บทที่ 139 จับกุม

หลินเสี่ยวได้หันกลับไปมองที่เจิ้งยี่ด้วยสายตาอาฆาต ก่อนที่จะโจมตีใส่เฉินเฉียงต่อไป

เมื่อศิษย์อันดับหนึ่งแห่งยุคของสำนักมังกรอาชูร่าผู้นี้ถูกเมินโดยศัตรูและหันไปมุ่งมั่นที่จะสังหารเฉินเฉียงลงต่อนั้น นี่ทำให้เจิ้งยี่โกรธเคืองยิ่งกว่าเดิม เมื่อความภูมิใจของตนเองถูกสั่นคลอนมีหรือที่คนอย่างเขาจะทนไหว เขารีบเร่งโจมตีอย่างสุดแรงอีกครั้ง

“ไอ้ระยำ ลองรับดาบนี้ดู”

พลังงานสายเลือดที่เคลือบดาบของเจิ้งยี่ได้เปล่งประกายขึ้นยิ่งกว่าเดิม และเจิ้งยี่ได้ฟาดฟันลงไปบนร่างของหลินเสี่ยวอีกครั้ง

หลังจากตวัดดาบไปอีกสิบกว่าครั้ง เจิ้งยี่ยังคงฟาดฟันใส่หลินเสี่ยวต่อไป

แต่อย่างไรก็ตาม การโจมตีของเจิ้งยี่ ไม่อาจที่จะทะลุผ่านชั้นสีเงินของหลินเสี่ยวที่เคลือบร่างเอาไว้ได้

“ศิษย์พี่เจิ้งยี่ ท่านไปฆ่าไอ้พวกเด็กผีพวกนั้นก่อนดีกว่า ไอ้นี่เดี๋ยวข้าจัดการเอง”

เมื่อได้ยินคำสั่งของเฉินเฉียง เจิ้งยี่ไม่อยากจะทำตาม แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะทำอะไรมนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้ได้แม้จะโจมตีอย่างสุดกำลัง นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงหันไปฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์เพียงเท่านั้น

ถึงแม้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์พวกนี้จะมีชั้นโลหะสีเงินเคลือบร่างกายเอาไว้ แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะที่ต่ำเกินไปจึงทำให้มนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ถูกสังหารลงได้อย่างไม่ยากเย็น

และเมื่อได้รับการหนุนจากเจิ้งยี่และเหล่าลูกศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าที่จัดการการมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ นี่ทำให้เฉินเฉียงในที่สุดก็มีสมาธิสู้กับหลินเสี่ยว

ในตอนนี้ดวงตาของเฉินเฉียงได้กลายเป็นสีแดงก่ำพร้อมรังสีแห่งการฆ่าฟัน เขายกดาบดั้นเมฆขึ้นมาและโจมตีหลินเสี่ยวโดยไม่ได้ใช้กระบวนท่าใดๆ

ถึงแม้หลินเสี่ยวจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเฉินเฉียง แต่เขาเองก็ค่อนข้างจะเกรงกลัวดาบดั้นเมฆที่อยู่ในมือเฉินเฉียงอย่างมาก นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็เกือบจะหลบไม่ได้อยู่หลายครั้ง แถมเมื่อเห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์เกือบทั้งหมดได้ตกตายไปแล้ว และในตอนนี้มีศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าจำนวนหนึ่งเริ่มที่จะล้อมกรอบหลินเสี่ยวเข้ามา นี่ทำให้หลินเสี่ยวเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาในที่สุด

หากเขาโดนใครสักคนโจมตีเหนี่ยวรั้งเอาไว้และเฉินเฉียงได้โจมตีใส่เขาได้ล่ะก็ แน่นอนว่าเขานั้นย่อมไม่มีโอกาสจะหนีรอด

เมื่อคิดได้แบบนี้ หลินเสี่ยวรีบสยายปีกของตนและพุ่งขึ้นฟ้าไป

“จะหนีเรอะ ฝันไปเถอะ”

เฉินเฉียงที่ตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองได้ใช้ก้าวย่างสวรรค์อย่างสุดกำลัง และเพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้ไล่ตามหลินเสี่ยวไปติดๆ

ส่วนศิษย์ของสำนักมังกรอาชูร่านั้น หลังจากฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ได้จนหมดแล้ว พวกเขาทำได้เพียงมองเฉินเฉียงที่ติดตามหลินเสี่ยวไปติดๆเพียงเท่านั้น นั่นก็เพราะพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ขาดทักษะท่าเท้า นี่จึงทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงอยู่จัดการเรื่องราวที่เหลือ

หลังจากไล่ตามไปได้กว่ายี่สิบไมล์ ในที่สุดเฉินเฉียงก็ได้ใช้กระบวนท่าที่หกแห่งดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณ ทำลายล้างสิบทิศ

ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้กับคู่แต่สู้ แต่มันกลับทรงพลังเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้อย่างมาก

ระยะทางระหว่างเขาและหลินเสี่ยวอยู่ห่างกันถึงห้าเมตร แต่พลังงานจากดาบก็ยังถูกส่งออกไปตัดร่างของหลินเสี่ยวที่มีเกราะเหล็กไหลเคลือบร่างอยู่ได้อย่างง่ายดาย

หยานเสวี่ยที่กำลังติดตามดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่างนัก เมื่อเธอได้เห็นฉากนี้แล้ว เธอก็เร่งรีบส่งข้อความหาราชาสวรรค์ด้วยความตกตะลึง “ท่านราชาสวรรค์ ตงเจี๋ยนใช้ก้าวย่างสวรรค์ได้ค่ะ แถมยังอยู่ในระดับสูงอีกด้วย”

“ว่าไงนะ”

ราชาสวรรค์ที่อยู่อีกฟากฝั่งที่ได้รับฟังเสียงของหยานเสวี่ยแล้วนั้นได้นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “จับเขามา นำตัวเขาไปยังวังหลิวเขียวเดี๋ยวนี้”

“รับทราบค่ะ”

หลังจากที่ฆ่าหลินเสี่ยวลงได้ เฉินเฉียงนั้นในที่สุดก็รู้สึกสาแก่ใจขึ้นมาบ้าง แต่เพียงเขาก้มลงไปเพื่อจะเก็บซากร่างของหลินเสี่ยวนั้น เขาก็รู้สึกตาลายขึ้นมาในทันที

และก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาก็ได้พบกับร่างอรชรที่คุ้นเคยได้เข้ามาโอบรัดเขาและยกเขาขึ้นไปบนอากาศ

-องครักษ์หยาน-

-ฉิบหายแล้ว-

-เธอต้องเห็นเราฆ่าหลินเสี่ยวแหงๆ-

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินเฉียงประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ หยานเสวี่ยนั้นไม่ได้กางปีกบินแต่อย่างใด เธอได้ใช้ท่าเท้าแบบเดียวกับเขา ก้าวย่างสวรรค์

แถมก้าวย่างสวรรค์ของเธอยังเร็วกว่าของเขาเสียอีก

“องครักษ์หยาน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ท่านกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ นี่ไม่ใช่อย่างที่ท่านเห็นนะ”

ด้วยการที่ชีวิตของเขาในตอนนี้กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เฉินเฉียงนั้นไม่ต้องการจะตายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เขาจึงพยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะทำได้ให้ออกห่างจากผู้หญิงคนนี้

“หุบปาก ถ้าเจ้าไม่อยู่เฉยๆล่ะก็ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”

น้ำเสียงของหยานเสวี่ยนั้นเย็นยะเยียบมากจนทำให้คนที่ได้ยินหนาวสั่นได้ในทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับชีวิตของเขาแล้ว ยังไงซะเขาต้องหาวิธีหนีจากสถานการณ์นี้ให้ได้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมากลัวจนไม่กล้าทำอะไรอย่างที่โดนสั่งออกมา

“องครักษ์หยาน ท่านจะพาข้าไปที่ใดกัน”

“ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านราชาสวรรค์”

“ห้ะ ราชาสวรรค์”

เพียงได้ยินชื่อนี้ ฉี่ของเขาก็แทบจะรดกางเกงในทันที

หากเขาถูกนำตัวไปให้ถึงที่อยู่ของราชาสวรรค์ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง

“องครักษ์หยาน ท่านมีคู่รักหรือยัง ถึงแม้ท่านจะแก่กว่าข้าแต่ข้าก็ไม่คิดอะไรมากนะ ทำไมท่านไม่มาแต่งงานกับข้าซะล่ะ”

“หุบปาก หากเจ้ายังพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก ข้าจะวางยาให้เจ้าเงียบปากไปซะ”

“คร้าบ คร้าบ ข้าผิดเอง แต่ยังไงซะข้าก็ยังแต่งงานกับท่านได้อยู่นะ” ตราบใดที่เขานั้นจะไม่ต้องถูกพาไปพบเจอกับมนุษย์กลายพันธุ์ระดับราชาเหนือมนุษย์ผู้นั้น เฉินเฉียงยอมจ่ายทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นสิ่งใด

อย่างไรก็ตาม หยานเสวี่ยไม่คิดจะต่อปากต่อคำอีกต่อไป เธอฟาดฝ่ามือไปที่หลังคอของเฉินเฉียงจนเขาแน่นิ่งไป

“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์พี่เจิ้ง ครั้งนี่พวกเราสร้างคุณประโยชน์ได้เหลือคณาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยแผ่นพลังงานที่ได้จากมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งยี่สิบสองแผ่นนี้ เมื่อเราได้กลับไปจะต้องได้รับรางวัลจากผอ.เป็นแน่”

“เจ้าจะดีใจไปทำไมกัน พวกเราปล่อยให้นายพลทักษะพิเศษคนนั้นหลุดรอดไปนะ หากว่าจับมันได้เจ้าค่อยเรียกมันว่าสร้างคุณประโยชน์เหลือคณาได้อย่างเต็มปาก”

“เอ่ออออ ว่าแต่….ทำไมศิษย์น้องเฉินยังไม่กลับมาอีกล่ะ คงไม่ใช่ว่า…..จะมีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ”

หลังจากเก็บกวาดสนามรบแล้ว เจิ้งยี่และคนอื่นๆรอเฉินเฉียงอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นวี่แววจะกลับมา นี่ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกสังหรณ์ร้ายได้ในที่สุด

“เร็วเข้า รีบส่งข้อความไปหาผอ.เดี๋ยวนี้ บอกเขาว่าเฉินเฉียงสูญหายไปในระหว่างติดตามศัตรู”

เจิ้งยี่รีบออกคำสั่งในทันที

ที่สำนักมังกรอาชูร่า ซุนไคได้เปิดกำไลสื่อสารของตนดู เป็นตอนนั้นที่เสียงของผอ.เฉียนแห่งสำนักเต่าดำได้ดังขึ้นในทันที

“ซุน อย่าวางสายนะโว้ย”

หลังจากเห็นว่าสายยังติดอยู่ ผอ.เฉียนก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาและพูดต่อ “ซุน ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเฉินเฉียงไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง ยังไงก็ตามนี่ถือว่าข้าติดค้างเจ้าก็แล้วกัน ฝากดูแลเขาแทนข้าด้วย”

“หากว่าเจ้าตกลง หลังจากจบงานประลองสี่สำนักแล้วเจ้าจะขออะไรข้าก็ได้ เจ้าคิดว่ายังไง”

“ฮี่ฮี่ฮี่ นี่เจ้าจริงจังรึเปล่าเนี่ย” ซุนไคพูดออกมาด้วยความรู้สึกหยิ่งทะนง “เฒ่าเฉียน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าป่าวประกาศไปทั่วว่าเฉินเฉียงนั้นได้รับแก่นโลหิตระดับราชามาไม่ใช่รึไงกัน ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ชอบเด็กนั่นอะไรนักหนานะ ทำไมเจ้าไม่ให้เขาเข้าร่วมกับข้าซะล่ะ”

“ถึงแม้ระดับการบ่มเพาะเฉินเฉียงจะต่ำไปหน่อย แต่ข้าก็ไม่คิดอะไรมากหรอกนะถ้าได้เขามาเป็นศิษย์ของข้าน่ะ”

“ซุน ไอ้นรก นี่เจ้ากล้าที่จะไล่ต้อนข้าจนมุมอย่างนั้นรึ ข้าจะไปเล่นงานเจ้าเดี๋ยวนี้นี่แหละ”

หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ด่าทอสาปแช่งกันผ่านกำไลสื่อสารอยู่พักหนึ่ง

แต่เป็นตอนนี้ที่คนของเจิ้งยี่ได้ส่งข้อความมา

“ท่านผอ. พวกเราฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งยี่สิบสองตนที่ทะเลสาบกระจกได้สำเร็จแล้วครับ”

“อย่างไรก็ตาม มีมนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่งอยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษที่หลบหนีไป ศิษย์น้องเฉินเฉียงได้ติดตามไปแต่ตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวคราว ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา”

เมื่อซุนไคได้ยิน เขารีบเรียกเหล่าระดับราชาของสำนักให้มาพบที่ห้อง

“เฒ่าเฉียน ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปทำ เอาไว้เราค่อยทะเลาะกันใหม่”

หลังจากได้วางสายไปแล้ว ซุนไครีบหันไปยังเหล่าราชาสงครามทั้งสามเพื่อให้ช่วยกันค้นหา

“หาเฉินเฉียงให้พบ ควานหาเขาในระยะสองพันไมล์เดี๋ยวนี้”

ซุนไคพูดออกมาอย่างร้อนรน

ถึงแม้ว่าเขากับผอ.เฉียนพึ่งจะคุยกันเล่นๆผ่านกำไลสื่อสารไปนั้น แต่เขานั้นบ่งบอกได้เลยว่าผอ.เฉียนนั้นให้ความสำคัญกับเฉินเฉียงมากมายขนาดไหน

หากมีเรื่องเกิดขึ้นกับเฉินเฉียงล่ะก็ เขานั้นไม่อยากจะคิดเลยจริงๆว่าตาเฒ่าแห่งสำนักเต่าดำผู้นั้นจะทำอะไรได้บ้าง

ในขณะเดียวกัน ซุนไคเองก็ได้เปิดกำไลสื่อสารและทำการเลือกรายชื่อผู้ติดต่อเป็นเฉินเฉียงในทันที ก่อนที่จะกดปุ่มและพูดออกไป

“เฉินเฉียง นี่ผอ.ซุนนะ เจ้าอยู่ไหนกัน”

อย่างไรก็ตาม หลังจากส่งข้อความออกไปแล้วเขาก็พึ่งจะนึกได้ว่าเฉินเฉียงนั้นปิดกำไรสื่อสารเอาไว้