่อยู่ในซึ้งนึ่งลอยมาแต่ไกล

ต้าหลังบอกกับพวกเกาเถี่ยโถวให้เลิกมองได้แล้วเพราะถึงเวลาที่พวกเราต้องข้ามสะพานกันแล้ว หลังจากเขาพูดเสร็จก็กลืนน้ำลายที่จะไหลออก

ซ่งฝูเซิงหันกลับไปมองชายหนุ่มเหล่านี้ เขาพาลูกสาวลงจากสะพานมาแล้วพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าลงไปก่อน ไปรอข้าอยู่ใต้สะพาน”

สองพ่อลูกดิ่งตรงไปยังแผงขายของกินที่เพิ่งเดินผ่านไป

ซ่งฝูเซิงซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองลูกให้ลูกสาวก่อน

บอกตามตรงว่า แป้งซาลาเปาไม่ขาวอย่างที่เห็น ตัวซาลาเปาก็ไม่อวบอ้วนมาก มองไส้ข้างในก็มีไม่เยอะนัก แต่ว่า“ทำไมถึงได้อร่อยเยี่ยงนี้ มันอร่อยมาก”

ซ่งฝูหลิงกินไปด้วยสีหน้าประหลาดใจและมีความสุข นางกินซาลาเปาไปหนึ่งคำก็หายไปครึ่งลูกแล้ว

ซาลาเปาร้อนๆ อร่อยกว่าขนมปังกั่งหรงของฮ่องกงเยอะเลย

นางก็รีบนำซาลาเปายัดใส่ปากซ่งฝูเซิง

ซ่งฝูเซิงหลบเลี่ยง เขาบอกว่า “ข้าไม่กิน เจ้ารีบกินซะ ข้าจะไปซื้อขนมปังปิ้งให้กับพวกพี่ชายทั้งหลายของเจ้า”

“ไม่นะ ท่านพ่อ ท่านต้องกินลูกหนึ่ง พวกเราซื้อมาตั้งสองลูกนะ”

นางรีบหยิบยัดซาลาเปาใส่ปากซ่งฝูเซิงอีกครั้ง

ซ่งฝูเซิงมองไปที่ลูกสาว ก่อนเขาจะกัดฟันบอกกับคนขายซาลาเปา “เอาซาลาเปาเพิ่มอีกสองลูก” เขาก็หิวเหมือนกัน การใช้ชีวิตบนโลกนอกจากเรื่องตายที่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว เรื่องกินดื่มก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

ซ่งฝูหลิงผงกหัวไม่หยุด “ท่านพ่อ อร่อยจริงๆ นะ ซาลาเปาร้อนๆ อร่อยกว่าซาลาเปาที่เย็นแล้วอีกนะ”

ซ่งฝูเซิงก็กัดสองคำใหญ่ กลืนซาลาเปาจนหมดลูกเช่นกัน

ซ่งฝูหลิงยืนเตือนอยู่ข้างๆ “ท่านพ่อ เงินซื้อซาลาเปาไม่ต้องใช้เงินกองกลางนะ ใช้เงินจากกระเป๋าพวกเราเองเถิด”

“พ่อของเจ้าดูเป็นคนอย่างนั้นหรือ”

“ถ้าท่านเป็นข้าราชการ อืม ใช่ ยังดีที่ท่านไม่ได้ทำงานรับราชการ”

เจ้าเด็กนี่ ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเลย

ซ่งฝูเซิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ขณะเดินไปซื้อขนมปังปิ้งให้กับหลานชายคนโต

ชายหนุ่มทั้งหลายแบ่งขนมปังปิ้งกินคนละสองอันแก้หิวไปก่อน

“ซื้ออันนี้มาทำไม ท่านเป็นลุงสามของพวกเขา ท่านช่างดูแลใส่ใจพวกเขาดีจริงๆ ซื้อแค่หมั่นโถวมาให้ก็พอแล้ว” เกาถูฮู่พูดด้วยความรู้สึกเสียดาย

“กินเถอะ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้กินอาหารที่มีน้ำมัน”

“ตอนนั้นที่โรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ไป๋ก็กินไก่ไม่ใช่หรือ” เกาถูฮู่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเห็ดนั้นขึ้นมา ยิ่งคิดถึงเราชาแห่งเห็ดนั้นก็ยิ่งรู้สึกเสียดาย

แต่ถ้าไม่มีพวกผู้หญิงอยู่ด้วย พวกผู้ชายถึงแม้จะรู้จักใช้ชีวิตอย่างไรก็มักจะไม่ลังเล ซื้อมาแล้วก็กิน ไม่ต้องพูดให้มากความ

……

“ขายถั่วเมล็ดสน สดใหม่ ของแท้จากภูเขา ครึ่งโลแปดสิบเหวิน” ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ข้างหลัง เริ่มเรียกลูกค้า

แผงขายของอยู่ในทำเลที่ไม่ค่อยดีนักเพราะมาถึงสายเลยต้องขายในมุมทำเลห่างไกลออกไป เขาจึงต้องร้องเรียกลูกค้าเป็นระยะ

หนิวจั่งกุ้ยไปซื้อตาชั่งมา มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ เพราะอย่างไรก็ต้องใช้งานอยู่ตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกลูกค้าของซ่งฝูเซิง

เกาถูฮู่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาฟังแล้วก็รู้สึกปวดใจ

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติของคนในยุคปัจจุบัน แต่ในสายตาของคนยุคโบราณกลับมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติ

อาชีพพ่อค้าไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าที่ขายตามแผงลอยแบบนี้

ฝูเซิงทำไปเพื่อความอยู่รอด เขาเป็นคนมีความรู้คนหนึ่งที่ได้รับการยกย่อง แต่ต้องมายืนเรียกลูกค้าเพื่อขายของ

เกาถูฮู่ขมวดคิ้ว เขาพยายามเก็บความรู้สึกไว้ เขาหันไปตำหนิชายหนุ่มที่ยืนแข็งทื่อ “ยืนมองอะไรเล่า ดูลุงสามของพวกเจ้าสิ พวกเจ้ามีอะไรถึงไม่กล้าอ้าปาก ไปเรียกลูกค้าเร็ว!”

“ไม่ใช่ท่านพ่อ” เกาเถี่ยโถวเกาหัวไปมา “ทำไมถึงเป็นแปดสิบเหวินแล้ว”

ซ่งฝูเซิงใช้หางตามองเถี่ยโถวแล้วก็จากไป เขาต้องพาลูกสาวไปซื้อข้าวสาร เมื่อครู่ที่ยืนเรียกลูกค้าเพราะต้องทำให้ดูเป็นแบบอย่าง

เกาถูฮู่ด่าลูกชาย “เจ้านี่ช่างไม่มีสมองเสียเลย เราต้องขายแพงหน่อยเผื่อคนซื้อขอลดราคา เจ้าเป็นลูกชายข้าหรือเนี่ย?”

“ขายถั่วเมล็ดสน!”

ของพวกนี้มีราคาแพง คนมาตลาดต่างก็รู้จักดี ถึงแม้บริเวณนี้จะมีภูเขาหลายลูก พวกเขาก็รู้ว่าเป็นของที่มาจากบนเขา ของป่าหามาได้ไม่ง่ายเลยเพราะต้องเสี่ยงชีวิต ต้องคอยหลบหลีกสัตว์ร้ายในป่า บางทีก็ต้องปีนขึ้นต้นไม้เพื่อไปเก็บ

แม้จะร้องเรียกขายสินค้าเสียงดังขนาดไหน เมื่อคนเดินผ่านไปมาหยุดสอบถามและรู้ว่ามีราคาแพงจนอ้าปากค้าง คนธรรมดาซื้อเมล็ดสนครึ่งโล ก็สู้เอาเงินไปซื้อเนื้อหมูกลับไปกินไม่ได้มันน่าจะคุ้มค่ากว่า ทำให้ขายของไม่ค่อยดีเท่าใด

……

บนถนนคนเดินกันขวักไขว่ไปมา

ซ่งฝูเซิงพาลูกสาวเดินไปสอบถามราคาข้าวสารตามร้านค้าต่างๆ

ในสมัยนั้น จำนวนหนึ่งตั้นจะเท่ากับหกสิบกว่ากิโล

พอถามราคาเสร็จแล้ว พวกเขาก็พอรู้จำนวนว่าคิดคำนวณอย่างไร แต่ก็รู้สึกหนักใจ

ซื้อข้าวสารธรรมดา เงินหนึ่งตำลึงเท่ากับหนึ่งตั้นหรือหกสิบกว่ากิโล

ซ่งฝูหลิงคิดคำนวณในใจ ถ้าคิดตามเงินหยวน ข้าวสารครึ่งกิโลเท่ากับแปดหยวนกว่า

ก่อนหน้านี้นางลองถามท่านพ่อ หลังจากซ่งฝูเซิงฟังวิธีการคิดของนางแล้วรวมความคิดของคนโบราณก็มีราคาที่สมเหตุสมผล แต่ถ้าพูดถึงบางเรื่องก็ไม่เหมือนกัน เช่น ไปหาหมอกับที่พวกเขาไปเก็บถั่วเม็ดสนในป่าก็มีเหตุผลเดียวกัน หาเก็บยาสมุนไพรก็ลำบาก ยาแพง คนจนๆ ไม่มีเงินรักษาโรค เปรียบไม่ได้กับยุคปัจจุบัน

ข้าวกล้องล่ะ ข้าวกล้องขายราคาเท่าไหร่กัน

เสี่ยวเอ้อร์ดีดลูกคิดในร้าน แก๊ก แก๊ก เงินหนึ่งตำลึงสามารถซื้อข้าวกล้องได้ร้อยสิบกิโล

ซ่งฝูหลิงใช้วิธีคิดคำนวณของนาง ประมาณสี่หยวนซื้อได้ครึ่งโล ราคาถูกกว่าร้านที่อยู่หน้าปากซอยเล็กน้อย

แป้งและเส้นบะหมี่ล่ะ

เสี่ยวเอ้อร์ของร้านมองดูเสื้อผ้าที่ซ่งฝูเซิงกับซ่งฝูหลิงสวมใส่ ฟังจากการพูดจาฉะฉาน แต่พวกเจ้าก็สวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ มองดูก็รู้ว่ายากจน ยังจะสอบถามราคาเส้นบะหมี่กับแป้งอีก ช่างเถอะ อยากถามก็ถามไป

บะหมี่ราคาหนึ่งตำลึงได้หนึ่งตั้น ส่วนแป้งสามารถซื้อได้เจ็ดสิบกิโล

ซ่งฝูหลิง เงินเจ็ดหยวน สามารถซื้อได้ครึ่งโล ลองเทียบราคากับข้าวสารแล้ว สู้ซื้อแป้งไม่ได้

เสี่ยวเอ้อร์ไม่รอให้ถามต่อ รีบบอกราคาธัญพืช เขาคิดว่าสองคนนี้น่าจะซื้อธัญพืชมากกว่า เขาจึงสาธยายมากหน่อย

“แนะให้พวกเจ้าซื้อธัญพืชจะดีกว่า ราคายุติธรรมที่สุดแล้ว เงินหนึ่งตำลึงสามารถซื้อได้สองตั้นกว่านะ ได้ประมาณร้อยสามสิบกิโล ดีกว่าที่จะซื้อข้าวกล้อง…

…จากสถานการณ์ในตอนนี้ ทางตอนใต้กำลังมีสงครามกันอยู่ไม่ใช่หรือ? ราคาของที่นี่ก็จะมีราคาสูงขึ้นไปอีก ในทุกปีเมื่อถึงเดือนธันวาคมก็คือเดือนหน้านี้แล้ว ราคาข้าวมักจะขึ้นราคาสูงเป็นพิเศษจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ได้ยินว่าพวกเจ้าต้องการซื้อเยอะก็อาศัยช่วงเวลานี้รีบซื้อซะ”

ซ่งฝูเซิงถามว่า “ถ้าข้าซื้อมากหน่อย ลดราคาให้ถูกกว่านี้ได้หรือไม่?”

“จะเอาเท่าไหร่?”

“เอาพันห้าร้อยกิโลก่อน”

เสี่ยวเอ้อร์ตกใจ “บ้านเจ้าไม่มีที่นาหรือ?” นี่ต้องเลี้ยงคนกี่คนกัน ไม่ทำนากันเลย รอกินอย่างเดียวหรือ ครั้งหนึ่งถึงต้องซื้อเป็นพันกิโลขนาดนี้

เสี่ยวเอ้อร์รีบเรียกเถ้าแก่ออกมาคุย

ข้าวกล้องกับธัญพืชที่วางขายอยู่ในร้านถูกซื้อไปหมดภายในพริบตา แม้เถ้าแก่จะลดราคาให้ถูกลงแล้ว แต่ก็ไม่สามารถลดราคาได้มากนัก

เขาพูดแบบเดียวกันกับเสี่ยวเอ้อร์ “ถ้าคนเยอะก็ต้องกักตุนข้าว ต้องรีบซื้อเพราะในแต่ละปีไม่สามารถรับรองได้ว่าทางใต้จะไม่มาทำสงครามกับพวกเรา อาศัยจังหวะช่วงอากาศหนาวมาโจมตี ดังนั้นทุกปีเมื่อเข้าสู่ต้นเดือนธันวาคม ราคาข้าวจะสูงขึ้น ถ้าเจ้าจะขอลดราคาอีก ข้าก็ไม่ขาย ให้เจ้าแล้ว เก็บไว้ขายเดือนหน้าได้”

ซ่งฝูเซิงกับลูกสาวสบตากัน ไม่มีทางอื่นแล้ว “เถ้าแก่ พวกข้ามาตลาดเพื่อขายของป่า ตอนนี้รถเข็นไม่มีที่ว่างมากนัก จะให้พวกเด็กๆ ขนเอาไปหลายร้อยกิโลก่อน ส่วนที่เหลือฝากไว้ที่ร้านของท่านก่อน รอจนตลาดวาย พวกข้าขายของป่าใกล้หมดแล้ว ค่อยมาเอาของที่เหลืออยู่”

เถ้าแก่ยังไงก็ได้

เขาไม่กลัวว่าซ่งฝูเซิงจองของแล้วจะไม่มาซื้อ เขาไม่แคร์อยู่แล้ว

ซ่งฝูเซิงรีบกลับไปเรียกพวกต้าหลัง ให้พวกเขาช่วยกันขนข้าวหลายร้อยกิโลกลับไปก่อน สามารถขนไปได้เท่าไรก็ขนไปเท่านั้นก่อน

ซ่งฝูหลิงยังคงอยู่ นางคิดคำนวณในใจ มิน่าท่านพ่อของนางดูเคร่งเครียด นอกจากจะคิดวิธีการบริหารการจัดการแล้ว ยังต้องคิดหาวิธีให้ทุกคนช่วยกันหาเงิน แค่พูดถึงเรื่องกินด้านเดียว คนเยอะขนาดนี้ ในหนึ่งเดือนไม่กินของแพงที่มีน้ำมันเกลือ กินเพียงแค่ข้าวกล้องกับธัญพืช ค่าใช้ จ่ายในหนึ่งเดือนก็มากถึงยี่สิบห้าตำลึงแล้ว

แต่คนเราจะไม่กินน้ำมันกับเกลือเลยได้หรือ? ที่นี่ได้ยินมาว่าเกลือมีราคาแพงมาก ดังนั้นในทุกเดือนจะมีค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างน้อยประมาณสามสิบตำลึง

นอกจากนี้เถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์ยังพูดถึงเรื่องขึ้นราคาอีก นางรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้พูดโกหกเพราะนางกับพ่อเพิ่งไปสอบถามราคาจากร้านอื่นมา ร้านอื่นราคาแพงกว่านี้หน่อย แต่อัธยาศัยไม่ค่อยดีและไม่ค่อยใส่ใจนัก

ถ้าเข้าฤดูหนาวแล้ว ข้าวสารแพงขึ้นจริงๆ พวกเขาจำเป็นต้องซื้อเดือนนี้ ตอนนี้เดือนพฤศจิกายนแล้ว อย่างน้อยจะต้องซื้อกักตุนไว้จนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ กินวัววัวโถวทุกวัน อย่างน้อยก็ประหยัดเงินซื้อพวกข้าวสาร แต่ก็ต้องเตรียมเงินไว้หนึ่งร้อยสามสิบตำลึง